ความคิดเห็นที่ 1 ดูเพื่อเตรียมตัวดู ดราก้อนบอลแซ่ด ภาคฮอลลีวู้ดไง จากคุณ : yog_bf - [ 9 พ.ย. 46 23:28:51 ]

ความคิดเห็นที่ 2 การดูเรื่องนี้อยู่ที่ว่าจะใช้อะไร approach ครับ ไม่รู้คอมจะวิเคราะห์ด้วยศาสตร์อื่นก็ได้ แต่เห็นด้วยครับว่าเรื่องนี้มันยำกันเยอะไปนิด จากคุณ : P@ULIE NEO - [ 9 พ.ย. 46 23:56:28 ]

ความคิดเห็นที่ 3 Chaotic Theory ครับ ชัดเจน จากคุณ : Shagbag - [ 10 พ.ย. 46 01:45:17 A:203.113.76.72 X: ]

ความคิดเห็นที่ 4 ... จุดประกาย ผู้กำกับมีความคิด ข้อมูล ความเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ แล้วนำมาแต่งเป็นเนื้อเรื่อง ซึ่งมันก็จุดประกาย ให้เกิดความคิดต่าง ๆ เพิ่มขึ้นอีกโดยผู้ชม... ... ในความคิดผมแล้ว ผู้กำกับ แค่คิดว่า จะหาเปรียบเทียบ พฤติการณ์ในโลกขณะนี้ และถ่ายทอดออกมาเป็นหนัง เรือง Matrix ก็เท่านั้น จากคุณ : Ble - [ 10 พ.ย. 46 02:38:56 A:203.151.21.115 X: ]

ความคิดเห็นที่ 5 สองพี่น้อง คนพี่ชอบอ่านหนังสือปรัชญา, ศาสนา, การเมือง คนน้องชอบอ่านนิยายวิทยาศาสตร์ครับ หนังเรื่องนี้ว่ากันว่าพวกแกใช้เวลาคิดโครงเรื่องและเขียนบทมาตลอดชีวิตเลยครับ ราวๆ 30ปีมาแล้ว ส่วนเรื่องปรัชญาดูที่นี่ได้ครับ http://www.onwardoverland.com/matrix/philosophy.html จากคุณ : ทอม - [ 10 พ.ย. 46 04:35:41 A:202.129.0.164 X: ]

ความคิดเห็นที่ 6 ผมเรียนปรัชญามาครับ ขอบอกว่า เนื้อเรื่องมันก็คือหลักสูตรปรัชญา ปีหนึ่ง (มหาลัย) ธรรมดาๆนี่เอง ไม่ได้ลึกล้ำอะไรมากขนาดนั้น เริ่มต้นด้วยภาคแรก -> epistemology, metaphysics (ปรัชญาว่าด้วยความรู้ - จะรู้ได้ไงว่าอะไรจริงไม่จริง โลกเรามีจริงหรือไม่) ต่อด้วย philosophy of the mind, i.e. dualism, artificial intelligence, consciousness (ว่าด้วยเรื่องเกี่ยวกับตัวตนของเรา ร่างกาย วิญญาณ ความรู้สึกนึกคิด ข้อแตกต่างระหว่างคนกับสมองกล) จบด้วยเรื่อง free will, free choice, determinism - hard determinism (fatalism) และ soft determinism (law of physics, law of the world) (ว่าด้วย เรื่อง free will คือเราจะเลือกทางเดินทางไหนรึป่าว หรือว่าเราตกอยู่ภายใต้กฏเกณฑ์ต่างๆ ไม่ว่ากฏทางฟิสิกส์ หรืออาจจะเป็นโชคชะตา และอื่นๆ) โดยภาคสองจะยุ่งๆกับ การพยายามอธิบายเหตุการณ์ในสังคม (social phenomenas) โดยใช้วิทยศาสตร์ได้มากขนาดไหน พูดง่ายๆ คือการจำลอง สังคมมนุษย์ที่ซับซ้อนมากๆๆๆๆๆนั้น สามารถจะทำได้ขนาดไหนกัน แต่น่าเสียดายที่ สองพี่น้องนั้นค่อนข้างจะทำหนังไม่เป็นทำให้ภาคสอง ซึ่งน่าจะมีความเข้มข้นทางปรัชญามากที่สุด กลับออกมาไม่ได้เรื่อง แถมส่งแก่นเรื่องทางปรัชญานี้ไม่ชัดเจนเท่าภาคแรก ทำให้เรื่องมันโคดห่วย แต่ภาคสุดท้าย ยิ่งห่วยไปใหญ่ จบแบบควายๆ ปรัชญาก็หายไปหมด แถมยังโคดมั่ว เรียกอารมณ์คนดูก็ไม่ได้ (ฉาก trinity ตายนี่ห่วยบรมโคตร คนดูเกือบหัวเราะกันทั้งโรง) ห่วยจริงๆสรุป จากคุณ : กลุ้มใจ - [ 10 พ.ย. 46 05:16:48 A:195.92.67.209 X:217.134.124.2 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เห็นด้วยครับ ว่าไม่ได้มีความลึกซึ้งอะไรเลย ผมเลยไม่ค่อยจะเห็นด้วย โดยเฉพาะกับคนที่เทียบกับพุทธศาสนา จะเห็นว่ามีความเข้าใจผิวเผินเท่านั้น จากคุณ : 8) - [ 10 พ.ย. 46 06:45:39 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ไอ้สองพี่น้องมันคงบอกว่า   ตูทำหนังเอามัน แล้วเอาปรัชญามา รวมหน่อยๆ พวก เอง เอาไปคิดสะ ตูไม่ได้จะมาสอน ศาสนานะ อยากรู้เรืองนี้ก็ไปเรียนดิ แก้ไขเมื่อ 10 พ.ย. 46 09:26:06 จากคุณ : E-Boat - [ 10 พ.ย. 46 06:50:04 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เห็นคุณANUTA ตั้งมาหลายกระทู้แล้ว อยากให้คุณอ่าน คห. ที่ 6 คุณ คห. ที่ 6 พูดได้ถูกแล้วว่าเรื่องนี้ โยงปรัชญา กับศาสนาใดมาบ้าง ถึงแม้คุณคห. ที่ 6 จะไม่ชอบหนัง แต่เค้าไม่ชอบเพราะเค้ารู้มากกว่า มีเหตุผลที่ไม่ชอบ อยากบอกให้คุณ ANUTA และคุณความเห็นอื่นๆ เข้าไปอ่านสัมภาษณ์ของสองพี่น้องในเวป official ของ the matrix http://www.whatisthematrix.com จะได้ทราบว่าคนสร้างเค้าตั้งใจสื่อจริงๆถึงปรัชญา และศาสนาหลายๆศาสนา แต่จะสื่อได้ลึกซึ้งแค่ไหน นั่นอีกเรื่อง สองพี่น้องนี้ศึกษากว้าง หลายทฏษฎี พยายามสื่อให้ได้มากที่สุด คนที่มีความรู้เดิม ประสบการณ์เดิมมากแค่ไหน ก็จะเห็นมากเท่านั้น (perception- to see as, not to physically see) ก็เหมือนคนที่ดูการตูนมากก็จะเห็นว่าเค้าเอาอิทธิพลเรื่องไหนมาบ้าง เพราะสองพี่น้องนี้ชอบ animation ญี่ปุ่นมากๆ เชื่อเถอะว่าคนสร้างเค้าจงใจทำ ไม่ใช่ว่าคนดูคิดกันไปเอง ที่คุณไม่ชอบหนัง เรารับได้ เพราะมันก็สื่อไม่ clear แล้วก็ยำรวมกันหลายเรื่องมากไป อย่าง คุณ คห 2 บอก (ถึงแม้ว่าแต่ละเรื่องจะไม่ลงลึกซึ้งก็ตาม) แต่ถ้าคุณบอกว่าคนดูบ้าแปลความกันไปเอง ทั้งๆที่หนังไม่ได้มีอะไร เราว่ามันใจแคบไปหน่อยนะ จากคุณ : นักเรียนปรัชญาเช่นกัน - [ 10 พ.ย. 46 07:57:54 A:24.81.110.76 X: ]

ความคิดเห็นที่ 10 ไม่เข้าใจครับ ผู้กำกับเองตั้งใจที่จะสื่อออกมาให้ครอบคลุมไปถึงปรัชญาอยู่แล้ว แล้วคนดูเข้าไปตีความในสิ่งที่เค้าส่งออกมาเนี่ย มันแปลกตรงไหนไม่ทราบ? เค้าจะลึกซึ่งแค่ไหน ไม่ใช่ประเด็น ใครจะตีความยังไง ก็ไม่ใช่ประเด็นอีกเหมือนกัน แค่ได้บริหารสมอง ได้จุดประกายความคิด เกิดข้อถกเถียง ก็พอแล้ว แล้วมันผิดปกติตรงไหนเหรอครับ ไม่ชอบ ก็ด่าหนังสิครับ ไม่ใช่มานั่งแขวะพวกที่ชอบ ยังไม่เห็นพวกที่ชอบเค้าไปแขวะพวกที่ไม่ชอบเลย จากคุณ : Jimmy Jim - [ 10 พ.ย. 46 18:49:35 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ขอบคุณความเห็นจากทุก ๆ ท่านคะ แต่จะกล่าวที่นี้ก็ออกจะ เร็วไปหน่อย อยากได้ความเห็นเพิ่มเติม จากท่านอื่นๆอีก .. เชิญเลยคะ จากคุณ : ANUTA - [ 10 พ.ย. 46 19:58:49 ]

ความคิดเห็นที่ 12 อย่างน้อยพล้อทหนังเรื่องนี้ก็แปลกใหม่มากๆ ในรอบหลายๆๆไปเลยนะ ผมว่า จากคุณ : Love@here - [ 10 พ.ย. 46 23:25:00 ]

ความคิดเห็นที่ 13 เห็นด้วย กับข้างบน เฉพาะภาค 1 ส่วนภาค 2 สร้างความงุนงง ซึ่งจะดีถ้าไปเฉลยให้ดีในภาค 3 แต่ภาค 3 ห่วย เลยเห็นว่าถ้าเป็นไตรภาค ไม่ใช่หนังดีในรอบหลายปี แต่ถ้าภาค 1 ภาคเดียว ใช่ จากคุณ : เสียดายจัง - [ 11 พ.ย. 46 00:10:27 A:203.148.143.164 X: ]

ความคิดเห็นที่ 14 เรื่องนี้แตกออกเป็นประเด็นได้เยอะมาก จริงที่ว่าหนังมีการยำรวมเอาหลายความคิดไว้ แต่ทุกอย่างก็ลงตัวดีนะ แม้ใครจะบอกว่าภาคสามจบห่วย แต่ผมว่ามันลงตัวสุดแล้ว จากคุณ : เคนนน - [ 11 พ.ย. 46 01:47:27 A:161.200.255.161 X: ]

ความคิดเห็นที่ 15 เอามายำจริงๆครับ ชื่นชมและรัก รักภาคแรกมาก แต่ค่อนข้างผิดหวังกับสองภาคต่อ จากคุณ : Composite - [ 11 พ.ย. 46 21:09:19 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ฟังความเห็นคนจบ major ปรัชญาและศาสนา minor คอมฯ หน่อยไม๊ครับ สิ่งที่เหมือนกันทั้งสามภาค ก็คือปรัชญาดีๆ นี่ละครับ ไม่ได้เป็นอะไรที่เข้าใจยากเลยครับ ไม่จำเป็นต้องจบปรัชญาก็เข้าใจปรัชญาได้ เพียงแต่จิตใจตั้งใจแสวงหาความรู้ แต่เหตุผลที่คนเขาต้องเรียนปรัชญาเพื่อให้พูดภาษาเดียวกันเข้าใจได้หนะครับ สิ่งที่เหมือนกันทั้งสามภาค ก็คือการทำให้เกิดคำถามไม่ได้ทำให้เกิดคำตอบเหมือนกับภาพยนต์ที่ทำเป็นสูตรสำเร็จหลายๆ เรื่อง ไม่น่าเบื่อบ้างเหรอครับ ถ้าหากภาพยนต์ทุกๆ เรื่องจบลงด้วยการที่ผู้ร้ายจับนางเอก แล้วพระเอกเข้าไปช่วยจนบาดเจ็บ แล้วเอาชนะผู้ร้ายได้ ภาคแรกสะท้อนให้เห็นคือ ก็คือ Neo ที่มีจิตใจที่ตั้งมั้นจะแสวงหาในสิ่งที่ตัวเองสงสัยและไม่ได้เข้าใจ แม้จะต้องพบกับความเจ็บปวดบนความเป็นจริงของชีวิตก็ตาม นั่นเป็นคุณลักษณะเด่นของผู้ที่เป็นนักปรัชญา ถึงแม้จะท่องตำราต่างๆ มากมาย แต่ถ้าปราศจากจิตใจที่จะแสวงหาแล้วก็หาใช่นักปรัชญาไม่ ภาคแรกเค้าอาจจะต้องต่อสู้กับสิ่งที่เค้าเคยเชื่อมาตลอด ภาคสองอาจจะทำให้เหมือนกับภาคแรกๆ คือว่าไม่รู้ว่าโลกที่เขาอุตส่าห์หลุดออกมาแล้ว อาจจะยังไม่พ้นความเป็น Matrix ภาคสามสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเค้า โชคชตาหาใช่ส่งที่ลิขิตให้เขาเดิน แต่เขายอมเดินไปในสิ่งที่ตนเองมุ่งหวัง ภาพยนต์เรื่องนี่จึงเต็มไปด้วยคำถาม การสอนให้คนตั้งคำถาม แสวงหาคำตอบ มันก็คือปรัชญาดีๆ นี่เอง ทุกๆ สิ่งที่คุณเห็นอาจจะไม่ได้จริงเสมอไป ผมดูภาพยนต์เรื่องนี้ หลายๆ ครั้งก็ต้องน้ำตาใหล เพราะมันสะท้อนให้เห้นชีวิตนักปรัชญา อย่างพวกเราเป็นอย่างดี ว่าเราเกิดมาเราแสวงหาอะไร มากกว่าที่จะยอมถูกปลูกฝังให้เชื่ออะไร สำหรับด้านคอมพิวเตอร์ ระบบซ้อนระบบ มันไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับคอมพิวเตอร์ แนวคิด การเขียนโปรแกรม เชิงวัตถุถูกใช้ในการทำระบบ ทำให้ระบบเกิดการซ้อนระบบขึ้น ระบบต้องทำตามกฏของตนเอง มิฉะนั้นระบบทั้งหมดจะหยุด ซึ่งอาจจำต้องมีตัวที่คอยตรวจสอบระบบอีกที ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนัก สำหรับคนที่เข้าใจคอมพิวเตอร์แล้ว แต่ที่น่าทึ่งก็คือคนทำบทภาพยนต์ สามารถทำให้เหมือนกับว่าคอมพิวเตอร์มันก็มีสังคมของมันเหมือนกันที่ต่างจากเราออกไป จากคุณ : นายสาระแน - [ 12 พ.ย. 46 13:57:52 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เราดูหนังไม่ว่าเรื่องไรก็ตาม ส่วนมากถ้าหนังสามารถทำให้เราคิดตามได้หมายถึงมันไม่ได้เป็นสูตรสำเร็จว่าต้องมีพระเอก ผู้ร้ายหรือนางเอก นางอิจฉาต้องจบแบบเดิมๆ ดูหนังเสร็จก็ไม่สามารถที่จะหยิบยกอะไรขึ้นมาเป็นข้อคิดหรือสามารถสร้างสรรค์ความคิดอะไรๆบ้าง แต่สนุก มันส์ เราก็คิดว่าก็โอเค ไม่เสียดายเงิน แต่ถ้าดูแล้วสามารถได้ ได้ไตร่ตรอง ได้มาวิพากย์กันในหมู่คนที่มีความคิดหลายหลาก สามารถเก็บเกี่ยวสิ่งที่กลั่นกรองจากมุมมองของเพื่อนๆได้ เราว่าเรากำไรแฮะ ถึงแม้จะมีคนที่มองเหมือนหรือมองต่างก็ตาม รันเอง จากคุณ : รันมา007 - [ 12 พ.ย. 46 20:35:07 A:203.113.76.75 X: ]

ความคิดเห็นที่ 18 ขอบคุณ คุณ"นายสาระแน" กับ "รันมา" เขียนเหมือนที่เราคิดเลย คือมันจะยำอะไรมาก็แล้วแต่ ขอแค่ให้มันชี้ประเด็นว่า ทุกวินาทีมีทางเลือก และเมื่อเลือกจะทำก็ขอให้ทำเต็มที่ เท่านี้ อย่าว่าแต่เสียเงินดูหนัง10รอบเลย ไอ้ที่เสียค่าเล่าเรียนท่องตำรากันมาเป็นล้าน มันก็ยังเทียบไม่ได้ หรือคุณพอใจจะดูกันแต่หนังรัก หนังตลก หนังแอคชัน หือ จากคุณ : angy_11 - [ 13 พ.ย. 46 12:41:28 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ผมไม่รู้ว่าหนังจะสื่อปรัชญาอะไร แต่สิ่งที่ผมมองเห็นก็คือปรัชญาเรื่องโลกสมบูรณ์แบบ ซึ่งมีอยู่ในหลายศาสนา เคยเสนอแนวคิดนี้ไปแล้ว แต่ยังไม่มีข้อมูล เรื่อง animatrix กับ enter the matrix จึงขอมาเล่าใหม่อีกรอบ หากยึดหลักที่ว่า มนุษย์ สู้ กับเครื่องจักร + ปัญญาประดิษฐ์ จริง ๆ สิ่งนี้ก็เกิดเพราะมนุษย์ ต้องการอยู่เหนือธรรมชาติ ซึ่งอาจถึงจุดที่มนุษย์คิดว่าชนะได้เกือบสมบูรณ์แบบแล้ว ชีวิตถึงจุดรุ่งโรจน์ที่สุด แต่กลับต้องมาพ่ายให้กลับสิ่งที่ตนสร้าง เหมือนกันที่ฝั่งธรรมชาติเองก็มี the one เหมือนกัน การปรับสมดุลย์จึงเกิดขึ้น แม้จะดูเหมือนว่าเครื่องจักร + ปัญญาประดิษฐ์ คิดเพื่อความอยู่รอดเพียงอย่างเดียว ซึ่งก็เหมือนกับมนุษย์ ก็ไม่ได้หมายความว่า จะสร้างความสมดุลย์ในระบบไม่ได้ ตัวอย่างเช่นการที่มีสัตว์กินพืชมาก ก็ต้องมีสัตว์กินสัตว์มาปรับสมดุล การจองจำมนุษย์ก็สร้างสมดุลในระดับหนึ่ง ภาวะที่เครื่องจักรคุมมนุษย์ ก็เหมือนกับการที่ลูกตุ้มแกว่งจากซ้ายมาขวา ซึ่งยังไม่ถึงจุดสมดุลซะทีเดียว เมื่อยังไม่สมดุลก็จะมีสิ่งมาปรับสมดุล ถึงแม้เครื่องจักร + ปัญญาประดิษฐ์ไม่มีอารมณ์แบบมนุษย์ ก็ต้องหาแนวทางพัฒนาอารมณ์ขึ้นมาเพื่อให้สอดรับกับการปรับสมดุล เพื่อความอยู่รอดของตัวเครื่องจักร + ปัญญาประดิษฐ์เอง การที่ดูเหมือนฝั่งนึงควบคุมสมดุลได้ แต่ในความเป็นจริงเป็นเพียงการปรับสมดุลรวมของระบบ การที่ทั้งสองฝ่ายจะประนีประนอมกันได้ ก็ขึ้นกับความเข้าใจในตัวกลาง ซึ่งก็น่าจะเป็นธรรมชาติ พร้อมทั้งระบบความคิดที่เปลี่ยนไปทั้งสองฝ่าย เปลี่ยนจากการกดขี่ เป็นพึ่งพา และ ถึงขั้นเป็นมิตรในที่สุด เพราะธรรมชาติอาจไม่สามารถบอกสิ่งเหล่านี้ออกมาได้ มนุษย์จึงต้องเรียนรู้จากการกระทำของตนเอง ต้องมองสิ่งไม่มีชีวิต อย่างเป็นมิตร แล้วถึงตอนนั้น โลกก็จะถึงจุดสมดุล หรือ เป็นโลกที่สมบูรณ์แบบ จากคุณ : ... - [ 13 พ.ย. 46 23:01:39 A:210.86.206.106 X: ]

ความคิดเห็นที่ 20 คุณนายสาระแนพูดไม่เหมือนนักปรัชญาเลย ผมว่าเรียนศาสนามากกว่า หรือไม่ก็พวก pop philosophy ไม่ใช่ของจริงอ่ะ จากคุณ : อ่ะนะ - [ 22 พ.ย. 46 20:40:11 A:195.92.67.209 X:217.134.98.28 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ผมเองจบปรัชญาจริงๆ ครับ จบปรัชญาและศาสนา (BA.) Philosophy & Religious จบ minor คอมฯ อย่าเอาความคิดของตนเองมาตัดสินเพียงฝ่ายเดียวสิครับ ผู้ฟังเค้าไขว้เขวหมด ถ้าคุณศึกษาปรัชญาให้ลึกซึ้งแล้ว มันเองก็ไม่ได้จัดว่าเป็นตัวความรู้ แต่มันก็อยู่ในหลายๆ แขนง ๆ ผมเองชำนาญในเรื่องปรัชญา ถนัดในด้าน อภิปรัชญา ชำนาญที่สุดก็คือเทวะวิทยาศาสนาคริสต์ Philosophy คือการที่เป็นผู้ที่รักทีจะเรียนรู้ครับ เด็กอนุบาลที่ช่างซํกช่างถาม ก็คือนักปรัชญาครับ จากคุณ : นายสาระแน - [ 25 พ.ย. 46 20:06:54 ]

ความคิดเห็นที่ 22 อยากลึกซึ้งไปบวชสิ จากคุณ : ฮ - [ 8 ธ.ค. 46 08:17:13 A:202.28.169.165 X:unknown ]

ความคิดเห็นที่ 23 http://www.onwardoverland.com/matrix/philosophy.html จากคุณ : walrus - [ วันรัฐธรรมนูญ 21:54:29 ]