CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    คุณเห็นด้วยกับ ส.ว.ระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช หรือไม่ ที่ท่านอ้างจากการทำงานและผลการวิจัยว่า "ผู้ชายส่วนใหญ่เลว"?

      เห็นด้วย (9 คน)
      ไม่เห็นด้วย (34 คน)

    จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 43 คน

     20.93%
     79.07%


    ระเบียบรัตน์กรี๊ด "ดิฉันไม่ได้เกลียดผู้ชาย"!!!

    โดย ผู้จัดการออนไลน์ 4 กรกฎาคม 2547 17:42 น.

         
          ออกมาเปิดศึกฉะทั้งเพลงที่มีเนื้อหาส่อไปทางเซ็กซ์ ภาพยนตร์วีซีดี และแฟชั่นนิตยสารส่อโป๊ แถมยังเปิดศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์จนเป็นต้นตำรับแฉชีวิตเมียหลวงเมียน้อย วันนี้ใครมองไปยัง ส.ว.ระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช (นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย) ถ้าไม่เรียกเธอว่าป้าได (โนเสาร์) ก็อาจจะต้องเข้าไปขอลายเซ็น
         
          เธอคือไม้บรรทัดวัดศีลธรรมสังคมไทยจริงๆ หรือ?
          หรือเป็นเพียงสตรีเก็บกดผู้หาโอกาสแสดงความต่อต้านบุรุษเพศเพื่อเป็นการแก้แค้น!?!
         
          “ดิฉันไม่ได้แค้นผู้ชาย (หัวเราะ) ใครที่คิดว่าดิฉันออกมารณรงค์เรื่องเหล่านี้เพราะมีความหลัง หรือเคยโดนกระทำมาก่อน ดิฉันคิดว่าพื้นฐานของจิตใจทำให้คนคิดต่างกัน คนเราถ้าเขาออกมาทำงานอะไรสักเรื่องไม่ใช่ว่าต้องโดนกระทำอย่างนั้นมา ถ้าดิฉันโดนกระทำครอบครัวเละเทะ ดิฉันคงไม่มีปัญญามานั่งพูดหรอกคะ”
         
          เธอเล่าว่าในชีวิตนี้มีชายเดียวในดวงใจ ไฉนเลยจะถูกใครกระทำให้เจ็บช้ำจนเข้าขั้นเก็บกด ไม่เชื่อลองฟังตำนานรักระหว่างคุณระเบียบรัตน์กับท่านปลัดกระทรวงมหาดไทยผู้เป็นสามีดูสิ
         
          “มาเจอท่านปลัดตอนที่เรียน ม.8 ท่านเป็นพี่ชายของเพื่อน วันนั้นเราชวนกันไปเที่ยวงานกาชาด แล้วเพื่อนคนหนึ่งชื่อไอ้หมูมันอกหัก ก็เลยกะเอาหมูไปให้ท่านปลัดฯ จีบ ส่วนเราก็ไม่ค่อยสนใจผู้ชายเพราะสมัยนั้นตัวอ้วนกลมบ๊อกเลย
         
          “หลังจากนั้นท่านปลัดกระทรวงก็เขียนจดหมายไปถึงเพื่อนดิฉัน บอกว่าพี่ชอบเพื่อนน้องนีที่มาวันนั้นน่ะ แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นใคร เราก็ดีใจกันใหญ่ว่าต้องเป็นไอ้หมู่แน่ๆ เลย เข้าตาเค้าแล้ว ตอนหลังเค้าก็ไปหาที่บ้านเพื่อน ซึ่งเราไปติวหนังสือกัน ท่านปลัดก็ซื้อขนมมาฝากพวกเรา ก็นั่งคุยกัน ตอนหลังๆ ก็เลยรู้ว่าเค้าชอบเรา”
          จากนั้นทั้งคู่ก็สานสัมพันธ์รักกันมา 8 ปีเต็มกว่าจะตัดสินใจใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน...
         
          “ดิฉันคบกับท่านปลัดฯ มา 8 ปีถึงได้แต่งงานกัน ท่านปลัดฯ ให้เกียรติดิฉันมาก ในสมัยก่อนมันทำอะไรได้ไม่มาก ก็แค่จูงมือกันข้ามถนน เราไม่เชิงระแวดระวังอะไรมาก ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะครอบครัวด้วย พ่อแม่เราสอนมาเสมอผู้หญิงต้องรักนวลสงวนตัวนะ วันที่สำคัญที่สุดของเราจะเสียความบริสุทธิ์ให้กับผู้ชายคือวันแต่งงาน มันไม่ใช่ผู้หญิงเดี๋ยวนี้ที่มีเซ็กซ์ แล้วก็ไม่ได้สนใจตรงนั้น”
         
          สรุปว่า 8 ปีเต็มที่แค่จับมือ... “มันก็มีแค่นั้นแหละค่ะ บางทีก็โอบ บางทีก็นั่งรถไปด้วยกัน สัมผัสภายนอกตามประสาคนรักกัน แต่จริง ๆ แล้วเราไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกันเพราะท่านจะประจำอยู่ต่างจังหวัดซะมากกว่า มันไม่เหมือนเดี๋ยวนี้ที่สื่อตะวันตกมันเข้ามามากมาย มันคนละยุคกันนะคะ ดิฉันถึงไม่เคยตำหนิวัยรุ่น แต่ตำหนิสังคมที่พยายามยัดเยียดอะไรให้เค้ามากกว่าเพราะจริงๆ แล้วเด็กบริสุทธิ์มาก
         
          “แต่พอเด็กมันรับอะไรไปมากๆ ดิฉันก็รู้สึกเป็นห่วงเด็กๆ ดิฉันไม่คิดว่าเค้าจะได้เป็นผัวเป็นเมียกัน คิดแต่ว่าเค้าจะสนุก มีเซ็กซ์ มีกิน มีใช้ มีเซ็กซ์ วนเวียนอยู่แบบนี้ แล้วสักวันหนึ่งเค้าก็จะถูกทิ้งไป ผู้ชายไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ แต่ผู้หญิงสิคะเสียหาย และสิ่งที่แถมมาคือโรคภัยไข้เจ็บ”
         
          แสดงว่าโดยส่วนตัวคุณระเบียบรัตน์ค่อนข้างแอนตี้การมีเซ็กซ์ก่อนแต่งงาน..
          “แอนตี้คงไม่แอนตี้หรอกค่ะ แต่ว่าการที่ผู้หญิงจะมีแนวคิดที่ว่า การที่ให้เค้าหลับนอนด้วยเป็นการแสดงความรักที่บริสุทธิ์ มันน่าเสียดายนะ ถือว่าคิดผิด เพราะพวกผู้ชายความรู้สึกมันไม่เหมือนเรา มันไม่รักใครจริงหรอกค่ะ มันเริ่มต้นด้วยการเห็นผู้หญิงคนนี้มามันก็แบบ เฮ้ย...ยายนี่นมสวยเว้ย ไอ้นี่สะโพกสวย อุ๊ย...ขาวจั๊วน่าฟันเป็นบ้าเลย แล้วก็จะหาทางทำไงให้ได้ผู้หญิงคนนี้มานอนด้วย
         
          “ทุกอย่างมันเริ่มจากร้อยเปอร์เซ็นต์ พอมันได้ปุ๊บ ผู้หญิงติดเลย ผู้หญิงแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ มันคนละครเซ็ปต์กับผู้ชาย ผู้ชายพอฟันเสร็จ มันไม่สนแล้ว มันก็แสวงหาไปเรื่อย
         
          “คือถ้าเราพูดในภาพรวมมันจะเป็นแบบที่ดิฉันพูด แต่ไม่หมายความว่าผู้ชายจะเลวไปทั้งหมด เรากำลังพูดถึงส่วนใหญ่และดิฉันไม่ได้พูดเอง แต่พูดจากการดูจากเอกสารวิจัย หรือการที่ทำงานด้านเด็กด้านสตรีมามันเป็นอย่างนี้จริงๆ เรื่องนี้มันต้องสอนที่ผู้ชาย ต้องปลูกฝังจิตสำนึกที่ดีให้เค้า ไม่ใช่ว่าเป็นผู้ชายมันไม่เสียหาย คือเรื่องเหล่านี้มันเป็นเรื่องที่อยู่ในสังคมไทย ซึ่งผู้ชายเป็นใหญ่มาโดยตลอด มันเป็นการสั่งสมทางวัฒนธรรม
         
          “เพราะฉะนั้น ถ้าใครคิดว่าดิฉันกดดันเก็บกดถึงมาระบายออกเป็นความรุนแรงอย่างนี้ ดิฉันบอกเลยใช่…เพราะดิฉันมาจากครอบครัวที่มีผัวเดียวเมียเดียว ครอบครัวพ่อแม่ของดิฉันอบอุ่นไม่เคยเห็นอะไรที่มันเป็นความไม่ดี พอมีสามีก็เป็นนักประชาธิปไตย พอมีลูกก็อบรมเลี้ยงดูจากคำสอนของพ่อแม่ ดิฉันเจอแต่สิ่งดีๆ เห็นครอบครัวของเรามีความอบอุ่น ก็เลยเก็บกดอยากให้สังคมมีความสุขบ้าง”
         
          เธอกล่าวในตอนท้ายถึงมุมในการมองเรื่องเซ็กซ์ว่า “จริงๆ แล้วเรื่องเซ็กซ์มันก็เป็นมรดกทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง และปัจจุบันนี้เซ็กซ์ก็พัฒนากลายเป็นรูปแบบเซ็กซ์ในเชิงพาณิชย์เรียบร้อยแล้ว ฉะนั้นไอ้การที่คุณระเบียบรัตน์ออกมาต่อต้านภาพโป๊ต่างๆ ออกมาแฉว่าคนนั้นเป็นเมียน้อยคนนี้ หนังเรื่องนี้ขายเซ็กซ์ เหล่านี้ก็เลยทำให้หลายๆ คนมองว่า นี่คืออาการของคนไม่ยอมรับความจริง เชย ขวางโลก ไดโนเสาร์
         
          “ดิฉันยอมรับความจริงนะคะ ถึงได้บอกไงว่า เด็กสมัยนี้คงต้องพกถุงยางอนามัยกันแล้ว ส่วนใครจะว่าเชยยังไงก็ช่างเถอะค่ะ เพราะเรารู้ว่าเรามาจากอะไร เราเป็นตัวแทนของประชาชนที่เลือกมา ถ้าเลือกมาแล้วไม่ทำประโยชน์เพื่อสังคม ดิฉันทำแบบนั้นไม่ได้หรอกค่ะ มันเห็นแก่ตัว อย่างน้อยไอ้สิ่งที่เราพูดออกไป มันก็เป็นสิ่งที่สะท้อนให้สังคมหันมาคิดสักนิดหนึ่ง ยินดีถ้าเกิดใครจะบอกว่าเชย ยินดีถ้าใครจะบอกว่า ระเบียบรัตน์เป็นป้าได(ไดโนเสาร์) ก็ไม่ว่ากัน ไม่โกรธค่ะไม่โกรธ (หัวเราะ)”

    จากคุณ : Born To Be - [ 5 ก.ค. 47 08:57:38 ]