ความคิดเห็นที่ 1 ผมเพิ่งอ่านหนังสือจบเองสดๆร้อน ซึ่งในท้ายเล่มเค้าบอกว่า "..บทเรื่องนี้ถูกเขียนขึ้นแต่แรกโดย Jeff Vintar ในชื่อ Hardwired แล้วค่อยมีการนำเอาชื่อตัวละครและรายละเอียดของ I,Robot ใส่เข้าไปทีหลัง..." เปนบทท้ายเล่มจาก สนพ.Provision ครับ จากคุณ : EITHER - [ 30 ก.ค. 47 20:52:43 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เวรกรรมแท้ๆ ยังงี้ก็โดนหลอกน่ะสิครับ ถ้าไม่เอาชื่ออาซิมอฟมาขายหนังเรื่องนี้น่าจะดูได้สนุกขึ้น แสดงว่าในโลกเราก็จะมีหนังสือ I, Robot ที่แตกต่างกันสองเล่ม ฉบับดั้งเดิมของอาซิมอฟกับ movie tie-in จากคุณ : vk'^h - [ 30 ก.ค. 47 21:40:46 A:210.203.178.249 X: ]

ความคิดเห็นที่ 3 แฟนพันธ์แท้อาซิมอฟที่เผลอไปอ่า่นฉบับ movie tie-in คงจะร้อง ฮ่วย มันส์โลด ส่วนแฟนหนังที่เผลอไปอ่านฉบับอาซิมอฟก็คงจะบ่นว่าจืดชืดไม่มีการบู๊ล้างผลาญแบบฮอลลีวูด จากคุณ : vk'^h - [ 30 ก.ค. 47 21:44:37 A:210.203.178.249 X: ]

ความคิดเห็นที่ 4 ผมดูหนังก่อน แล้วค่อยอ่านหนังสือ แต่ก็ชอบในหนังสือมากกว่า ว่าจะซื้อชุด Robot มาอ่านซะหน่อย จากคุณ : EITHER - [ 30 ก.ค. 47 22:39:23 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เท่าที่ดูมาหนังมีส่วนคล้ายเรื่องสั้นที่มีดร. แคลวิน เป็นตัวเอกอีก 2 เรื่องที่ไม่ได้รวมอยู่ใน I-robot ค่ะ แต่ใน Complete Robot กับ Robot Dreams จะมี ถ้าใครไม่อยากรู้เรื่องก่อน กะจะไปอ่านเอง ก็ข้ามเลยนะ เรื่องแรกชื่อ Little Lost Robot เกี่ยวกับหุ่นยนต์ที่ ถูกสร้างให้บายพาสกฎข้อที่ 1 บางส่วน พอมนุษย์ สั่นให้ "ไสหัวไป" ก็เลยหนีไปซ่อนในฝูงหุ่นยนต์ ดร. แคลวินเลยต้องมานั่งสัมภาษณ์หาตัวจริง ส่วนเรื่องที่ 2 คือ Robot Dreams หุ่นยนต์ในเรื่องถูก ดัดแปลงสมองให้ใกล้เคียงมนุษย์จนฝันได้ ดร. แคลวินเลยถูกตามไปสอบจนพบว่าหุ่นยนต์ฝันว่า ตัวเองเป็นผู้นำปลดแอกหุ่นยนต์ทั่วโลก แต่ดร. แคลวิน ในเรื่องสั้นทั้ง 2 ตอนต่างจากในหนังสุดๆ เพราะเรื่องแรกน่ะ แกสั่งทำลายหุ่นทั้งล็อตด้วยซ้ำ แต่คนจากบริษัทห้ามไว้ เพราะเสียดายของ ส่วนเรื่องที่ 2 พอแกรู้ว่าหุ่นฝันว่าอะไร แกก็ควักปืนไฟฟ้ามายิงโป้งเดียวจอดเลย ไม่มีมาหน้าเศร้าน้ำตาซึมเด็ดๆ จากคุณ : ทินา - [ 30 ก.ค. 47 22:52:28 A:203.209.120.88 X: ]

ความคิดเห็นที่ 6 หนังสือของอาซิมอฟผมมีอยู่แค่ 6 เล่มครับ I, Robot Caves of Steel Foundation Foundation and Empire Second Foundation Foundation's Edge สั่งมาจากอเมซอนดอทคอมเมื่อต้นปีพร้อมๆกับ LoTR อีก 4 เล่ม บอกตรงๆว่าชุด Foundation ไม่สนุกเลย จืดๆกร่อยๆยังไงก็ไม่รู้ ส่วน I, Robot ก็เหมือนกับไปหยิบเอาเรื่องสั้นที่เขียนๆไว้มาปะๆรวมกันโดยใช้แคลวินเป็นด้ายร้อย Caves of Steel ก็ไม่ลึกลับตื่นเต้นอะไรเลย ทนๆอ่านให้จบไป ใจจริงเลยนิยายไซไฟผมไปชอบ Battlefield Earth มากกว่า หนาปึ้กอ่านจุใจ (Mission Earth 10 เล่มจบก็พออ่านได้ แปลกพิศดารดี) จากคุณ : vk'^h - [ 30 ก.ค. 47 23:15:06 A:210.203.178.249 X: ]

ความคิดเห็นที่ 7 หยิบ I, Robot มาพลิกไปอ่านตอน Little Lost Robot ตามที่คุณทินาบอก ปรากฏว่าในปีนั้น 2029 หุ่นยนต์รุ่น NS-2 ราคาตัวละ 3 หมื่นเหรียญเอง ถูกจริงๆ เสียดายตอนที่ชื่อ Robot Dreams ไม่ยักมีในหนังสือ ส่วนพ่อ Jeff Vintar ที่คุณ EITHER บอกไว้ ไปค้นเจอว่าเป็นคนทำ Screenwriter ผลงานอีกเรื่องก็คือ Final Fantasy Spirits Within นั่นเอง จากคุณ : vk'^h - [ วันอาสาฬหบูชา 01:27:42 A:210.203.178.249 X: ]

ความคิดเห็นที่ 8 ฮิๆ คุณ vk'^h คงไม่ถูกกะนิยายของ assimov มั้งครับ ตอนแรกผนอ่าน foundation ก็อ่านตั้งนานนะ แต่ว่าพอผ่านไปหนึ่งในสี่ของเล่มหนึ่งก้อ่านฉลุยเลยอ่ะ สนุกมากๆ จากคุณ : heng005 - [ วันอาสาฬหบูชา 09:08:33 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ถ้าหากชอบอ่านเรื่องนิยายวิทยาศาสตร์ที่ต้องอาศัยพล็อต ที่วางเอาไว้หลายชั้น แล้วค่อยๆเผยออกมาทีละจุด ผมว่าคนนั้นจะต้องชอบอ่านนิยายของอาสิมอฟครับ ไม่น่าจะเป็นนิยายที่จืดชืดนะครับ มีการซ้อนเงื่อนงำ เหมือนนิยายสืบสวนสอบสวนชั้นดี ซึ่งภาพยนตร์ให้อรรถรส ไม่ได้ในชั่วระยะเวลาการนำเสนอเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น ตรงข้ามในส่วนของแอคชัน ถ้าหากมีมากเกินไปก็จะกลายเป็นภาพยนตร์แอคชันที่มีบรรยากาศของวิทยาศาสตร์เข้ามาประกอบเท่านั้นเอง ไม่ได้มีจุดหักมุมที่น่าประทับใจเหมือนภาพยนตร์วิทยาศาสตร์ดีๆหลายๆเรื่องที่ไม่ได้เน้นแต่แอคชันแต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งแน่นอนว่า อาจจะดูและตีความได้ยากกว่า แต่ให้ความละเมียดทางอารมณ์ได้ลึกซึ้ง และสูงส่งกว่าภาพยนตร์แอคชันครับ ภาพยนตร์วิทยาศาสตร์ หรือหนังสือนิยายวิทยาศาสตร์ที่ดี ก็เช่นเดียวกับ ภาพยนตร์ และนวนิยายแนวอื่นๆ คือน่าจะมีความกลมกลืนของความสัมพันธ์ระหว่างฉาก และตัวละคร ความเร็วและลีลาในการเดินเรื่อง รวมถึงจุดไคลแมกซ์ที่น่าประทับใจ (หรือจะแอนตี้ไคลแมกซ์ก็แล้วแต่) รวมถึงควรมีการสอดแทรกเสนอแนวคิดแง่มุมของความเป็นไปได้ของผลกระทบของวิทยาศาสตร์ หรือเทคโนโลยีใหม่ๆต่อสังคมเอาไว้ด้วย อย่างกลมกลืนและสมจริง ซึ่งตรงนี้นับเป็นหัวใจอันเป็นเสน่ห์ของนิยายวิทยาศาสตร์ในแบบดั้งเดิมของมันเลยทีเดียวครับ ผมเอง ไม่ใช่ไม่ชอบดูภาพยนตร์แอคชัน แต่อาจเปรียบเทียบได้ว่า หากเรารับประทานอาหารที่เผ็ดร้อนแรง ซึ่งอร่อยลิ้น แต่รับประทานอยู่ทุกๆมื้อ เราอาจมีวันที่ต้องเปลี่ยนไปรับประทานแกงจืดสาหร่ายเต้าหู้ ซาซิมิ เป็ดย่างอบน้ำผึ้ง หรือไวน์แดงจากอาฟริกาใต้บ้าง เพื่อเปลี่ยนรสชาติ อย่างนี้เป็นต้น เพื่อความหลากหลายครับ และบางทีอาหารแต่ละอย่าง ก็มีความอร่อยในตัวมัน ที่เป็นลักษณะเฉพาะของมัน ซึ่งจะเสียไปหากเปลี่ยน ไปจากเดิมมากเกินไปเช่นกันครับ จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! - [ วันอาสาฬหบูชา 09:30:43 ]

ความคิดเห็นที่ 10 Foundation ยังไม่ได้อ่านเลยแต่มีหลายคนบอกว่าน่าอ่าน เรื่องI, Robot อ่านหนังสือก่อนไปดูหนังค่ะ แต่ก็ชอบทั้ง หนังทั้งหนังสือนะ หนังสือนี่ชอบแนวคิดในหนังสือมาก หลายตอนที่อ่านแล้วทึ้งว่าเขาคิดได้ยังไงถึงเนื้อหาจะออก เนิบๆไม่หวือหวาแต่ก็แฝงอะไรให้คิดไว้เยอะค่ะ ตอนที่ชอบสุด คือตอน Evidence กับ Little Lost Robot ในหนังดูสนุกออกแบบเยี่ยมแต่เสียอย่างเดียวขายวิลสมิธ มากไปหน่อย:P อีกอย่างไม่ชอบดร. แคลวิน ในหนัง เลยค่ะ - -"กลายเป็นเหมือนยัยทึ่มยังไงไม่รู้ในหนังสือแก ออกจะเท่ นี่ถ้าเปลี่ยนชื่อไปเลยกลายเป็นตัวละครใหม่เรา จะไม่เคืองเลยนะเนี้ย จากคุณ : nangoing - [ วันอาสาฬหบูชา 10:42:41 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เห็นด้วยกับคุณ nangoing สุดๆเลยครับ หนังทำดีก็จริง แต่เขาไม่ได้เอาเนื้อหาหลักๆมาจากของอาซิมอฟเลย เอาแต่ชื่อมาขายมากกว่า และแค่เอาไดเดียหลักๆมายืน พื้นนิดหน่อยเท่านั้นเอง จากคุณ : sundown - [ วันอาสาฬหบูชา 14:14:35 A:10.0.2.6 X:203.144.215.123 ]

ความคิดเห็นที่ 12 คุณDigiTaL-KRASH!!! ผมมิได้ต่อต้านนิยายอาซิมอฟหรอกครับ ช่วงวัยรุ่นอ่อนๆผมยังจำได้ว่าชอบมาก หนังสือแปลรวมเรื่องสั้นชุดลึกลับนักสืบ ตอนที่อาซิมอฟเขียนไว้ผมยังว่าสนุกกว่านักสืบปัวโรต์ซะด้วยซ้ำ นี่ยังมีอยู่ในตู้เลย ลึกลับนักสืบแล้วก็รวมเรื่องสั้นนิยายวิทยาศาสตร์ของแมวไทอีกสามสี่เล่ม เพียงแต่ไม่รู้ไหงพอมาช่วงนี้กลับเห็นว่าไม่ตื่นเต้นเหมือนที่เคยคิดไว้สมัยเด็ก หรือว่าอาจจะโดนอิทธิพลหนังฮอลลีวูดล้างสมองซะก็ไม่รู้ เวลาคิดถึงไซไฟก็มัวแต่นึกภาพไปถึงแอคชั่นสุดมันส์และพล็อตเรื่องแบบอ้าปากค้างด้วยความทึ่งกึ่งตะลึงซะทุกที จากคุณ : vk'^h - [ วันอาสาฬหบูชา 17:37:10 A:210.203.179.11 X: ]

ความคิดเห็นที่ 13 ผมว่าหลังๆเราเอาหนังไซไฟไปผูกกับแอคชั่น กับเทคนิคพิเศษมากเกินไปครับ จริงอยู่ที่เราปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นสิ่งจำเป็น อย่างสมัยที่สตาร์วอร์สออกมาใหม่ๆ ตอนที่ยังไม่ค่อยมีคนทำเทคนิคพวกนี้ แค่ Stop Motion หรือ โมเดลก็ทำให้คนตะลึง แต่หลังๆพอดูหนังที่ทำจากกราฟฟิคคอมพิวเตอร์บ่อยๆเข้า ผมก็ไม่รู้สึกประทับใจนัก ถ้าไม่มีบทที่ดีและสมเหตุสมผลด้วย และมีสารที่ต้องการนำเสนอ อย่างเรื่อง Contact ที่ไม่เน้นแอคชั่นนักนี่ก็ชอบ สำหรับผมที่อ่านหนังสือมาก่อน แล้วมาดู i robot ผมกลับรู้สึกผิดหวังนิดหน่อยครับ หนังไม่ได้แย่อย่างที่คิด คือมีเหตุผลพอสมควรที่จะอธิบาย เช่นเรื่องการที่หุ่นออกมาอาละวาดเพื่อมนุษยชาติ แต่ก็ยังรู้สึกตะหงิดๆว่าหุ่นเอากฏข้อที่ศูนย์มาใช้ง่ายไปหน่อยโดยไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อยนี่สิ แต่ก็อาจจะเป็นข้อจำกัดของหนังก็ได้ครับที่ไม่สามารถนำเสนอเรื่องราวทั้งหมดได้ในเวลาสองชั่วโมง ซึ่งก็คงต้องยอมรับ ยังไงผมก็ว่านิยายบางเรื่องอย่าง Foundation (ซึ่งผมชอบมากกว่าชุดหุ่นยนต์เสียอีก บางทีอาจจะเป็นเพราะผมชอบเรื่องที่มีการเมือง และประวัติศาสตร์เป็นพิเศษก็ได้ครับ) ไม่เหมาะจะทำเป็นหนังเป็นอย่างยิ่ง กลัวว่าถ้าทำออกมาแล้วเรื่องจะโดนตัดน่ะครับ พูดถึงหนังตอนนี้กำลังรอดู Ender's Game กับ Firefly ฉบับหนังใหญ่อยู่ ไม่แน่ใจว่าอีกปีจะได้ดูไหม แก้ไขเมื่อ 31 ก.ค. 47 21:28:39 จากคุณ : Vorlon - [ วันอาสาฬหบูชา 21:18:15 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ในความคิดผมคล้ายกับคุณ Vorlon น่ะครับ ว่านิยายชุดสถาบันสถาปนาเป็นนิยายไซไฟที่มีการหยิบยกเอาแง่มุมอื่นๆ ในชีวิตจริงๆและประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะในส่วนของการแสดงการวิวัฒนาการทางสังคมและการเมืองของตัวสถาบันสถาปนาที่หนึ่งเอง ที่เริ่มมาจากการควบคุมด้วยความเชื่อทางศาสนา คล้ายคลึงกับยุดมืดของยุโรปที่ศาสนจักรเข้ามามีบทบาทมาก ต่อจากนั้นก็เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยการก้าวเข้ามามีบทบาทของการค้า คล้ายกับการก้าวเข้ามาของทุนนิยม ในจุดนี้เองที่มีการแทรกแซงของการใช้กำลังทางทหาร ในการเข้ามาควบคุมการค้าขายของจักรวรรดิอีกด้วย และอีกหลายๆเรื่อง ... ส่วนที่ผมชอบมากอีกอย่างในงานเขียนของ Asimov คือ ท่านให้ความสำคัญของจิตใจและความสามารถของมนุษย์เหนือกว่าเทคโนโลยีอันก้าวไกลและเครื่องจักรกล แต่ในการแสดงออกในงานเขียนกลับไม่เคยมองเครื่องจักรในทางร้ายว่าเป็นเหตุให้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อมนุษย์ โดยแสดงออกทางกฎสามข้อของหุ่นยนต์ ในทางกลับกัน กลับเป็นมนุษย์เองที่ใช้ความสามารถของเครื่องจักรและเทคโนโลยีเข้ามาทำร้ายตัวเอง โดยส่วนตัวผมคิดว่าอาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ก็ได้ที่ทำให้ งานเขียนของ Asimov ไม่เน้น action ของตัวละคร หรือการรบกันอย่างบ้าระ:-) จึงยากที่จะมาทำเป็นหนังที่ทำเงินได้น่ะครับ แหะๆๆ พล่ามซะยาว ออกนอกเรื่องไปไกลหรือเปล่าเนี่ย อิอิอิ จากคุณ : Vulgar - [ วันอาสาฬหบูชา 23:02:07 ]

ความคิดเห็นที่ 15 คือผมสงสัยว่า ทำไมต้องกินยีสต์ล่ะครับ นึกว่าเพิ่งมามียุคทรานทอร์ กลายเป็นว่ามีมาตั้งแต่บนโลกเลย แล้วนาย Stephen Byerley นี่เป็นคนหรือเป็นหุ่นครับ ช่วยวิเคราะห์ฟันธงหน่อย ผมสงสัยมานานแล้ว ถ้าเป็นหุ่นนี่มันจะไฮเทคเกินไปหน่อยมั้งครับ เพราะขนาดในยุคเบลีย์หุ่นที่ใช้ยังเป็นเหล็กทั้งตัวเลย มีแต่ดานีลที่มาจากนอกโลกที่เป็นหุ่นรูปคน ปล.ถึงไม่เกี่ยวก็ตอบหน่อยนะครับ แก้ไขเมื่อ 01 ส.ค. 47 02:42:09 จากคุณ : Trekker - [ วันเข้าพรรษา 02:32:57 ]

ความคิดเห็นที่ 16 นอกเรื่องนิดหน่อยนะครับ รู้สึกว่ากินยีสต์ หรืออาหารสังเคราะห์นี่เคยมีพูดเอาไว้ในโลหะนครหรือเปล่าครับ ผมจำไม่ได้แน่นอนเท่าไร (อ่านจบไปนานจนลืมแล้ว) ใครที่ยังจำได้ - วานบอก จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! - [ วันเข้าพรรษา 07:42:52 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เหมือนจำได้ว่าเค้ากินยีสต์กันจริงๆนะในโลหะนคร จำได้รางๆว่าเค้าบรรยายว่า อาหารจะมีกลิ่นยีสต์นิดๆ อะไรประมาณนี้ จากคุณ : booklovers - [ วันเข้าพรรษา 07:58:54 ]

ความคิดเห็นที่ 18 เรื่องใช้ยีสต์ผลิตอาหาร จำได้ว่ามีในโลหะนครครับ ช่วงที่ตัวเอกไปรับอาหารกันในโรงอาหารสาธารณะ ก่อนจะต้องไปไล่ล่ากันบน "ทางด่วน" น่ะครับ มีบรรยายอยู่หน่อยนึงครับ จากคุณ : ZyberDog - [ วันเข้าพรรษา 11:57:12 A:202.57.187.81 X: ]

ความคิดเห็นที่ 19 มีบรรยายถึงโรงเลี้ยงยีสด้วยครับ จากคุณ : Domingo - [ วันเข้าพรรษา 12:18:44 ]

ความคิดเห็นที่ 20 อ่า แล้วนายบายเออลีล่ะครับ ว่าไงกันมั่ง จากคุณ : Trekker - [ วันเข้าพรรษา 12:59:02 ]

ความคิดเห็นที่ 21 นั่นสิผมก็เคยสงสัยว่าทำไม ต้องเป็นยิสต์ที่จะกลายเป็น อาหารหลักของมนุษย์ ในอนาคตตามนิยายของอาซิมอฟ ด้วย ใครทราบบ้างครับ จากคุณ : sundown - [ วันเข้าพรรษา 21:21:37 A:10.0.2.6 X:203.144.215.123 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ...นั่นสิ... ขอเดานะ คือยีสต์ไม่ต้องใช้แสงแดด หรือว่า พื้นที่มากในการผลิตน่ะ คิดง่ายๆนะ อย่างพวกโปรตีนสังเคราะห์ ก็ต้องทำมาจากถั่วใช่มะ ถั่วก็ต้องปลูก ต้องใช้ดินใช้แดด ซึ่งยีสต์มันทำมาจากอะไรแต่แรกเราไม่รู้ รู้แต่ว่าก็เอาน้ำตาลมาให้มัน ยีสต์มันก็ขยายตัวได้(ใช่หรือเปล่าเนี่ย ไม่ได้เรียนสายวิทย์ซะด้วย) จากคุณ : booklovers - [ 2 ส.ค. 47 19:21:59 ]

ความคิดเห็นที่ 23 (เดา) ยีสต์น่าจะเป็นอาหารราคาถูกสำหรับประชากรทั่วไปมากกว่าครับ ชนชั้นระดับผู้ปกครองรัฐหรือเศรษฐีน่าจะกินอาหารปกติประเภทเนื้อ-ผักของแท้ ขึนซัดแต่ยีสต์ชั่วนาตาปีเป็นได้โดนนักโภชนาการยุคปัจจุบันด่าเข้าให้ว่ารนหาเรื่องเป็นมะเร็งลำไส้ (คงจะมีการแบ่งเกรดด้วย ชนชั้นแรงงานก็เล่นยีสต์ราคาถูกกลิ่นฉุย มีฐานะขึ้นมาหน่อยก็ยีสต์แต่งกลิ่นและรสชาติ) จากคุณ : vk'^h - [ 2 ส.ค. 47 19:41:24 A:210.203.178.106 X: ]

ความคิดเห็นที่ 24 ใครยังสามารถล่ะก็..... หานิตยสาร Pulp มาอ่านเสริมก็ดีนะครับ (ฉบับหน้าปก King Arthur) มีพูดถึง I,Robot แล้วการเอาชื่อ I,Robot มาใช้ ก็เพื่อการตลาดเลยด้วยครับ เอาชื่อ อาสิมอฟมาขาย และก็มีโครงการสร้างภาพยนตร์จากงานอาสิมอฟอีกสองเรื่อง (ผมเพิ่งรู้ คนอื่นอาจรู้แล้ว) ก็คือ Cave of Steel กับ Foundation I,Robot เป็นการ รีมิกซ์ จริงๆ นั่นแหละครับ คือ เอาเรื่องสั้นที่อาสิมอฟเขียนไว้ที่โน่นมั่ง ที่นี่มั่ง มาผนวกเป็นเล่มเดียว แล้วเติมบทเสริมให้ร้อยเป็นเรื่องเดียว ใช้ตัวละคร ซูซาน แคลวิน เป็นตะขอ เช่นเดียวกับ Foundation ที่เอาเรื่องที่เขียนแยกกันมาร้อยให้เป็นเล่มเดียว ถ้าจะบอกว่า Foundation ไม่น่าเอามาสร้างเป็นหนังเพราะกลัวโดนตัด โดนอย่างนั้นอย่างนี้... บางที เราต้องย้อนกลับมาดูว่า Lord of the Rings ยังทำให้หนังน่าดูได้ ถ้าจะทำ Foundation ให้น่าดู ก็น่าจะมีหวังอยู่ สำหรับความเห็นของคุณ vk'^h ในส่วนของ Cave of Steel ผมก็รู้สึกแบบนั้นนะ ว่ามันไม่สนุก โดยที่ผมเริ่มอ่านชุดนักสืบหุ่นยนต์เรื่องแรกก็คือ Naked Sun ตามด้วย Robot of Dawn ผมจำได้ว่า Naked Sun สนุกสุด เร้าใจสุด แต่ในส่วนของ Cave of Steel นั้น ความโดดเด่น(ซึ่งคนในแวดวงไซไฟต่างชาติน่าจะ)อยู่ที่ การนำเสนอแนวคิดมากกว่า ผมเข้าใจว่าโลหะนครนี้ เป็นเรื่องในยุคที่แวดวงไซไฟไม่มีภาพการอยู่อาศัยในโดมในช่วงนั้น คือ เป็นอีกรูปลักษณะหนึ่งเลย อาจจะเป็นยุคที่เรื่องแนวนี้มันหายไป แล้วอาสิมอฟก็เขียนออกมาโดนใจช่วงนั้น เราอาจได้เห็นงานบางชิ้นของอาสิมอฟที่ความเร้าใจลดน้อยลง แต่มีการนำเสนอแนวคิดค่อนข้างมาก มันเหมือนเป็นการเปิดใจตัวอาสิมอฟเองว่า ฉันคิดอย่างนี้ ในเรื่องนี้ แล้วก็เขียนออกมา เหมือนนำเสนอทฤษฎีในรูปนวนิยาย (Foundation and Earth, Prelude to Foundation, Forward the Foundation, Fantastic Voyage : Destination Brain) ลักษณะแบบนี้ ปรากฏอยู่บ่อย และเห็นได้ชัดกว่าในงานของ คลาร์ก ก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของนิยายวิทยาศาสตร์ ว่าแต่ว่า... ใครได้เบาะแสว่าจะมีการนำ Ju-On ไปทำเป็นฉบับฮอลลีวู้ดหรือเปล่าครับ? ไม่แน่ใจ เห็นแว่บๆ จากคุณ : proofman - [ 4 ส.ค. 47 09:00:54 A:unknown X:203.209.32.23 ]

ความคิดเห็นที่ 25 Foundation in only one book !!! Interesting ... จากคุณ : Vulgar - [ 4 ส.ค. 47 12:23:20 ]