ความคิดเห็นที่ 1 คือพลังชีวิตที่มีอยู่ในสิ่งมีชีวิตทุกชีวิต รวมถึงพลังเอกภพในพื้นหลังด้วย เจได้สามารถดึงเอา force จากสิ่งมีชีวิตรอบๆมาใช้ประโยชน์ได้ ทั้งในการต่อสู้(ฝึกทำง่ายกว่า) และการรักษา(ทำได้ยากยิ่ง) พลังมีสองด้านคือด้านสว่างกับด้านมืด แต่คนที่ฝึกเจไดมักจะมีแนวโน้มที่จะหลงไปกับพลังด้านมืดที่แข็งกร้าวกว่าครับ สมัยยี่สิบปีที่แล้ว ตอนผมเด็กๆเขาไม่ได้บอกว่า force ก่อเกิดขึ้นในสิ่งมีชีวิตได้ยังไง แต่ในหนังภาค EPISODE 1 ซึ่งเป็นภาคใหม่นั้น มันกลายเป็นไมโตคอนเดรียในเซลของสิ่งมีชีวิตได้ยังไงก็ไม่รู้ ============================================== "The real power of the Force lay not in the light, but in the dark." The Sith Lords. "You don't know the power.... of the dark side." Anakin Skywalker as Vader ============================================ จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! - [ 14 ธ.ค. 46 21:50:21 ]

ความคิดเห็นที่ 2 อ่า... ในความรู้สึกของเรา มิดีควอเดรียน (เรียกถูกเปล่าหว่า?) ไม่เกี่ยวอะไรกับ Force นะ เป็นคล้ายๆ กับแนวโน้มว่าจะมีความสามารถในการเข้าถึง Force ได้ดีแค่ไหนมากกว่า ไม่ชัวร์นะ แค่ความคิดส่วนตัว จากคุณ : Hiril - [ 14 ธ.ค. 46 23:24:08 A:203.151.127.18 X: ]

ความคิดเห็นที่ 3 ถ้าเรียกตามศัพท์ทางพุทธ Force ก็น่าจะเป็น"ปราณ"นั่นเอง จากคุณ : Domingo - [ 15 ธ.ค. 46 03:21:13 ]

ความคิดเห็นที่ 4 สำหรับผม Jade คือคนที่สามารถเข้าถึง และประยุกต์ใช้งาน String Theory ได้ครับ จากคุณ : Dino - [ 15 ธ.ค. 46 18:04:01 A:203.154.149.66 X: ]

ความคิดเห็นที่ 5 โอ...... เยี่ยมครับแจ๋วๆ อาจใช่ครับคุณ Dino ^ ^ จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! - [ 15 ธ.ค. 46 21:51:13 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ถ้าบอกว่า Force เป็น "ปราณ" แล้วจะอธิบายเวลาที่เจไดสัมผัส nature force ได้ทั้ง ๆ ที่ไม่มีคนอยู่ยังไงอ่ะคะ "ปราณ" มันมีแต่ในคน, สัตว์ม่ะใช่เหยอ? คคห.2: Midi-chlorian (มิดิคลอเรียน) ค่า (มันอยู่ในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตจริง แต่มันไม่น่าจะใช่ Mitochondrial มั้งคะคุณดิจิเดี้ยง) จากคุณ : Seven Of Nine - [ 15 ธ.ค. 46 23:10:34 ]

ความคิดเห็นที่ 7 แอะ ขอโทษค่ะ เมื่อกี้พิมพ์ยังไม่จบเผลอกดส่งไปแล้ว ตามคำอธิบาย (แบบงง ๆ) ของไควกอน ใน episode I เนี่ย midi-chlorian น่าจะทำหน้าที่เป็นเหมือน transciever ของ The Force นะคะ ในคนที่มี midi-chlorian สูงถึงได้สัมผัสกับ The Force ได้มากขึ้นตามไปด้วย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนที่สัมผัสกับ Force ได้จะเข้าใจและสามารถ "ใช้" Force ได้เสมอไป มันต้องหัดควบคุมต้องฝึก และถึงคนที่เคยฝึกมาแล้ว ถ้าไม่ได้ใช้นาน ๆ ก็เรื้อแล้วก็จะใช้ได้ไม่ดีเท่าเก่าเหมือนกัน (อย่าง Lorian Nod ใน Legacy of the Jedi อ่ะค่ะ) เพราะอย่างนั้น ถ้าจะบอกว่า Force เป็นส่วนผสมของพรสวรรค์ (midi-chlorian) กับพรแสวง (training) จะได้ไหมนะ? Force ไม่ได้ใช้แค่ในทางต่อสู้กับการรักษาค่ะ การรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ รอบตัวถ้ามี Force ก็จะทำให้ "จิต" เปิดกว้างได้มากขึ้น บางทีก็อ่านความรู้สึกคนที่พูดอยู่ได้ทำให้เหมือนกับอ่านใจคนได้ ถ้าพลังกล้าแข็งมาก ๆ ก็รู้อนาคตได้ในบางที (คำอธิบายตรงนี้คือ "อนาคต" ก็เป็นส่วนหนึ่งของ "ธรรมชาติ" ที่จะต้องเกิดขึ้น เพราะงั้นก็เลยรับรู้ได้เหมือนรู้จักธรรมชาติ....มั้ง) นอกจากนั้นยังเป็นเครื่องมือสื่อสารในยามคับขันเมื่อคอมม์ลิงค์พัง (เวลาไควกอนโดนจับไปใน Jedi Apprentice ก็ใช้ Force นี่แหละเรียกโอบีมาช่วย อิอิ) และอื่น ๆ อีกมากมาย The Force เป็นเครื่องมือสารพัดประโยชน์จริง ๆ อิอิอิ จากคุณ : Seven Of Nine - [ 15 ธ.ค. 46 23:25:35 ]

ความคิดเห็นที่ 8 หนูเซฯ ปราณไม่ได้มีอยู่แต่ในคนกับสัตว์เท่านั้นนะ ปราณมีอยู่ในธรรมชาติทุกชนิดเลยล่ะ เพียงแต่คนทั่วไปส่วนใหญ่มองไม่เห็น ไม่รู้จัก ก็เลยไม่รู้ว่ามันมีอยู่ ตามตำราการฝึกสมาธิจิตขั้นสูง(เล่มไหนก็ไม่รู้ ลืมไปแล้ว)เค้าว่าไว้ว่า สำหรับผู้ที่ฝึกฝนมาอย่างดี จะสามารถสัมผัสได้ถึงอณูของปราณที่แทรกอยู่ในธรรมชาติรวมถึงในอากาศด้วย การกำหนดลมหายใจเข้า-ออกก็คือการปรับสภาพปราณของเราให้สมดุลกับธรรมชาติ การสูดหายใจเข้าคือการดึงดูดปราณจากธรรมชาติเข้าสู่ร่างกายเพื่อใช้เป็นพลังงานในการดำเนินชีวิต เค้าบอกว่านี่เป็นคำอธิบายว่าทำไมผู้ที่ฝึกฝนจนสำเร็จญาณขั้นสูงเช่นพระโสดาบันหรือพระอรหันต์ถึงฉันอาหารน้อยบางทีเข้าญาณนานเป็นเดือนๆโดยไม่ฉันอะไรเลยก็ยังอยู่ได้ เพราะได้รับพลังงานจากปราณนั่นเอง อันนี้ก็ไม่รู้ว่าจริงมั้ย เพราะผมก็ไม่เคยสำเร็จญาณขั้นไหน เลยไม่มีประสบการณ์มาตอบ อิอิอิ จากคุณ : Domingo - [ 16 ธ.ค. 46 00:58:17 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เอ่อ..... กลายเป็นห้องลึกลับ-ประสบการณ์ยูเอฟโอ แห่งโต๊ะหว้ากอไปซะแล้ว... ไว้ฝึกปราณสำเร็จขั้นไหนแล้วผมจะมาบอกครับ โอม พลังคอสโมของข้า....(เซนต์ เซยา) จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! - [ 16 ธ.ค. 46 02:10:56 ]

ความคิดเห็นที่ 10 โอ้ว แจ่มแจ้งแล้วฮับ Domingo เข้าท่าจริง ๆ ด้วยแหะ ตอนที่บอกว่าคนที่ฝึกสมาธิขั้นสูงจะอยู่โดยไม่กินอะไรได้นาน ๆ นั่นก็ทำให้คิดถึงพวก Jedi Master เลย มีเรื่องของ Yaddle (มาสเตอร์ที่เป็นเผ่าเดียวกับ Yoda) ที่โดนจับไปขังเป็นหลายสิบปี (หรือเป็นร้อยปีหว่า จำไม่ได้) แล้วรอดออกมาด้วย บางตอนเค้าจะเขียนว่า Jedi ทำให้ชีพจรเต้นช้าลงได้ด้วย (หลบพวกหุ่นสอดแนมที่จับชีพจรหรือพลังงานความร้อนจากร่างกาย) อย่างนี้ก็เท่ากับกำหนดลมปราณสินะ (ไป ๆ มา ๆ SW นี่มาทางพุทธเยอะเลยนะ หรือว่าจะบอกว่าไปทางจอมยุทธดี อิอิ) ว่าแต่ทำไมคุณ DigiTaL-KRASH ถึงพูดแบบนั้นล่ะคะ มันไม่ใช่เรื่องลึกลับอะไรสักหน่อย "ปราณ" ก็เป็นสิ่งที่วิทยาศาสตร์เองก็ยอมรับว่ามันมีอยู่ การที่จะเอามาอธิบาย The Force มันก็ไม่ได้หมายความว่ามันเกี่ยวกับประสบการณ์ UFO เสียหน่อย เพียงแต่มันจับต้องไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีอยู่นี่นา จากคุณ : Seven Of Nine - [ 16 ธ.ค. 46 09:00:31 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ถ้าในเชิงของนิยายนั้นยอมรับได้สิครับ เพราะยังไงนิยายก็คือนิยาย แต่ถ้าในแง่ของความจริงเชิงวิทยาศาสตร์นั้น ปราณเป็นสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ครับ วิทยาศาสตร์ไม่ได้บอกว่า แรงพื้นฐานทางธรรมชาติทั้งสี่ คือสิ่งเดียวกับปราณนี่ครับ จากสมบัติของปราณ หรือชี่ ฟังดูแล้วเหมือนกับสมมติฐานอีเธอร์ ในสมัยก่อน แต่ถ้านิยามว่าปราณเป็นหนึ่งในแรงพื้นฐานทั้งสี่ที่เอกภพของเรามีอยู่ในธรรมชาติแล้ว อย่างนั้นอาจจะยอมรับได้ แต่ปราณก็ไม่ใช่แรงโน้มถ่วง แรงนิวเคลียร์อย่างอ่อน แรงนิวเคลียร์อย่างแข็ง หรือแรงแม่เหล็กไฟฟ้าครับ หรือจะบอกว่าปราณคือ Dark energy หรือ "พลังงานบุพกาล" หรือ Vacuumn Energy (ไม่ใช่ dark matter นะครับ) ที่นักวิทยาศาตร์ตั้งสมมติฐานว่ามีอยู่ในอวกาศระหว่างกาแลกซี หลังจากเกิดบิกแบง อันนั้นถ้าจะให้เป็นพลังงานที่มีอยู่ในระดับของฟลักซ์พลังงานที่สูงพอ หมายถึงเข้มข้นพอในปริมาตรหนึ่งๆ จนจะนำมาใช้ประโยชน์ได้นั้น ก็เป็นไปได้ยาก แม้ตัวของ Vacuum energy ที่พอจะเทียบได้ใกล้เคียงที่สุดกับสมมติฐาน(ที่พิสูจน์ไม่ได้) ของ "ปราณ" เองก็ยังเป็นแค่สมมติฐาน ที่ยังไม่มีหลักฐานยืนยันถึงการมีอยู่ในปัจจุบันครับ ดูในลิงก์ http://relativity.livingreviews.org/Articles/lrr-2001-1/ หัวข้อ Introduction ตรงหัวข้อย่อย 1.3 Vacuum Energy หลังสมการที่ 11 แก้ไขเมื่อ 13 ม.ค. 47 10:45:51 แก้ไขเมื่อ 16 ธ.ค. 46 10:38:32 แก้ไขเมื่อ 16 ธ.ค. 46 10:32:52 จากคุณ : scientism (DigiTaL-KRASH!!!) - [ 16 ธ.ค. 46 10:03:22 ]

ความคิดเห็นที่ 12 วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ ใช่ว่าไม่มีอยู่ วิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้ ใช่ว่าเป็นสิ่งเสแสร้ง หลอกลวง หากวิทยาศาสตร์อธิบายทุกสิ่งทุกอย่างในโลกได้จริง เราก็คงมีคำตอบเรื่อง "ตายแล้วไปไหน?" "'วิญญาณ' ของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ จริง ๆ แล้วคืออะไร? เกิดจากอะไร? มีหลักฟิสิกส์อะไรที่จะมาอธิบายการที่น้ำหนักของคนหายไปส่วนหนึ่งเมื่อหมดลมหายใจหรือไม่?" และคำถามอื่น ๆ อีกมากมาย ที่ "วิทยาศาสตร์" ยังมิอาจตอบ ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อในวิทยาศาสตร์ เพียงแต่เชื่อว่าวิทยาศาสตร์เป็นแค่ "เครื่องมือ" ในการอธิบาย "ธรรมชาติ" เครื่องมือที่มนุษย์ใช้ในการ "จัดการ" กับธรรมชาติ หรือ "ท้าทาย" ธรรมชาติในบางที หากเทียบกับธรรมชาติทั้งหมดทั้งปวง สิ่งที่วิทยาศาสตร์จะอธิบายได้ มีเพียงหยิบมือเท่านั้น วิทยาศาสตร์.... ไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง นักวิทยาศาสตร์หลาย ๆ คน ไม่จำเป็นจะต้องปิดหูปิดตาและเชื่อแต่สิ่งที่ "พิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์" แต่ก็อย่างว่า คนอย่างหนูเซฯจะรู้อะไร จริงไหมคะ หึหึ อีกอย่าง คุณมูแอนเค้าถามเรื่องของ The Force ใน SW ซึ่งเป็น fantasy ....มิใช่หรือ? จากคุณ : Seven Of Nine - [ 16 ธ.ค. 46 22:30:06 ]

ความคิดเห็นที่ 13 อันที่จริงผมคิดว่า force ในฐานะนิยายและมีคุณสมบัติอะไรต่างๆนาๆ ผมยอมรับได้ ซึ่งเป็น fantasy และผมก็ชอบดู เพราะมันสนุกดี แต่การพูดว่าพลังเหนือธรรมชาติมีจริง ในโลกของความจริง ในข้อมูลที่เรามีอยู่ในมือในปัจจุบัน นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่งครับ ผมไม่สามารถจะสรุปว่าผมเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้มีจริง ด้วยเหตุผลข้างบน ก็เท่านั้นเองครับ ตราบใดที่ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนมาหักล้างสิ่งเหล่านี้ นิยามของการไม่เชื่อ เพราะไม่มีข้อมูลที่พิสูจน์ได้ แตกต่างจากนิยามของ การปิดหูปิดตา เพราะการไม่เชื่อเนื่องจากไม่มีข้อมูลที่พิสูจน์ได้นั้นจะคงอยู่ ตราบเท่าที่ไม่มีข้อมูลใหม่มาหักล้างข้อมูลเก่า นั่นคือกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หากมีข้อมูลใหม่ที่สามารถพิสูจน์และยืนยันได้ มาล้มล้างทฤษฎีเก่า ความไม่เชื่อนั้นจะเปลี่ยนเป็นความเชื่อทันที ตราบเท่าที่ยังไม่มีข้อมูลใหม่กว่าเดิมมาเปลี่ยนข้อสรุปที่มีอยู่ในปัจจุบัน การไม่เชื่อ ในทางวิทยาศาสตร์ จึงเป็นการไม่เชื่ออย่างมีเหตุผล โดยมีความเป็นกลาง ไม่ขาว ไม่ดำ ไม่บวก ไม่ลบ เพราะจะเปิดรับข้อมูลใหม่ๆที่เข้ามาตลอด หากข้อมูลใหม่ๆมีน้ำหนักเพียงพอแล้ว ข้อสรุปจะต้องเปลี่ยนไปแน่นอน ดังนั้น เมื่อ เอลลี ในภาพยนตร์เรื่อง Contact ถูกถามเรื่องความเชื่อเรื่องพระเจ้า เธอจึงไม่ตอบ เพียงแต่ตอบว่า ไม่มีข้อมูลพอที่จะสรุปครับ ส่วนนิยามของ การปิดหูปิดตานั้น หมายถึงการไม่เชื่ออย่างไม่มีเหตุผล โดยที่แม้จะมีหลักฐานที่แน่นอนมายืนยันแล้ว คนๆนั้นก็ยังไม่เชื่อ นั่นคือสิ่งที่เราเรียกกันว่าการปิดหูปิดตา อย่างที่ควรจะเป็น กระบวนการคิดที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์ และโดยเฉพาะคณิตศาสตร์ สามารถอธิบายได้ทุกอย่างในธรรมชาติอย่างแน่นอนครับ เพียงแต่ขึ้นกับขีดความสามารถทางสติปัญญาของสปีชีส์หนึ่งๆ เครื่องมือพวกนี้เหมือนไฟฉาย ถ้าฉายไปที่ใด เราก็จะเห็นตรงนั้นสว่าง สติปัญญาของแต่ละสปีชีส์ของสิ่งมีชีวิตที่ทรงภูมิปัญญา(Intelligent Lifeform) ก็เหมือนกำลังของไฟฉายที่จะทำให้เห็นความจริงได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าในอนาคตมนุษย์เรามีวิวัฒนาการสูงขึ้นไปกว่าในปัจจุบันเราคงจะพบกับทฤษฎีทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น ที่สามารถใช้อธิบายธรรมชาติได้ดียิ่งขึ้นอย่างแน่นอน หรือหากเราสามารถใช้เครื่องมืออย่างปัญญาประดิษฐ์ ในการช่วยพัฒนาวิธีการทางคณิตศาสตร์ที่ดีขึ้นอีก มนุษยชาติคงจะค้นพบอะไรได้อีกมาก ผมมั่นใจว่ากระบวนวิธีที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์นั้น น่าจะถูกพัฒนาขึ้นได้ด้วยสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาทุกๆรูปแบบ และเป็นแนวทางที่ถูกต้องในการเข้าหาความจริง แต่ความสามารถในการเข้าถึงความจริงนั้นจะถูกจำกัดที่ความสามารถในทางสติปัญญาของสปีชีส์นั้นๆ สักวันหนึ่ง ความจริงในธรรมชาติทั้งหมดจะต้องถูกอธิบายได้อย่างแน่นอน เพียงแต่อาจจะไม่ใช่ด้วยน้ำมือของ โฮโม เซเปียนส์ อย่างเราในปัจจุบัน แต่อาจจะด้วยอารยธรรมอื่นที่วิวัฒนาการขึ้นมาภายหลังเรา อย่าลืมว่าช่วงเวลาเพียงสามสี่ล้านปีที่มนุษย์เราวิวัฒนาการขึ้นมานั้น เป็นช่วงเวลาเพียงกระพริบตาหนึ่ง ในสเกลเวลาของเอกภพเท่านั้น ยังมีเวลาให้สิ่งมีชีวิตในรูปแบบอื่นๆ ที่ทรงภูมิปัญญากว่าเราวิวัฒนาการขึ้นได้ในโลกใบนี้อีก หรือแม้แต่ระบบดาวเคราะห์อื่นๆนอกระบบสุริยะที่มีสภาพเอื้อต่อการกำเนิดชีวิตขึ้นมาได้ครับ ผมจึงไม่สามารถ เชื่อ ในสิ่งเหนือธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นปรากฏการณ์ลึกลับ หรืออิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆ ได้อีกต่อไป ตราบเท่าที่ยังไม่สามารถยืนยันให้เห็นผลจริง และ ทดลองซ้ำ ได้ และ ให้ผลที่เหมือนกันทุกครั้ง อย่างมี นัยสำคัญทางสถิติ ครับ แค่อยากจะแสดงการยืนยันว่าผมก็มีสิทธิที่จะไม่เห็นด้วยได้ ใช่ไหมครับ อย่าเพิ่งเคืองกันเลย เท่าที่ผมกล่าวมาทั้งหมดนี้ ก็เพราะผมอยาก debate กันด้วยกระบวนการคิดที่แตกต่างเท่านั้นเองครับ ไม่ได้ตั้งใจจะว่า หรือทำให้หนูเซฯขุ่นเคือง แค่อยากจะชี้แจงเหตุผลในส่วนของผม ที่บอกว่าทำไมโดยส่วนตัวแล้ว ผมจึงไม่สามารถเชื่อเรื่องเหล่านี้ได้ ก็เท่านั้นเองครับ แก้ไขเมื่อ 13 ม.ค. 47 10:56:14 แก้ไขเมื่อ 18 ธ.ค. 46 02:09:02 แก้ไขเมื่อ 17 ธ.ค. 46 07:08:31 จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! - [ 17 ธ.ค. 46 06:59:13 ]

ความคิดเห็นที่ 14 อีกอย่าง ใน คห. 9 ตอนแรกผมก็พูดในทำนองตลกๆ ล้อกันเล่น ไม่ได้ตั้งใจจะซีเรียส มิใช่หรือ จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! - [ 17 ธ.ค. 46 08:28:51 ]

ความคิดเห็นที่ 15 I was not angry. And I just noticed that you added something to your message in the lower topics. Well, you can call me a coward. But this will be the last time that I say anything on this subject, since we are speaking the different language. You asked me to open my mind. But you insisted on believing in what you believe without even considered what I have said. So, what's the point? Let me reply to those messages (from here and from the lower topic) of yours like this... First, let’s just not lose the point. I do not hate science. I have not said that Science is destructive. I have not said that Science does not give tremendous benefits to the life of humanity. But Science, as in pure science of math, physics, chemistry, biology, et cetera; cannot explain everything. If you insist to believe that you cannot believe in the thing that science cannot explain, fine with me. It is your right. But if someone talks to me about something that I don’t know but others claim to know, I think I would at least remain neutral and see what is his/her evidences/reasons, instead of stating that I cannot believe it just because it cannot be scientifically proven. But then again, just as I have said earlier, we are looking at things from a very different point of view. I know, you would still insist that science, if you have enough knowledge about it, can be used in explain basically anything. You can insist. I just won’t believe that. Even in things that should fall into the category of ‘science’ like human behaviours, most of the time you cannot just use some equations and the working of the chemistry in human’s brain to explain that. Ok, Behavioral Studies as Pavlov’s is counted as science. But can all the scientific theories exist today explain just every single behaviors of every human being? Is it something that can be tested in an experiment and always got the same result? (Oh, by the way, you shouldn’t have to lecture me on the scientific method. I maybe dumbed, but I went to high school in science program, spent some time in engineering, I kinda figured out how to make a science theories.) Is there an equation explaining why a person loves, or hates, or be annoyed with something? You don’t have to answer me. And even if you do explain, I don’t think my level of intelligence can be competed with yours. I don’t know anything about Dark, or Vacuum, energy. My knowledge on mathematics is limited at the level of Differential Equations. And I think I have returned most of that branch of knowledge to the people who taught me. So your explanation always confused me more than Benedict Anderson’s theory of Imagined Communities or, in fact, any Nationalism theories that still swimming in my head. What am I babbling here?.... It was my fault I turn this topic into something that I’m sure Khun MuanN didn’t intend at all. I’m sorry. I’ll stop now. จากคุณ : Seven Of Nine - [ 27 ธ.ค. 46 01:08:38 ]

ความคิดเห็นที่ 16 อ้าว กลายเป็นฝรั่งไปแล้ว จะมาอ่านซะหน่อย มึนเลย... จากคุณ : Elf-Oil (น้ำมันพราย) - [ 27 ธ.ค. 46 09:42:18 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ก็นั่นนะสิ ผมก็บอกแล้วว่าตอนแรกในคห.9 นั้นผมแซว ไม่ได้จะซีเรียสสักหน่อย แต่ผมก็ขี้เกียจเถียงแล้วแหละ(เหนื่อยแล้ว) แล้วเดี๋ยวหนูเซฯจะยิ่งเคืองยิ่งขึ้น(ถึงจะบอกไม่ได้เคือง แต่ดูรูปประโยคก็รู้แล้วล่ะ ว่าเคือง ซึ่งจริงๆจะว่าไปแล้วก็ไม่เป็นไรครับ เพราะเวทีไหนอภิปรายกันอย่างเผ็ดร้อน จะยิ่งทำให้เวทีในการอภิปรายนั้นๆมีพลังและน่าสนใจมากขึ้น) ป.ล. พอดีเลย ที่หนูเซฯ พูดมาข้างบนผมเพิ่งอ่านเจอ จริงๆแล้วมีคนวิจัยเหมือนกันนะครับ ในเรื่องนี้ ในการสร้างแบบจำลองคณิตศาสตร์เพื่อทำนายการเปลี่ยนแปลงอารมณ์ของมนุษย์ เมื่อมีแฟคเตอร์ต่างๆเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่พลิกเจอในห้องสมุด ไม่ได้อ่านละเอียด แก้ไขเมื่อ 28 ธ.ค. 46 02:59:41 แก้ไขเมื่อ 28 ธ.ค. 46 01:52:06 จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! - [ 28 ธ.ค. 46 01:48:03 ]

ความคิดเห็นที่ 18 เออ เปลี่ยนใจแล้วครับหนูเซฯ เหอเหอเหอ พอดีทานข้าวแล้วเลยหายเหนื่อย รู้ไหมวันนี้นั่งรถไฟตั้งสี่ชั่วโมงแน่ะ กลับมาก็ฝ่าฝนกลับหอ เมื่อกี๊เลยบอกว่าเหนื่อย ผมชักสนุกกับกระทู้นี้แล้ว เดี๋ยวกลับไปเขียน mind map ก่อนนะ วิเคราะห์ประเด็นแล้วจะมาโพสต่อครับ...(เดี๋ยวถ้ามันตก เดี๋ยวจะแตกประเด็นไปข้างบนต่อ) ป.ล. หนูเซฯ ไม่ต้องห่วงหรอกว่ามันนอกประเด็นของคุณมูแอน กระทู้ที่ต่อมามันเปลี่ยนเรื่องไปมีออกบ่อยไปครับ อย่างกระทู้ผมข้างล่างไง ไม่เป็นไรหรอกครับ แก้ไขเมื่อ 28 ธ.ค. 46 02:46:35 จากคุณ : ดิจิฯ โหมดม่อนโหด (DigiTaL-KRASH!!!) - [ 28 ธ.ค. 46 02:45:46 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เดี๋ยวนะครับ บทความมากจริงๆ... สนุกๆทั้งนั้น เดี๋ยวย่อยก่อน แล้วจะมาโพส ตอนนี้อืด... ^ ^ " จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! - [ 3 ม.ค. 47 11:31:02 ]

ความคิดเห็นที่ 20 อ้าว เพิ่งเห็นกระทู้นี้แหะ เอิ่กๆๆ ไม่รู้จาตอบไงดี เพราะความรู้ในด้านวิทยาศาสตร์ของเราก็จำกัดด้วยซิ เพราะไม่ได้เรียนสายวิทย์มา วิชาที่มีก็ถวายคืนให้พระอาจารย์ไปหมดแย้ว -__-"" เราคิดว่าทุกสิ่งมันหาคำตอบได้นา เพียงแต่ถ้าไม่ใช้ทิฐิเข้าไปจับ ไม่ว่าจะมองเห็นในด้านไหน อย่าลืมว่าเราก็เป็นมนุษย์ และเรามักจะเข้าใจสิ่งที่ นอกกายตัวเองมากกว่าจะเข้าใจตัวเอง ถ้าถามเรื่อง Force ในเชิงเปรียบเทียบนี้ ก็เหมือนกับถามว่า ฉันเป็นใคร? ในเชิงอภิปรัชญานั่นแล ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี เนื่องจากความรู้ด้านนี้จำกัด เอาเป็นว่าแค่คิดค้นหาความรู้สึก ของตัวเองมันก็ยากแล้ว เราคิดว่าเรื่องพลังแห่งธรรมชาติมันก็ต้องซับซ้อนแน่นอน ลองคิดง่ายๆ มนุษย์เผ่าโบราณสมัยก่อน ไม่เคยมีความรู้ทางวิทยาศาสตร์ หรือการศึกษา เหมือนกับคนสมัยนี้ แต่เค้าก็สามารถ ประดิษฐ์สิ่งมหัศจรรย์ต่างๆของโลกได้ เช่นหอคอยบาบิโลน นาฬิกาแดด หินสโตนเฮนจ์ พิรามิด ฯลฯ ซึ่งถ้าสมมุติว่าวิทยาศาสตร์ทุกวันนี้มันอธิบายทุกสิ่งได้จริง แล้วคนในยุคนั้นเค้าใช้สัมผัสอะไรในการคิดค้น การหาเล่า? ในเมื่อชีวิตเค้าก็ผูกพัน กับธรรมชาติ และเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติ ด้วยซ้ำไป อันนี้เป็นเรื่องที่เราต้องลองคิดดู สิ่งที่เราอยากจะบอกคือ ความรู้มันมีจำกัด ถ้าเรามุ่งแต่จะแสวงหาความรู้ สักวันหนึ่ง เราก็จะต้องไปถึงทางตัน ตอนที่เรารู้สึกว่า ความรู้หรือข้อมูลที่มันมีอยู่มันจำกัด มันอธิบายอะไรไม่ได้หมด (การที่คุณเดี้ยงบอกว่า มันไม่มีข้อมูลเลยยังอธิบายไม่ได้ตอนนี้ ก็เป็นปรากฏการณ์นั้นแหละ) เพราะอะไรหรือ? เพราะความรู้หรือตรรกะมันมีกรอบของมัน มีกลไกของมัน มันไม่ใช่ องค์รวมของทุกสิ่ง เป็นเพียงแค่เสี้ยวหนึ่ง ถ้าเราไขว่คว้าความรู้โดยการรอรวบรวมข้อมูลจากกรอบเดิม มันก็จะได้ผลเดิมๆ ซึ่งพิสูจน์ได้ในกรอบของความรู้เท่านั้น ถ้าเราลองเปิดใจกว้างๆ รับบางสิ่งบางอย่างที่มันนอกเหนือจากกรอบของความรู้ เข้ามา บางทีเราอาจจะได้คำตอบอะไรใหม่ๆกว่าที่เราไม่เคยรู้ก็ได้นะ เราคิดว่างั้น จากคุณ : นานานะจัง - [ 7 ม.ค. 47 15:52:07 A:202.28.27.4 X:202.28.25.114 ]

ความคิดเห็นที่ 21 จริงๆแล้วพอได้ไปอ่านข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ก็สนุกมาก และผมก็หวังว่าหนูเซฯ คงจะไม่เคืองผมมากเกินไปจริงๆแล้ว ถ้าหากเรามีมาอภิปรายกันอย่างน่าสนใจ น่าจะสนุกดีนะครับ จริงๆแล้วมีบทความจากงานวิจัยของสกว. หลายชิ้นที่อ่านแล้วดีมากครับ พอดีระหว่างการค้นข้อมูลนั้นผมได้ไปพบมา ก็เลยเก็บเอาลิงก์มาฝากกัน http://www.chula.ac.th/research/activity/journal/rj43_406.htm http://www.stc.arts.chula.ac.th/papers/Science_and_Human_Values.html http://www.stc.arts.chula.ac.th/papers/WSC-News.html http://www.stc.arts.chula.ac.th/papers/SciSoc_DemSoc.html จริงๆตอนนี้ผมกำลังสนุกกับการอ่านเจ้าพวกนี้ที่หามาได้อยู่ ทั้งข้อเขียนจำพวกปรัชญาวิทยาศาสตร์ เมตาฟิสิกส์ และก็พวก Pseudoscience ซึ่งนับว่า กระทู้นี้พอเริ่มอภิปรายกับหนูเซฯตอนต้นๆ แล้วได้ประโยชน์มากๆจริงๆ เพราะจากตรงนั้นเองทำให้ผมไปค้นหาได้ข้อมูลที่น่าสนใจมามาก ผมจึงกะว่าจะทำเป็นเว็บละครับ เพราะข้อมูลมันมีมากเหลือเกิน และน่าสนใจจริงๆครับ เรามามองการอภิปรายกันในเชิงสร้างสรรค์นะครับ แก้ไขเมื่อ 14 ม.ค. 47 09:09:49 แก้ไขเมื่อ 13 ม.ค. 47 10:34:41 จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! - [ 13 ม.ค. 47 06:15:29 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ในแง่ของปราณ ตามความเชื่อโบราณนั้น รายละเอียดก็น่าที่จะรวบรวมเช่นกันครับ แม้ว่าโดยส่วนตัวแล้วผมจะตั้งข้อกังขาถึงการมีอยู่จริงของมัน แต่ก็เป็นที่น่าสนใจว่าคนโบราณเขาเชื่อพวกนี้อย่างไร เท่าที่ทราบ ในขณะที่มีการค้นพบเข็มทิศเป็นครั้งแรก คนโบราณเค้าก็มีความเชื่อว่าเข็มทิศมีการเคลื่อนที่ได้ด้วยปราณเหมือนกัน (ในตอนนั้นยังไม่มีการค้นพบเรื่องสนามแม่เหล็กไฟฟ้า) เหล่านี้เรื่องราวเหล่านี้น่าสนใจ และการประดิษฐ์ รวมถึงวิทยาการของจีนโบราณ ก็น่าติดตามอ่านเช่นกันครับ ไว้ไปค้นเจออะไรน่าสนใจ จะเอามาเล่านะครับ แก้ไขเมื่อ 13 ม.ค. 47 13:49:20 จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! - [ 13 ม.ค. 47 11:00:34 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ความเห็นของผม ไม่อธิบายมากหรอกครับ ไม่มีเวลาเรียบเรียง ความคิดมากมายขนาดนั้น พลัง คือ พลังจิต จากจิตที่ได้รับการฝึกฝนมาดีแล้ว ลองคิดดูให้ดีนะครับ เจได ก็คือ นักบวชประเภทหนึ่งนั่นเอง เจไดได้รับการฝึกจิตให้ละโลภ โกรธ หลง ไม่มีอคติใดๆ แต่มีคุณธรรมที่จะสู้กับอธรรม หรือสิ่งที่ไม่เป็นธรรม แก้ไขเมื่อ 13 ม.ค. 47 14:09:57 จากคุณ : หนุ่มเทคนิค - [ 13 ม.ค. 47 14:09:45 ]

ความคิดเห็นที่ 24 จริงๆแล้วผมชอบเจไดมากเลยหละครับ ใช้ดาบไลท์เซเบอร์ต่อกรกะปืน เท่ห์สุด จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! - [ 14 ม.ค. 47 01:09:00 ]

ความคิดเห็นที่ 25 อ๊ะ.... เจอแล้ว เจอเข้าโดยบังเอิญ เรื่องคำนิยามของปราณ ในความเชื่อตามคติโบราณ และ ตามคำจำกัดความในภาพยนตร์สตาร์วอร์ส จากการค้นข้อมูลเชิงเปรียบเทียบมานาน เพื่อการจัดทำโฮมเพจส่วนตัว แถมตอบคุณมูแอนข้างบนได้ด้วย ความหมายของปราณตามความเชื่อแต่โบราณก็มีนิยามตามนี้ละครับ(ข้อมูลเอามาจากเว็บของ อ.สุวินัย ภรณวลัย) ======================================== โยคี รามจรกะ เขียนถึงเรื่องปราณไว้ในหนังสือเรื่อง "Science of Breath" ของท่านว่า "ปราณถือว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของแรงและพลังทั้งมวลในจักรวาลมันแทรกอยู่ในอะตอมของมวลสารหรือสรรพสิ่งที่มีอยู่ทุกแห่งในโลกทั้งสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ไม่ว่าจะเป็นแรงโน้มถ่วงของโลก แรงผลักแรงเหวี่ยงแรงดึงดูด และแรงต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ในจักรวาลล้วนแต่มีกำเนิดมาจากปราณทั้งสิ้นปราณแทรกอยู่ในมวลสาร แต่หาใช่มวลสารไม่ อยู่ในอวกาศ แต่ไม่ใช่อวกาศอยู่ในอาหาร แต่ไม่ใช่อาหาร ปราณแทรกอยู่ในดินแต่ไม่ใช่ธาตุที่ประกอบเป็นดิน" "ปราณแทรกอยู่ในสิ่งมีชีวิต บางครั้งก็เรียกว่าพลังชีวิต มันจะแทรกอยู่ในสิ่งมีชีวิตนับตั้งแต่สัตว์เชลเดียว ตัวอะมีบา ไปจนถึงมนุษย์หรือจากอนุภาคเล็กๆของพืชชั้นต่ำจนถึงชีวิตสัตว์" "ปราณจึงไม่ใช่ตัวตนที่มองเห็นได้ แต่มันเป็นพลังงานที่ถูกใช้ในมวลสารต่างๆ สำหรับปราณที่แทรกอยู่ในสิ่งมีชีวิตเช่นมนุษย์ หากมนุษย์สิ้นชีวิตไปแล้ว ปราณก็ไม่สามารถถูกควบคุมได้ ปราณกับจิตมีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น อุปมาดั่งม้ากับคนขี่ม้า จิตมีอำนาจเด็ดขาดในการบังคับ ปราณในร่างกายของคนเราให้สมดุลกับพลังปราณภายนอกที่มีมากมายราวกับมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ " ปราณยังมีคำใช้เรียกในอีกหลายคำเช่น Energy (พลังงาน) หรือบางทีก็ใช้คำว่า ไวเบรชั่น ( Vibration ) หรือคลื่นพลัง ซึ่งมีรายละเอียดปลีกย่อยที่อาจต่างกันไปบ้าง แต่ทั้งหมดก็มาจากต้นตออันเดียวกัน เพียงแต่ถูกปรับใช้ตามความเหมาะสมหรือสำนวนของผู้เขียนแต่ละคนเท่านั้น จากความหมายของ "พลัง" ที่ปรากฏใน Star Wars กับปราณหรือชี่ที่กล่าวมาข้างต้นย่อมเห็นแล้วว่ามันหมายถึง สิ่งเดียวกันอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นการที่ ลุคสกายวอคเกอร์ เรียนรู้เรื่องพลังในอีกความหมายหนึ่งก็คือ การเรียนรู้เรื่องปราณและการฝึกควบคุมปราณนั่นเอง จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ มวยไท้เก้กคือมวยพลังไฟฟ้าและ เป็นการฝึกอานาปานสติขั้นต้น.... วิชาเต๋าของจีนเชื่อว่าในร่างกายของคนเรามีหม้อแบตเตอรี่เก็บกระแสไฟฟ้าอยู่ 2 แห่ง หม้อแบตเตอรี่ที่เก็บสะสมไฟฟ้าตัวผู้ (ขั้วบวก) อยู่บนศรีษะ ในขณะที่หม้อแบตเตอรี่ที่เก็บกระแสไฟฟ้าตัวเมีย (ขั้วลบ) อยู่ที่ใต้สะดือ กล่าวคืออันหนึ่งอยู่ข้างบน อีกอันหนึ่งอยู่ข้างล่าง เหมือนขั้วโลกเหนือกับขั้วโลกใต้โดยมีเส้นประสาท เป็นสายเชื่อมโยงติดต่อกัน และมี "จุดศูนย์" (บน กลาง ล่าง) 3 แห่ง ทำหน้าที่เป็นสถานีผสมผสานกันระหว่างกระแสไฟฟ้าบวกกับกระแสไฟฟ้าลบโยคาจารย์ทางเต๋า ผู้ค้นพบ "พลังจักรวาล" เช่นนี้มาตั้งแต่โบราณกาลมีความเชื่อมั่นว่า คนเราสามารถอาศัยวิธีหายใจรับเอา พลังจักรวาล (ปราณ) นี้จากดินฟ้า จากดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ มาสะสมเป็นสมรรถภาพภายในร่างกายของตนได้ และเพื่อรวมพลังจักรวาลเหล่านี้ไปใช้ในการ "บรรลุธรรม" หรือ "บรรลุเต๋า" ซึ่งการจะทำเช่นนี้ได้ วิชาเต๋าของจีนเชื่อว่า ก่อนอื่นจะต้องเพิ่มการประจุไฟฟ้าเข้าไปในเซลล์แต่ละเซลล์ของร่างกาย โดยเฉพาะในเซลล์สมองเสียก่อน นี่จึงเป็นที่มาของ " วิชาสะสมกำลังภายใน" เพื่อเพิ่มประจุไฟฟ้าในเซลล์ของร่างกาย ต่อมาภายหลังจากที่เพิ่มประจุไฟฟ้า (สะสมกำลังภายใน) ได้แล้วก็จะต้องรู้จักควบคุมพลังไฟฟ้าเหล่านั้น ให้ไปรวมพลังที่กลางกระหม่อมเพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสมอง ไปเป็นสมองเซียน หรือมันสมองของวิญญาณที่สูงส่ง นี่จึงเป็นที่มาของ "วิชาโคจรลมปราณ" ======================================= ข้อมูลจาก (โทษนะครับคุณมูแอน ถ้าคุณเข้ามาอ่านตรงนี้อีกทีและอยากเข้าไปดูลิงก์ข้างล่าง เวลาไปดูให้พิมพ์ตรงคำว่า สุวินัย ขีด ดรากอน เป็นภาษาอังกฤษด้วย ไม่รู้ทำไมตอนผมโพส พันทิบถึงแก้คำนี้ในลิงก์ข้างล่าง เป็นรูปหน้ายิ้มตลอด) http://www.สุวินัย-ดรากอน.com/samnak_yut_jdai3.html แก้ไขเมื่อ 16 ม.ค. 47 06:07:39 แก้ไขเมื่อ 16 ม.ค. 47 05:57:59 แก้ไขเมื่อ 16 ม.ค. 47 05:54:47 จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! - [ 16 ม.ค. 47 05:53:30 ]