CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    (กระทู้ซีรีย์ แฟนตาซีญี่ปุ่น) องเมียวจิ :ตอนที่ 2 หยิบฉวยเพื่อยักษ์บิวะนามเก็นโซ{แตกประเด็นจาก A2921482}

    ความเดิมจากกระทู้ก่อน

    หยิบฉวยเพื่อยักษ์บิวะนามเก็นโซ

    1.
    ขอเล่าถึงเรื่องของบุรุษพิสดาร
    ถ้าจะให้พูด ก็คือเรื่องของบุรุษซึ่งมีบุคลิกราวกับเมฆกลางฟ้าเวิ้งว้างยามค่ำซึ่งลอยไปมาตามกระแสลม
    เมฆที่ลอยอยู่ในความมืด เคลื่อนคล้อยไปมา ไม่มีอันใดเปลี่ยนแปลง แต่แล้ว พอลองมองดู มันก็กลับเปลี่ยนรูปร่างไปเสียแล้ว เมฆก้อนเดียวกันแท้ๆ กลับหารูปร่างแน่นอนมิได้เลย
    เป็นเรื่องของบุรุษเช่นนั้นเอง
    ชื่อของเขาคือ อาเบะโนะเซย์เมย์
    เป็นองเมียวจิ
    ดูเหมือนว่าเขาจะถือกำเนิดประมาณศักราชเอนหงิที่ 21 ในรัชกาลของจักรพรรดิไดโกะ แต่ปีเกิดและตายของเขานี้ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรงเลย เรามาปล่อยให้ความไม่ชัดเจนนี้คงอยู่ต่อไป เพื่อความสนุกของเรื่องนี้กันดีกว่า
    เรื่องเช่นนี้คงกำหนดแน่นอนไม่ได้หรอก
    ถ้าจะให้ดี ข้าพเจ้าคิดว่าเรามาเดินเรื่องต่ออย่างอิสระ ตามทางของเรากันเถอะ วิธีการเช่นนี้คงเหมาะกับบุคคลเช่นนี้นัก

    ยุคเฮอัน-----
    ยุคที่ความมืดยังดำรงอยู่ในฐานะความมืด ยุคสมัยที่เชื่อกันเป็นแม่นมั่นว่าเหล่าสิ่งประหลาดทั้งหลายดำรงอยู่มากกว่ามนุษย์หลายเท่านัก ยุคที่ทั้งมนุษย์ ยักษ์ อสุรกายล้วนพำนักอยู่ร่วมกัน ท่ามกลางความมืดของนครเดียวกัน ไม่ใช่ในป่าอันห่างไกลท่ามกลางขุนเขา  และสูดหายใจร่วมกัน

    -----องเมียวจิ
    ถ้าจะให้พูดง่ายๆ จะเรียกว่าเป็นนักทำนายก็คงได้ หรือไม่ก็เป็นนักเวทมนตร์ หรือผู้บวงสรวงก็พอได้ แต่ไม่มีคำเรียกใดเลยที่ถูกต้องพอดี
    องเมียวจิจะดูลักษณ์ดารา และดูชะตามนุษย์
    ถ้าพิจารณาจากตำแหน่ง เขาสามารถทำนาย หรือสังหารผู้อื่นด้วยคำสาปได้ ทั้งยังใช้เวทมนตร์ได้ด้วย
    อำนาจที่มองไม่เห็น ----- เขาสามารถสื่อสารกับชะตา วิญญาณ หรือยักษ์ได้อย่างลึกซึ้ง เขามีความสามารถควบคุมสิ่งพิลึกเช่นนั้นได้
    เป็นหนึ่งในตำแหน่งรับใช้ของราชสำนัก มีกระทั่งตำหนักองเมียวตั้งอยู่ในเขตราชฐานฝ่ายในเลยทีเดียว
    ตัวเซย์เมย์เองก็ได้รับตำแหน่งซึ่งถือเป็นอันดับสี่ของราชสำนัก
    อันดับหนึ่งคือไดโชไดจิน (มหาเสนาบดี)
    สองคือไนไดจิน (มหาอำมาตย์) ซ้ายและขวา
    สามคือ ไดนะงน (อำมาตย์เอก) และจูนะงน (อำมาตย์โท)
    ฐานะการงานเช่นนี้ คงมีอำนาจสั่งการในราชวังค่อนข้างมากเลยไม่ใช่หรือ
    เรื่องราวอันน่าสนใจของอาเบะโนะเซย์เมย์ผู้นี้ ได้รับการบันทึกอยู่ใน “คนจาคุโมโนงาตาริ (นิทานร่วมสมัย)” หลายเรื่องทีเดียว

    มันเป็นเรื่องในวัยเยาว์ของเซย์เมย์ เมื่อครั้งไปฝึกตนกับองเมียวจิคนก่อนนาม คาโมโนะ ทะดะยูคิ
    นับแต่นั้นมา เซย์เมย์ก็ฉายแววความสามารถอันเป็นบุคลิกเฉพาะขององเมียวจิออกมา
    อาจจะเป็นพรสวรรค์ชนิดหนึ่งก็ได้
    “คนจาคุโมโนงาตาริ” บันทึกไว้ว่า ในช่วงวัยเยาว์ของเซย์เมย์ มีอยู่คืนหนึ่ง ที่ทะดะยูคิ ผู้เป็นอาจารย์ ออกไปในเมือง
    ถ้าจะออกไปในเมือง ก็ต้องเป็นด้านใต้
    ขบวนอาจออกจากตำหนักที่ประทับ ผ่านประตูสุซาคุ ไปตามถนนสุซาคุ จนกระทั่งใกล้ถึงประตูราโชมงซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดของเมืองด้านใต้ก็ได้
    จากใจกลางราชวังถึงประตูราโชมง ห่างประมาณ 8 ลี้กว่า

    รถเคลื่อนแล้ว
    รถอันใดไม่มีบันทึกไว้แน่ชัด บางทีอาจจะเป็นรถเทียมวัว
    ทำใดถึงต้องออกไปในเมืองยามดึก แน่นอนว่าไม่มีบันทึกไว้แน่ชัดเช่นกัน อาจไปยังเรือนของสตรีรู้ใจ เช่นนี้นับว่าเหมาะสมนัก
    ในหมู่ผู้ติดตามนั้น มีเซย์เมย์อยู่ด้วย
    ทะดะยูคินั่งอยู่บนรถแต่ผู้เดียว ส่วนผู้ติดตามนั้นเดินเท้า
    หากรวมเซย์เมย์ด้วยแล้ว ผู้ติดตามน่าจะมีประมาณสองสามคน โดยเป็นผู้จูงวัวและเป็นผู้ถือตะเกียง
    -----ส่วนอีกคนหนึ่งนั้น ก็คือเซย์เมย์ในวัยเยาว์นั่นเอง แม้ว่าจะไม่มีบันทึกไว้ว่าอายุเท่าใด แต่เมื่อลองนึกถึงอายุของเซย์เมย์ในยามนี้แล้ว ก็น่าจะอยู่ในวัยสิบปีต้นๆ เท่านั้น

    ผู้ติดตามอื่นล้วนสวมใส่ฮิตะทะเระ (ชุดท่อนบนแขนยาว ซึ่งพวกซามูไรในสมัยคามาคุระใส่กัน) อันทันสมัย แต่เซย์เมย์กลับสวมโคโซเดะบาคามะ (เสื้อฮาคามะแขนสั้น) ตัวเก่าคร่ำคร่าและเดินเปลือยเท้า เสื้อที่เซย์เมย์สวมใส่นั้น คงเป็นเสื้อเก่าของใครสักคน
    ทว่า แม้จะห่อคลุมด้วยชุดเก่าคร่ำคร่า แต่หากลองมองใบหน้านั้นอย่างพิเคราะห์แล้ว ก็อาจจะเห็นพรสววรค์ที่ติดตัว หรือไม่เห็นก็ได้ เค้าหน้าอันสง่างามนี้ หากมองภายนอกแล้ว ก็ไม่ผิดอะไรกับเด็กในวัยเดียวกันนั้นเลย
    เมื่อมีโอกาส ย่อมสามารถออกคำสั่งหรือแสดงความสามารถอันยอดเยี่ยมได้ดุจเดียวกับผู้ใหญ่เป็นแน่ เขาเป็นเด็กหนุ่มเช่นนั้น
    ทะดะยูคิผู้เป็นอาจารย์อาจเคยพบเห็นพรสวรรค์อันมหัศจรรย์ที่ผู้อื่นไม่มี ภายในดวงตาของเซย์เมย์ก็เป็นได้ ทว่าเรื่องนั้นก็น่าจะเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วนี่
    ทะดะยูคินั้นล่วงรู้ถึงพรสวรรค์ที่ซ่อนอยู่ในตัวของเซย์เมย์ ก็จากเหตุการณ์ในคืนนี้แหละ

    ขอกลับสู่เรื่องอีกครั้ง

    รถเทียมวัววิ่งกึกกักไปเรื่อยๆ เข้าใกล้ชานเมืองเข้าไปทุกทีแล้ว
    ทะดะยูคิกำลังหลับสนิทอยู่บนรถ
    แต่แล้วเมื่อเซย์เมย์ซึ่งเดินอยู่ข้างรถมองไปยังข้างหน้า ก็พบกับสิ่งประหลาดบริเวณนั้น
    “เหล่ายักษ์ที่น่าเกลียดน่ากลัว” กำลังมุ่งหน้ามายังรถนี้แล้วมิใช่หรือนั่น
    เมื่อมองดูผู้อื่น กลับดูเหมือนไม่มีผู้ใดมองเห็นพวกยักษ์ร้ายนั้นเลย
    เซย์เมย์รีบเปิดหน้าต่างรถเทียมวัวทันที
    “ท่านทะดะยูคิ----”
    เซย์เมย์ปลุกทะดะยูคิ จากนั้นจึงรีบแจ้งสิ่งที่ตนพบเห็นให้ทราบ
    เมื่อทะดะยูคิซึ่งตื่นขึ้นยื่นศีรษะออกจากหน้าต่างรถมองออกไป ก็เห็นพวกยักษ์ทั้งหลายกำลังเข้าใกล้เข้ามาทุกทีเสียแล้ว
    “หยุดรถเถอะ”
    ทะดะยูคิบอกกับเหล่าผู้ติดตาม
    “จงรีบไปซ่อนอยู่ในเงารถ กลั้นหายใจไว้ ห้ามเคลื่อนไหว และอย่าทำเสียงใดๆ ทั้งสิ้น”
    แล้วทะดะยูคิก็ใช้มนตร์กำบังรถเทียมวัวและตนเองไว้ไม่ให้พวกยักษ์เห็น จนกระทั่งพวกมันเดินผ่านไป ทะดะยูคิจึงเรียกเซย์เมย์มาเป็นผู้ติดตามนับแต่บัดนั้น

    ทะดะยูคิถ่ายทอดวิชาองเมียวที่ตนเองรู้ให้แก่เซย์เมย์จนหมดสิ้น
    “คนจาคุโมโนงาตาริ”ได้บันทึกเรื่องนี้เอาไว้ว่า “ดุจการถ่ายน้ำในคนโท” กระนั้น

    จากคุณ : ...วัช... - [ 25 ก.ค. 47 01:18:06 ]