CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    เรื่องเล่าจากพระธรรมบท...ที่มาของการ"ตักบาตรดอกไม้" เนื่องในวันเข้าพรรษาครับ

    ครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาล  มีบุรุษผู้หนึ่งเป็นช่างทำพวงดอกไม้ชื่อว่า"สุมนะ"  เขาถวายดอกไม้แด่พระเจ้าพิมพิสารด้วยดอกมะลิ  ๘  ทะนานแต่เช้าตรู่ทุกวัน   ได้เงินวันละ  ๘  กหาปณะ.
    ต่อมาวันหนึ่ง  เมื่อเขาถือดอกไม้  พอเข้าไปสู่พระนคร พระผู้มีพระภาคซึ่งมีภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่แวดล้อม ทรงเปล่งพระฉัพพรรณรังสี(พระรัศมีมี ๖ สี)จากพระสรีระ  เสด็จเข้าไปสู่กรุงราชคฤห์  ด้วยพระพุทธานุภาพและด้วยพระพุทธลีลาอันยิ่งใหญ่
    บัดนั้น   นายมาลาการเห็นพระสรีระของพระผู้มีพระภาค ประดุจรัตนะและทองอันมีค่า  แลดูพระสรีระซึ่งประกอบด้วยลักษณะแห่งพระมหาบุรุษ  ๓๒ ประการ  ก็มีจิตเลื่อมใส จึงคิดว่า  "เราจักทำการบูชาอันยิ่งใหญ่แด่พระศาสดาอย่างไรดีหนอ?"   เมื่อไม่เห็นสิ่งอื่นใด  จึงคิดว่า  "เราจักบูชาพระผู้มีพระภาคด้วยดอกไม้เหล่านี้"  และคิดอีกว่า  "ดอกไม้เหล่านี้ เป็นดอกไม้สำหรับถวายพระราชาเป็นประจำ,  พระราชา  เมื่อไม่ทรงได้ดอกไม้เหล่านี้   ก็อาจจะรับสั่งให้พวกราชบุรุษจับเราไปคุมขัง, อาจจะให้ฆ่าเราเสีย หรืออาจจะขับไล่เราให้ออกไปเสียจากแว่นแคว้นก็ได้  เราจะทำอย่างไรดี ?"  แล้วเขาก็เกิดความคิดว่า  "พระราชาจะทรงฆ่าเราเสียก็ตาม ขับไล่เสียจากแว่นแคว้นก็ตาม, ก็พระราชานั้น  แม้เมื่อพระราชทานทรัพย์แก่เรา  ก็คงพระราชทานทรัพย์เพียงแค่พอเลี้ยงชีพในชาตินี้เท่านั้น   ส่วนการบูชาพระศาสดา  อาจมีประโยชน์เกื้อกูลและความสุขแก่เราในหลายแสนล้านชาติเลยทีเดียว"  จึงตัดสินใจสละชีวิตของตนแด่พระตถาคตเจ้า  คิดว่า  "เราจักทำการบูชาพระพุทธเจ้าตราบเท่าที่จิตของเรายังเลื่อมใสไม่เปลี่ยนแปลง"  
    เขาร่าเริง  มีจิตเบิกบานและแช่มชื่น  แล้วกระทำการบูชาพระศาสดา โดยทีแรก  เขาซัดดอกไม้ ๒  กำ  ขึ้นไปในเบื้องบนเหนือพระเศียรพระตถาคตก่อน.   ดอกไม้  ๒  กำนั้นได้กลายเป็นเพดานในเบื้องบนพระเศียร.  เขาซัดดอกไม้  อีก ๒  กำ ดอกไม้  ๒  กำนั้นได้ย้อยลงมาตั้งอยู่ทางด้านพระหัตถ์ขวา  โดยอาการที่เขาบังไว้   เขาซัดดอกไม้  อีก ๒  กำ  ดอกไม้  ๒  กำนั้นได้ห้อยย้อยลงมาตั้งอยู่ทางด้านพระปฤษฎางค์อย่างนั้นเช่นกัน. เขาซัดดอกไม้อีก ๒  กำ  ดอกไม้  ๒  กำนั้นห้อยย้อยลงมาตั้งอยู่ทางด้านพระหัตถ์ซ้ายอย่างนั้นอีก   ดอกไม้  ๘  ทะนานเป็น ๘  กำ  ก็ได้แวดล้อมพระตถาคต  ๔ ตำแหน่ง  ด้วยประการฉะนี้.  ได้มีช่องทางพอเป็นประตูเดินเข้าไปข้างหน้าเท่านั้น.  ขั้วดอกไม้ทั้งหลายได้หันหน้าเข้าข้างใน,หันกลีบออกข้างนอก.  พระผู้มีพระภาคเป็นประดุจถูกแวดล้อมด้วยแผ่นเงิน   เสด็จจากไป.   ดอกไม้ทั้งหลายเหล่านั้นก็ไม่แยกจากกัน  ไม่ตกร่วงลง แต่ได้ติดตามไปกับพระศาสดาเลยทีเดียว  และหยุดในที่ประทับยืน.   รัศมีเหมือนสายฟ้าแลบนับแสน   ออกจากพระสรีระของพระศาสดา.  พระรัศมีที่ออกจากพระกายนั้น  ออกมาทั้งข้างหน้าทั้งข้างหลัง  ทั้งข้างขวาทั้งข้างซ้าย   ทั้งเบื้องบนพระเศียร.  พระรัศมีแม้แต่สายหนึ่ง  ไม่หายไปทางที่ตรงเบื้องพระพักตร์   รัศมีทั้งหมดกระทำประทักษิณพระศาสดา  ๓  รอบแล้วรวมเป็นพระรัศมีเดียว(ลำแสงเดียว)มีขนาดเท่าต้นตาลหนุ่ม   พุ่งตรงไปข้างหน้าทางเดียว.
    ผู้คนในพระนครทั้งสิ้นก็เลื่องลือกัน.   บรรดาชนทั้งหลายนับล้าน    ชายหรือหญิงแม้คนหนึ่ง  ไม่มีที่จะไม่ถือเอาภิกษาออกไป(เพื่อถวายแด่พระพุทธเจ้า)
     เสียงมหาชนบันลือกึกก้อง   ทำการยกท่อนผ้าขึ้นนับพันอยู่ข้างหน้าของพระศาสดา.
      แม้พระศาสดา เพื่อจะทรงทำให้คุณงามความดีของนายมาลาการให้ปรากฏแก่ชาวเมือง  จึงได้เสด็จเที่ยวไปในพระนครโดยหนทางที่มีการตีกลองร้องป่าวประกาศกันนั่นเอง.   นายมาลาการเต็มเปี่ยมด้วยปีติไปทั่วร่าง เขาตามเสด็จพระตถาคตหน่อยหนึ่งเท่านั้น  แล้วเข้าไปในภายในแห่งพระพุทธรัศมี ดุจจมหายเข้าไปในแผ่นหิน  ชมเชยและถวายบังคมพระศาสดาแล้ว  ได้ถือเอากระเช้าเปล่าๆไปสู่เรือน.
    เมื่อกลับถึงเรือน  ภรรยาถามเขาว่า  "ดอกไม้อยู่ที่ไหน ?"
    เขาตอบว่า " เราบูชาพระศาสดาแล้ว".
    ภรรยาถามอีกว่า " บัดนี้  ท่านจักทำอะไรถวายแด่พระราชาเล่า ?"
    เขาตอบว่า " พระราชาจะทรงฆ่าเราเสียก็ตาม  ขับไล่เราออกจากแว่นแคว้นก็ตาม,   เราสละชีวิตบูชาพระศาสดาแล้ว,  ดอกไม้ทั้งหมดมี  ๘  กำ, การบูชาแบบนี้เกิดขึ้นแล้ว,  มหาชนทำการโห่ร้องเป็นพัน  เที่ยวไปกับพระศาสดา,  นั่นไง.....ฟังสิ  เสียงโห่ร้องของมหาชนในที่นั้น!"
    ลำดับนั้น  ภรรยาของเขาเป็นหญิงโง่เขลา ไม่อาจเลื่อมใสในพระปาฏิหาริย์เช่นนั้น จึงด่าเขาแล้ว  กล่าวว่า " ธรรมดาพระราชาทั้งหลาย  ย่อมเป็นผู้ดุร้าย  กริ้วคราวเดียวก็กระทำความพินาศได้มาก   อาจจะตัดมือและเท้าเป็นต้นได้,   ความพินาศคงจะมีแม้แก่เรา  เพราะการกระทำที่เธอกระทำลงไป"   จึงพาพวกบุตรไปสู่ราชตระกูล  แต่ก็ถูกพระราชาตรัสเรียกมาถามว่า  "เกิดอะไรกันขึ้นนี่ ?"  จึงกราบทูลว่า  "สามีของหม่อมฉันเอาดอกไม้สำหรับถวายพระองค์ไปบูชาพระศาสดาเสียแล้วก็กลับมาสู่เรือนมือเปล่า  หม่อมฉันถามว่า  'ดอกไม้อยู่ไหน ?'   ก็กล่าวคำเช่นนี้ๆ หม่อมฉันจึงด่าเขาแล้วแล้วก็ทิ้งเขามาในที่นี้ ; กรรมที่เขากระทำ   จะเป็นกรรมดีหรือชั่วก็ตาม,  กรรมนั้นจงเป็นของเขาผู้เดียว;   ขอเดชะ  พระองค์โปรดจงทรงทราบว่าหม่อมฉันทอดทิ้งเขาแล้ว."
    แต่ พระราชาทรงบรรลุโสดาปัตติผล   ถึงพร้อมด้วยศรัทธา  เป็นอริยสาวก  ทรงดำริว่า  "โอ!   หญิงนี้เป็นคนโง่เขลา   ไม่อาจเกิดความเลื่อมใสในคุณงามความดีแบบนี้."  ท้าวเธอทำเป็นกริ้ว   ตรัสว่า  "เจ้าพูดอะไร  แม่หญิง  ?  นายมาลาการนั้นกระทำการบูชาด้วยดอกไม้สำหรับถวายเราหรือ ?" หญิงนี้  ทูลว่า"ขอเดชะ  พระเจ้าข้า."   พระราชาตรัสว่า  "เจ้าซึ่งทอดทิ้งเขา ทำดีแล้ว,   เราจักจัดการสิ่งที่ควรกระทำแก่นายมาลาการผู้กระทำการบูชาด้วยดอกไม้ทั้งหลายของเรา," ทรงส่งหญิงนั้นกลับไป  แล้วรีบเสด็จไปในสำนักพระศาสดา   ถวายบังคมแล้ว  เสด็จเที่ยวไปพร้อมกับพระศาสดานั่นเอง.
    พระศาสดา  ทรงทราบความเลื่อมใสแห่งพระหฤทัยของพระราชานั้น   เสด็จเที่ยวไปสู่พระนครตามถนนเป็นที่เที่ยวไปด้วยกลองแล้ว  ได้เสด็จไปสู่พระทวารแห่งพระราชมนเทียรของพระราชา
    พระราชาทรงรับบาตร   ได้ทรงมีพระประสงค์จะเชิญเสด็จพระศาสดาเข้าไปสู่พระราชมนเทียร.   แต่พระศาสดา   ได้ทรงแสดงพระอาการที่จะประทับนั่งในพระลานหลวงนั่นเอง.  
    พระราชาทรงทราบพระอาการนั้นแล้ว   จึงรับสั่งให้กระทำปะรำในขณะนั้นนั่นเอง   ด้วยพระดำรัสว่า  "ท่านทั้งหลายจงกระทำปะรำโดยเร็ว."  
    แล้วพระศาสดาก็ประทับนั่งกับหมู่ภิกษุ
    เหตุที่พระศาสดาไม่เสด็จเข้าสู่พระราชมนเทียรก็เพราะว่า   พระองค์ทรงมีความปริวิตกอย่างนี้ว่า  'ถ้าเราเข้าไปนั่งในภายใน,  มหาชนก็จะไม่ได้เห็นเรา,  คุณความดีของนายมาลาการก็จะไม่ปรากฏ,   แต่ว่าหากมหาชนจักได้เห็นเราผู้นั่งอยู่  ณ  พระลานหลวง,  คุณความดีของนายมาลาการจักปรากฏแก่พวกเขา."
    แผ่นดอกไม้  ๔  แผ่นได้ตั้งอยู่ในทิศทั้ง  ๔  แล้ว.  มหาชนแวดล้อมพระศาสดา  พระราชาทรงถวายอาหารอันประณีตแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
    .  ในเวลาเสด็จภัตกิจ  พระศาสดาทรงกระทำอนุโมทนา แผ่นดอกไม้  ๔  แผ่นก็ยังคงแวดล้อมอยู่นั่นเอง
    และถูกแวดล้อมด้วยมหาชนผู้ส่งเสียงอื้ออึง  ได้เสด็จไปสู่วิหารแล้ว.
     พระราชา  ตามส่งเสด็จพระศาสดา  แล้วก็เสด็จกลับ   รับสั่งให้หานายมาลาการมาเข้าเฝ้าแล้วตรัสถามว่า  "เจ้าว่าอย่างไร   จึงบุชาพระศาสดาด้วยดอกไม้ที่ตนพึงนำมาเพื่อเรา ?"   นายมาลาการกราบทูลว่า  "ขอเดชะ
    ข้าพระองค์คิดว่า  'พระราชาจะฆ่าเราก็ตาม   จะขับไล่เราเสียจากแว่นแคว้นก็ตาม'   ดังนี้แล้วจึงยอมสละชีวิตบูชาพระศาสดา พระเจ้าข้า."
    พระราชาตรัสว่า  "เจ้าชื่อว่าเป็นบุรุษผู้ยิ่งใหญ่"   แล้วพระราชาทานของที่ควรให้  ๘ อย่างๆละ ๘  คือช้าง ๘  ม้า  ๘  ทาส  ๘  ทาสี  ๘  เครื่องประดับใหญ่  ๘  กหาปณะ  ๘,๐๐๐  นารี  ๘  นาง  ที่นำมาจากราชตระกูลประดับด้วยเครื่องแต่งกายอลังการทุกอย่าง  และหมู่บ้านที่เก็บส่วย(ภาษี) ๘  ตำบล.
    พระอานนทเถระ  คิดว่า  "วันนี้  ตั้งแต่เช้าตรู่  เสียงบันลืออื้ออึงตั้งพัน  และการยกท่อนผ้าขึ้นตั้งพันย่อมเป็นไป,   วิบากของนายมาลาการ   เป็นอย่างไรกันหนอ?"
      พระเถระนั้น  จึงทูลถามพระศาสดา
    ลำดับนั้น   พระศาสดา  ตรัสกะพระเถระนั้นว่า  "อานนท์  เธออย่าได้กำหนดว่า  'นายมาลาการนี้กระทำกรรมมีประมาณเพียงเล็กน้อย'   ก็เขาได้สละชีวิตกระทำการบูชาเราแล้ว,  เขายังจิตให้เลื่อมใสในเราด้วยอาการอย่างนี้  จักไม่ไปสู่ทุคติ  ตลอดแสนกัลป์" ดังนี้แล้ว  ตรัสว่า
    นายมาลาการ จักดำรงอยู่ในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย  จับไม่ไปสู่คติ  ตลอดแสนกัลป์,  นี่เป็นผลแห่งกรรมนั้น,   ภายหลังเขาจักเป็นพระปัจเจกพุทธะ  นามว่าสุมนะ."
    ก็ในเวลาพระศาสดาเสด็จถึงวิหาร  เข้าไปสู่พระคันธกุฎี  ดอกไม้เหล่านั้นก็ตกร่วงลงที่ซุ้มพระทวารแล้ว.
         
    ในเวลาเย็น   ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า  "แหม !กรรมของนายมาลาการ  น่าอัศจรรย์จริง
    เธอสละชีวิตเพื่อพระพุทธเจ้าผู้ยังดำรงพระชนม์อยู่   กระทำการบูชาด้วยดอกไม้แล้วได้ของพระราชทาน  ๘ อย่าง ในขณะนั้นนั่นเอง."
      พระศาสดาเสด็จออกจากพระคันธกุฎีแล้ว  ไปสู่โรงธรรมด้วยการเสด็จไป  ๓  อย่างอย่างใดอย่างหนึ่ง  ประทับนั่งบนพระพุทธอาสน์แล้ว   ตรัสถามว่า"ภิกษุทั้งหลาย  บัดนี้  เธอทั้งหลายนั่งประชุมกันด้วยกถาอะไรหนอ ?" เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลเรื่องที่คุยกันอยู่ จึงตรัสว่า  "อย่างนั้นแหละภิกษุทั้งหลาย  ความเดือดร้อนในภายหลังย่อมไม่มี  โสมนัสเท่านั้น ย่อมเกิดขึ้นในขณะที่ระลึกได้แล้ว  เพราะบุคคลกระทำกรรมใด,  กรรมแบบนั้น อันบุคคลควรกระทำแท้"   แล้วจึงตรัสสอนว่า :-
    "บุคคลทำกรรมใดแล้ว   ย่อมไม่เดือดร้อนในภายหลัง  เป็นผู้เอิบอิ่ม  มีใจดี   ย่อมเสวยผลของกรรมใด, กรรมนั้นแล  อันบุคคลทำแล้ว เป็นกรรมดี."
    ขยายความพระพุทธพจน์.....บุคคลกระทำกรรมใด   คือกรรมที่สามารถเพื่ออันยังสมบัติแห่งเทวดาและสมบัติแห่งมนุษย์  และนิพพานสมบัติให้เกิด  คือมีสุขเป็นกำไร  ย่อมไม่ตามเดือดร้อน,  โดยที่แท้  บุคคลนั้น  ชื่อว่าเป็นผู้เอิบอิ่มแล้วด้วยกำลังแห่งปีติ  และชื่อว่ามีใจดี  ด้วยกำลังแห่งโสมนัส  ในขณะที่ระลึกถึง ๆ เป็นผู้เกิดปีติและโสมนัสในกาลต่อไป  ย่อมเสวยผล  ในทิฏฐธรรมนั่นเอง,   กรรมนั้นอีกบุคคลกระทำแล้ว  เป็นกรรมดี  คือเป็นกรรมงาม  ได้แก่สละสลวย.
    ในเวลาจบเทศนา  สัตว์โลกถึง ๘๔,๐๐๐ ได้บรรลุธรรมแล้ว
    ต่อมาภายหลัง การถวายดอกไม้แด่ภิกษุสงฆ์ได้กระทำกันเป็นประเพณี โดยการนำดอกไม้สดใส่ลงในบาตรพระภิกษุสามเณร เพื่อรำลึกถึงพระคุณแห่งพระรัตนตรัยเนื่องในโอกาสวันเข้าพรรษา และเพื่อระลึกถึงการบูชาอันยิ่งใหญ่ที่นายสุมนมาลาการเคยกระทำแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าในสมัยพุทธกาล
    อนึ่งการตักบาตรดอกไม้ ไม่ได้มีในจังหวัดใดจังหวัดหนึ่งเพียงจังหวัดเดียว แต่มีหลายแห่ง ทั้งวัดในกรุงเทพฯ และภาคเหนือ เช่นเชียงใหม่ ลำปาง ฯลฯ เป็นต้น
    วันเข้าพรรษา ๑ สิงหาคม ๒๕๔๗ ใครมีโอกาสไปวัดที่มีการใส่บาตรดอกไม้ ก็ขอเชิญชวนไปกันนะครับ
    love

    จากคุณ : พฤษภเสารี - [ วันอาสาฬหบูชา 20:53:13 ]