 |
++กระทู้นี้ ขอใช้ชื่อว่า "คำสั่งสุดท้าย"++
คนไข้รายนั้นหอบเหนื่อยมาก
หน้ากากออกซิเจนครอบอยู่บนหน้ากระนั้นรูจมูกยังบานพะเยิบพะยาบ ร่องไหปลาร้าบุ๋มลึก ยามสูดลมหายใจอย่างลำบากเข้าไปแต่ละครั้ง เพียงแต่เดินเข้าไปใกล้ก็เห็นดวงหน้าที่เซียว ปลายมือปลายเท้าสีซีด เรือนร่างผ่ายผอม ยกเว้นท้องที่นูนเห็นเด่นชัด เธอตั้งครรภ์ไปแปดเดือนเต็ม
"คุณอุ่นเรือนอายุ 22 ปี เป็นไข้มาสามวัน มีอาการหอบเหนื่อย" พยาบาลบอกฉันเพียงนั้น แต่เมื่ออ่านประวัติในแผ่นการรักษาของแพทย์
ฉันรู้ว่าเธอเป็นโรคเอดส์ ไม่มีสามี ตั้งครรภ์มาจากกรุงเทพฯ อาศัยอยู่บ้านเพียงลำพัง ไม่เคยฝากครรภ์ที่ไหนมาก่อน
พ่อแม่ไม่เห็นลูกสาวออกจากบ้าน เลยไปดู พบว่าเธอนอนซมเป็นไข้ จึงพามาโรงพยาบาล
"หมอ..." เธอเอื้อมมือสั่นสะท้อนปลดหน้ากากออกซิเจนออก แล้วพูดว่า "วันนี้...ลูก...ไม่ดิ้น...เลย"
ลูกไม่ดิ้น...นี่แหละที่ฉันมาดูอาการของเธอก็ด้วยเรื่องนี้ อายุรแพทย์ผู้ดูแลเธอบอกฉันว่าเธอติดเชื้อพีซีพีในปอด ซึ่งเป็นเชื้อที่พบได้บ่อยในคนในเอดส์ระยะสุดท้าย เชื้อนี้รุนแรงมากจนทำให้ระบบหายใจล้มเหลว แม้ในยามฆ่าเชื้อเต็มที่ ดูแลเต็มที่ อาการก็ไม่ดีขึ้น เธอทรุดลงเรื่อยๆ เข้าใจว่าเธออาจจะไม่รอด
ถ้าเธอตาย ลูกในท้องต้องตายตามแน่นอน แล้วตอนนี้ตอนที่เธอยังมีลมหายใจอยู่ เรื่องลูกในท้องจะทำอย่างไรดี... อายุรแพทย์ปรึกษาฉัน สูตินรีแพทย
คนไข้โรคเอดส์ตั้งครรภ์ที่ไม่ได้รับยาต้านไวรัสมาก่อน โอกาสลูกในครรภ์ติดเชื้อเอดส์ก็ประมาณห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ลูกในครรภ์อายุแปดเดือนน้ำหนักน่าจะได้ประมาณใกล้สองกิโล...น่าจะรอด เพียงต้องเลี้ยงในตู้อบอีกสักช่วง
แต่ถ้าเอาเด็กออกจากท้องแม่ตอนนี้ แม่จะต้องตายทันที เพราะแม่อาการหนักเช่นนี้ คงไม่สามารถทนการให้ยาชา ยาสลบและการเสียเลือดจากการผ่าคลอดได้เลย
ฆ่าแม่เอาลูก...เช่นนั้นหรือ เพียงคิดฉันก็รู้สึกเจ็บปวด แต่ถ้าไม่เอาเด็กออก มีหวังตายทั้งแม่ทั้งลูก
"หัวใจเด็กเต้นดีไหม" ฉันหันมาถามพยาบาล ประเมินสภาพของเด็ก "ปกติดีค่ะ ร้อยสี่สิบครั้งต่อนาที ตกลงหมอวางแผนอย่างไรต่อคะ" พยาบาลถาม "ยังไม่รู้เลย" ฉันบีบขมับตนมองดูอุ่นเรือน
แม้เธอหอบมาก แต่เธอยังมีสติดี ไม่รู้ว่าเธอรู้หรือไม่ว่าเวลาของเธอเหลือน้อยเต็มทนแล้ว เธอยังถามอย่างห่วงใยลูกว่า "ลูก...ไม่ดิ้น...ลูก...จะ...เป็น...อะไร...หรือ...เปล่า"
"ตอนนี้หัวใจเด็กได้ยินดีค่ะ คุณอุ่นเรือนทำใจให้สบาย ลูกยังไม่เป็นไร"
"หมอ...ถ้า...หนู...เป็นไร..." เธอสบตาฉัน หอบจนตัวคลอน "หมอ...ช่วย...ลูก...ด้วย"
ฉันสะอึกกับคำพูดนั้น นี่แหละคือความรักของแม่ ความรักที่บริสุทธิ์ปราศจากความเห็นแก่ตัว ฉันเชื่อ...ถึงแม้ฉันจะบอกความจริงว่า... หากหมอช่วยลูก อุ่นเรือนต้องจบชีวิตลง เธอก็คงยินยอมอย่างยินดี
ไม่อาจตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งได้ ฉันจึงให้พยาบาลตามญาติของคนไข้มาพบ พ่อแม่ของอุ่นเรือนอยู่ในวัยชราแต่งตัวแบบชาวไร่ชาวนาทั่วไป ท่าทางเกรงๆหมอและพยาบาล
เมื่อเข้ามาในห้องพัก พวกเขาไม่กล้านั่งที่เก้าอี้ ได้แต่ยืนตัวลีบ จนฉันกล่าวซ้ำว่า "คุณลุงคุณป้านั่งก่อน..."
เมื่อพวกเขานั่งเรียบร้อย ฉันจึงเริ่มปรึกษา "คุณลุงคุณป้าเป็นพ่อแม่ของอุ่นเรือนใช่ไหม" "ครับ มันเป็นลูกคนที่สิบเอ็ด" ชายชราตอบ ท่าทางเขาสบายใจขึ้นเมื่อฉันถามอย่างไม่รีบเร่ง
"คุณอุ่นเรือนตอนนี้ท้องแปดเดือน เด็กในท้องยังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้คุณอุ่นเรือนหอบเหนื่อยมาก คุณลุงคุณป้าก็เห็น หมอดูแลให้ยาเต็มที่แล้วก็ไม่ไหว ปอดแม่ติดเชื้อมาก โอกาสรอดน้อยเต็มที ถ้าไม่ทำอะไร อาจจะไม่ได้ทั้งแม่และลูก"
"หมอเอาลูกมันออกไปเลย ให้แม่มันรอด ลูกมันตายก็ช่างเถอะ" หญิงชราบอก เธอยกแขนเสื้อขึ้นซับน้ำตา
ฉันถอนหายใจ เพราะมันเป็นทางตรงกันข้าม "คุณลุง คุณป้า ถ้าหมอผ่าตัดเอาเด็กออกจากท้องแม่ ลูกอาจจะรอด แต่แม่อาจจะเสียชีวิตเร็วขึ้น แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลย แม่กับลูกมีหวังไม่รอด"
ชายหญิงชรามองหน้าฉันอย่างไม่เข้าใจ "หมอ เอาว่าทำอย่างไรก็ได้ ให้แม่รอดก็พอ"
"คุณลุงคุณป้า" ฉันพยายามอธิบายต่อ "คุณอุ่นเรือนอาการหนักมาก อย่างไรคงไม่รอด จะช้าจะเร็วเท่านั้น หมอถามตรงๆว่า คุณลุงคุณป้าจะเอาหลานในท้องของคุณอุ่นเรือนไหม ถ้าเอาหมอจะผ่าออกให้ แต่แม่คงจะเสียชีวิตในไม่ช้า"
"อีอุ่นจะต้องตายหรือหมอ หมอต้องช่วยมัน ต้องช่วยมัน อย่าให้มันตาย...อีอุ่น...อีอุ่น" หญิงชราคร่ำครวญมือปิดหน้าร้องไห้ พ่อของอุ่นเรือนกัดกรามทำตาแดงๆ พูดอย่างตัดสินใจ "แล้วแต่หมอก็แล้วกัน"
ฉันกลับเข้าไปดูอาการของอุ่นเรือนอีกอย่างลำบากใจ ใช้เครื่องอุลตร้าซาวน์ตรวจทารกในครรภ์ พบว่าแม้เด็กยังมีชีวิตอยู่ แต่หัวใจเต้้นอย่างอ่อนแรง ไม่มีการเคลื่อนไหว ไม่มีการหายใจ ประเมินน้ำหนักเด็กจากโปรแกรมในเครื่องหนึ่งกิโลกับอีกเจ็ดขีดเท่านั้น
"คุณอุ่นเรือน" ฉันคุยกับมารดาที่อาการแย่ลงอีกอย่างรวดเร็ว ปลายมือปลายเท้าเริ่มเขียวจางๆ เธอเหนื่อยจนแทบพูดคุยไม่ได้
"คุณจะให้หมอผ่าเอาลูกออกไหม ถ้าอยู่ในท้องเด็กคงแย่ แต่ถ้าผ่าออก หมอก็ไม่รู้ว่าคุณจะทนไหวไหม " "หมอ...ฉัน...ยอม...ตาย...เอา...ออก...เถอะ...ขอ...ลูก...รอด" อุ่นเรือนพูดๆหยุดๆขณะหอบตัวโยน มือสั่นเทา ยกมือไหว้
เมื่อฉันรับไหว้คล้ายให้คำสัญญา ตาเธอใสแจ๋วขณะปรากฏรอยยิ้มบางๆ ตรงข้ามกับอาการหายใจที่หนักหนาเหลือเกิน
"หัวใจเด็กเต้นไม่ปกติ แค่ร้อยครั้งไม่สม่ำเสมอ" พยาบาลที่เฝ้าอาการร้องบอกฉัน ตอนนี้ความดันโลหิตอุ่นเรือนตกเหลือแค่เจ็ดสิบสามสิบ "บอกห้องผ่าตัดให้เตรียมผ่าตัดคนไข้คลอดตอนนี้เลย" ฉันตัดสินใจ
ในชุดป้องกันน้ำเลือดและสารคัดหลั่งต่างๆ ฉันใส่ยาชาเข้าไปในไขสันหลังของคนไข้ เพื่อให้ชาครึ่งท่อน เสร็จแล้วพยาบาลทำความสะอาดหน้าท้อง ฉันทาน้ำยาที่หน้าท้องคนไข้ เตรียมผ่าตัด
"หมอ ความดันแม่วัดไม่ได้ ชีพจรเบาเร็ว ตอนนี้ร้อยยี่สิบครั้งต่อนาที" เสียงวิสัญญีพยาบาลร้องบอก
เหลือบตามองน้ำเกลือและเลือดที่พยาบาลเร่งฉีดเข้าตัวคนไข้...ฉันเร่งมือใช้มีดผ่าตัดกรีดชั้นหน้าท้อง เมื่อเข้าช่องท้องใช้มีดกรีดด้านล่างของตัวมดลูก ใช้กรรไกรตัดให้กว้างพอมือคว้าควักทารกในมดลูกออกมา
ทารกเพศหญิงตัวเล็กจิ๋ว ตัวอ่อนปวกเปียก ผิวซีดบางจนเห็นเส้นเลือดใต้ผิว เมื่อตัดสายสะดือของเด็ก ไม่มีเสียงร้อง ร่างจ้อยนั้นหายใจกระตุกสองครั้งและเงียบไป
ฉันรีบส่งเด็กทารกให้กุมารแพทย์ที่มาคอยรับเด็กดูแล มือสั่นเทาคว้าผ้าสวอบที่ใช้ซับเลือดยัดเข้าไปในช่องมดลูกเพื่อห้ามเลือดชั่วคราว เพราะวิสัญญีพยาบาลร้องบอก "หมอ...แม่หยุดหายใจ"
เมื่อฉันลงจากเตียงผ่าตัด ทีมปฏิบัติการช่วยชีวิตแม่พร้อมแล้ว พยาบาลวิสัญญีใส่ท่อช่วยหายใจ พยาบาลอีกคนปีนขึ้นเตียง ใช้มือซ้อนกันปั๊มหัวใจอุ่นเรือนเป็นจังหวะ สลับกับการบีบลมเข้าไปในปอด
ฉันสั่งฉีดยาอดรีนาลีนกระตุ้นการเต้นของหัวใจ ฉีดไบคาร์บฯที่ช่วยแก้ภาวะความเป็นกรดในเลือด การปฏิบัติการช่วยชีวิตขั้นสูงดำเนินไปถึงสองชั่วโมง เหงื่อไหลท่วมตัว ไม่เท่าความรู้สึกเหนื่อยหนักหนาแสนสาหัสที่ไหลบ่าเข้าท่วมกายใจของหมอและพยาบาล เมื่อรู้ว่าการช่วยชีวิตล้มเหลว คนไข้ไม่อาจกลับฟื้นคืนชีพได้
เสียงทารกที่หมอเด็กช่วยชีวิตเริ่มร้องเบาๆ ยิ่งทำให้ทุกคนสลดใจในความเป็นลูกกำพร้า ยุติการช่วยชีวิตอย่างเหนื่อยอ่อน ฉันเย็บมดลูกคืนที่เดิม เย็บหน้าท้องปิดอย่างอาการใจเสีย...
คนไข้รายนี้ตายแบบดีโอที (Dead on table) คือตายในห้องผ่าตัด
คุณพระคุณเจ้า...ฉันทำถูกหรือเปล่าที่ผ่าตัดคลอดคนไข้คนนี้ แทบไม่อยากเจอญาติของอุ่นเรือนเลย
สูดหายใจลึกหลายครั้งเมื่อออกไปเผชิญหน้าพ่อแม่ของเธอ "คุณลุงคุณป้า หมอเสียใจมาก คุณอุ่นเรือนอาการหนัก ได้เสียชีวิตเมื่อผ่าเอาลูกออก ลูกตอนนี้รอด แต่คงต้องเข้าตู้อบสักพัก หมอพยายามทำดีที่สุดแล้ว หมอเสียใจด้วยจริงๆ"
ไม่อาจพูดอะไรได้มาก มันเป็นจรรยาแพทย์ที่ไม่อาจบอกใครว่ามารดาเป็นโรคเอดส์ ตราบใดที่คนไข้ไม่อนุญาต
แม่ของอุ่นเรือนร้องไห้โฮ ขณะพ่อกัดกรามแน่น เสียงตัดพ้อของหญิงชราราวมีดเสียบทะลุหัวใจของฉัน "หมอ ถ้าหมอรู้ว่าอีอุ่นมันทนผ่าไม่ไหว มันต้องตาย หมอจะผ่าเอาเด็กออกมาให้แม่มันตายทำไม"
"นั่นนะสิ ทำไม ทำไม" ฉันพร่ำถามตนเอง ฉันทำถูกไหม คนเรามีสิทธิ์เลือกความตายเพื่อให้คนอื่นอยู่รอดหรือไม่
ใจหมองหม่นจนไม่เห็นความงามของพระจันทร์เต็มดวงสีเหลืองนวล เปล่งกระจายรัศมีรอบท้องฟ้า สีอ่อนโยนไร้เมฆหมอกแลดวงดาว ลมเย็นพัดมาเอื่อยๆ
ขณะนั่งซึมกระทืออยู่ที่ระเบียงบ้าน ซบหน้าลงกับแขน รู้สึกเจ็บปวดสะท้อนสะท้านใจกับการตายของแม่เพื่อให้ลูกมีชีวิตอยู่ วาบเย็นที่ท้ายทอยราวมีใครลูบ หันหลังไปดู พบคนไข้อุ่นเรือนในชุดสีขาวบริสุทธิ์ ตัวเธอวาววามวูบวาบเป็นประกายงดงาม ใบหน้ายิ้มละไม
เธอเดินเข้ามาลูบนิ้วก้อยของฉันบางเบา กระแสความอบอุ่นประหลาดแล่นสู่ขั้วหัวใจ
เธอน้อมหัวลงอย่างขอบคุณ ก่อนเลื่อนลอยลับหายไปในดวงจันทรา สะดุ้งตื่นจึงรู้ว่าฝันไป
ก้มมองนิ้วก้อย เห็นรอยเปียกน้ำยังคงอยู่ชัดเจน บางทีฉันเองอาจจะพาดมือพาดแขนลงกับระเบียงที่เปียกน้ำค้าง จนฝันขึ้นมาเป็นตุเป็นตะ
เช้าวันนี้ฉันไปแวะเยี่ยมลูกคุณอุ่นเรือนที่ห้องเด็กอ่อนเช่นเคย
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงสัปดาห์เดียว เด็กหญิงคนนี้สามารถออกจากเครื่องช่วยหายใจได้ แม้จะยังต้องให้น้ำเกลือและอยู่ในตู้อบ
หมอเด็กบอกฉันว่าเรื่องการติดเชื้อเอชไอวีหรือรับไวรัสเอดส์จากแม่นั้น ตอนนี้ยังคงบอกไม่ได้ คงต้องติดตามกันไปเป็นระยะ ถ้าพ้นห้าปีแล้ว เด็กไม่มีอาการติดเชื้อและผลเลือดเป็นปกติก็คงปลอดภัย
เข้าไปดูใกล้ๆผ่านกระจก เห็นใบหน้าเล็กๆจิ้มลิ้ม ผิวสีชมพูอ่อนปากนิดจมูกหน่อย น่ารักจนอดยื่นมือที่ล้างฆ่าเชื้อแล้วเข้าไปในตู้อบไม่ได้
ทารกน้อยใช้นิ้วคว้านิ้วก้อยของฉันหมับ รู้สึกอุ่นวาบที่นิ้ว ดวงตาทารกน้อยลืมขึ้น ปรากฏรอยยิ้มจางๆบนริมฝีปาก เหมือนใครสักคนที่ยิ้มให้ฉันเมื่อบอกว่า "หมอ...ฉัน...ยอม...ตาย...เอา...ออก...เถอะ...ขอ...ลูก...รอด"
ฉันยืนตะลึง ดวงตาร้อนผ่าว หมอเด็กเห็นฉันยืนนิ่ง ราวเขารู้ความขัดแย้งในในของฉันเขาย้ำว่า "พี่ ผมว่าที่พี่ทำถูกแล้วที่ผ่าเอาเด็กออก ถ้าอยู่ในท้อง เด็กกับแม่ก็คงตายไปด้วยกัน"
นิ้วน้อยๆยังกำนิ้วฉันแน่น ยืนยันว่าชีวิตหนึ่งได้อยู่รอดแล้ว
ฉันพยักหน้ารับคำพูดของหมอเด็ก แม้บัดนี้ได้เกิดความหนักแน่นในใจแล้ว... จริงๆแล้วมันไม่สำคัญดอกว่าใครจะคิดจะพูดว่ากระไร เพราะสิ่งสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในใจของคนเป็นหมอ...คือการได้ทำตามคำสั่งสุดท้ายของคนไข้นั่นเอง
จากคุณ :
++peter++
- [
5 ส.ค. 47 20:06:08
]
|
|
|
|
|