เอามาจากเวบผู้จัดการนะคะ เห็นเขียนดีเลยก๊อปมาให้อ่านกัน
http://www.manager.co.th/entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9470000059926
เวลา 10 ปี อาจฟังดูช่างยาวนาน แต่ในอีกความหมายและมุมมอง - ระยะเวลาของมันก็ไม่ต่างจากการถอนหายใจสั้นๆ เพียงครั้งเดียว
ซีรีส์ Friends ออกอากาศมาครบ 10 ปีแล้ว นับจากครั้งแรกในปี 1994 และปีนี้ไม่เพียงแต่มันจะได้รับการเฉลิมฉลองให้เป็นหนึ่งในละครชุดที่ได้รับความนิยมมายาวนานมากที่สุดเท่านั้น แต่ Friends จะมาพบกับคนดูเป็นฤดูกาลสุดท้ายแล้วด้วย
คนที่ติดตามดูความสัมพันธ์ของตัวละครหลักทั้ง 6 ในซีรีส์ชุดนี้ คงจะเกิดอาการใจหาย เชื่อว่าคงมีไม่น้อยที่ไม่ทันรู้ตัวว่า มันได้กลายเป็นส่วนหนึ่ง - อันเล็กน้อย - ของชีวิตไปอย่างชนิดถอนตัวถอนใจไม่ขึ้น
ก็คงเหมือนกับที่เนื้อเพลง I'll Be There for You - ซึ่งเป็นเพลงธีมของซีรีส์ชุดนี้ - ได้ว่าไว้ "ไม่ว่าชีวิตคุณจะย่ำแย่ขนาดไหน งานการหรือความรักไม่เป็นดั่งใจคิดหวัง เพื่อน...คือคนที่พร้อมจะอยู่ตรงนั้นกับคุณ" - Friends ก็เป็นถึงขนาดนั้น
นอกจากคณะ The Rembrants จะเป็นผู้ขับร้อง เรียบเรียงและบรรเลงเพลงแล้ว เนื้อร้องของเพลงนี้ก็ยังได้ มาร์ทา คอฟแมน และ เดวิด เครน เป็นคนมาเขียนเนื้อร้องร่วมด้วย
ทั้งคอฟแมนและเครนเป็นเพื่อนสนิทกันมายาวนาน ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยแล้วที่พวกเขาหลงใหลละครคอมเมดี และสัญญิงสัญญากันไว้ว่า หากวันหนึ่งมีโอกาส พวกเขาจะทำงาน "ตลก" ดีๆ สักชิ้น ให้มันยอดเยี่ยมและน่าจดจำถึงขนาดที่ว่า เอาไปสลักบนหน้าหลุมฝังศพได้โดยไม่ต้องอายใคร
Friends เริ่มต้นด้วยความคิดของคอฟแมน เครน และ เควิน ไบรต์ (เพื่อนร่วมหุ้นอีกคนในบริษัทโปรดักชั่นเฮ้าส์ที่รับผลิตละครโทรทัศน์ให้กับวอร์เนอร์ บราเธอร์ส) สองคนแรกเชี่ยวชาญงานบท ส่วนคนหลังนั้นเป็นผู้กำกับซิตคอมมือวางอันดับต้นๆ ของวงการ ทั้งสามร่วมกับคิดคอนเสปต์โดยใช้เวลาไม่นานนัก ก่อนมันจะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
Friends Like Us คือชื่อแรกที่พวกเขาคิด ก่อนจะมาลงตัวที่ Friends ที่สั้นและกระชับกว่า โดยพล็อตนั้นจะเล่าเรื่องหนุ่มสาววัยกลางยี่สิบ 6 คน - ที่อาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์เดียวกันกลางมหานครนิวยอร์ก เรื่องชวนหัว ที่จะมาจากลักษณะความเป็นส่วนตัวของแต่ละคน ปัญหาเรื่องงาน ความสัมพันธ์ เซ็กซ์ และมิตรภาพ
จุดศูนย์กลางของเรื่องอยู่ที่ รอส เกลเลอร์ (เดวิด ชวิมเมอร์) นักวิทยาศาสตร์ที่มีน้องสาวเจ้าระเบียบ - โมนิก้า (คอร์ตนีย์ ค็อกซ์) ที่เธอบังเอิญอยู่อพาต์เมนต์ห้องตรงข้ามกับ แชนด์เลอร์ (แมทธิว แพร์รี) เพื่อนสนิทสมัยเรียนมหาวิทยาลัยของเขา ซึ่งก็มีรูมเมตเป็นนักแสดงหนุ่มที่ชื่อ โจอี้ (แมตต์ เลอบลัง)
ส่วนเพื่อนหญิงทางฝั่งโมนิก้านั้นมีอีก 2 คน หนึ่งคือ ฟีบี้ บุฟเฟต์ (ลิซา คูโดรว์) สาวเพี้ยนที่เคยเป็นรูมเมตของเธออยู่พักหนึ่ง กับ เรเชล กรีน (เจนนิเฟอร์ อนิสตัน) เพื่อนสนิทของเธอและเป็นหญิงสาวที่รอสหมายปอง
ทั้งหมดนั้นถูกบอกเล่าด้วยวิธีการที่ไม่ใหม่ กล่าวคือ มันเต็มไปด้วยองค์ประกอบที่เราคุ้นเคยกันดี แต่ความยอดเยี่ยมของ Friends อยู่ตรงที่ มันทำให้ทุกอย่าง (อันซ้ำซาก) อยู่ในลักษณะและที่ทางอันเหมาะสม
ในบรรดาหนังหรือละครตระกูลต่างๆ ส่วนตัวผมคิดว่า "เรื่องตลก" เป็นงานที่ทำได้ยากลำบากมากที่สุด ยิ่งถ้าอยากจะทำให้ได้ดีด้วยแล้ว ความยากพื้นฐานก็ต้องเอามาคูณด้วยสิบ
ปัจจัยสำคัญของหนังตลกคือ มันต้องมีบทที่ดีมาก (ฉลาด มีลูกล่อลูกชน และแน่นอน มีอารมณ์ขัน) มันต้องได้นักแสดงที่ดี และมันจะต้องได้การกำกับการแสดงที่ดี ที่สามารถควบคุม "จังหวะ" ของมันได้
การเล่นตลก เป็นเรื่องของจังหวะโดยแท้จริง และมันเป็นจังหวะที่ไม่สามารถจับเวลาเป็นวินาที หรือมีสูตรบอกได้ บทและสถานการณ์จะเป็นตัวกำหนดให้มันสั้นหรือยาวต่างกันออกไป แต่โชคดีที่ Friends ทำได้ดีมากทั้ง 3 องค์ประกอบที่ว่านั้น และเมื่อมันมีจังหวะที่แม่นยำ คนดูก็ขำออกมาเองโดยไม่ทันตั้งตัว (เสียงหัวเราะที่ได้ยินระหว่างที่เรากำลังชมนั้น เป็นเสียงจริงของผู้ชมที่เข้ามาดูในห้องส่ง)
ทีมเขียนบทของซิตคอมชุดนี้ (มีอยู่ราวๆ 50 คน) ทำงานร่วมกันอย่างยอดเยี่ยม บทสนทนาเขียนขึ้นมาได้ดีจนขนาดเอาไปเป็นแบบอย่างของการเรียนเขียนบทได้สบาย มีอยู่ตอนหนึ่งที่ผมชอบมาก ทั้ง 6 คนกำลังเถียงกันขณะกินกาแฟอยู่ที่ร้าน เซ็นทรัล เพิร์ก ว่า เป็นผู้ชายหรือผู้หญิงจะดีกว่ากัน ฝ่ายชายจะบอกว่าผู้หญิงโชคดีกว่า ในขณะที่ฝ่ายหญิงพยายามปฏิเสธ
เรเชลบอกว่า "พวกเธอสามารถยืนฉี่ได้" (แชนด์เลอร์ถามขึ้นอย่างเอาจริงเอาจังว่า มันทำได้จริงๆ เหรอ)
โจอี้เด็ดกว่า "พวกเธอโชคดีกว่า เพราะเวลานึกอยากจะดูหน้าอกเมื่อไหร่ ก็ดูได้เมื่อนั้น"
แต่ก็ยังไม่เท่าฟีบี้ เธอบอกว่า "ผู้ชายโชคดีจะตาย พวกเธอทำเรื่องเฮงซวยได้โดยไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรเลย"
ฟีบี้เป็นตัวละครโปรดของผม เธอมักจะทำให้เรื่องบางอย่างยุ่งยากขึ้นมาทั้งๆ ที่มันไม่จำเป็น นี่ยังไม่นับความแปลกทั้งพฤติกรรมและคำพูดคำจาที่ทำให้เธอโดดเด่นมากกว่าคนอื่นๆ
ผมขอยกตัวอย่างตอนที่เพื่อนๆ กำลังชักชวนกันไปช่วยรอสจัดห้อง หลังจากที่เขาแยกทางกับภรรยา โจอี้ถามฟีบี้ขึ้นมาว่า จะไปช่วยขนของด้วยกันไหม
เธอทำหน้าคล้ายจะบอกว่าเสียใจด้วยจริงๆ แต่ฟังเธอพูดเสียก่อน "โอ้ว ฉันขอโทษด้วยนะ ฉันอยากไปช่วยจริงๆ แต่ฉันไม่อยากไปน่ะ"
อาจเป็นเพราะบทที่สร้างเธอมาได้ "เอ๋อ" อย่างสะใจขนาดนั้น แต่ส่วนหนึ่งคงต้องชมลิซา คูโดรว์ด้วยที่ทำให้เห็นว่า บางครั้งคนบ้าก็น่าหลงรักได้เหมือนกัน อย่างไรก็ดี ความไม่ปกติปนเสียงหัวเราะนั้นมีอยู่ในตัวละครทุกตัว และคงจะเป็นการยืดยาวหากผมจะต้องเขียนถึงอีก 5 คนที่เหลือ
ซีซั่นสุดท้ายออกอากาศจบไปแล้วในสถานีโทรทัศน์ NBC ที่อเมริกา แต่ดูเหมือนตอนแรกเพิ่งจะออนแอร์ที่เคเบิ้ลทีวีบ้านเราเมื่อต้นสัปดาห์นี้เอง คนที่เป็นแฟนอยู่แล้วก็คงไม่พลาด ส่วนใครที่ยังไม่เคยดูก็ลองหามาชมได้ (มีฉบับลิขสิทธิ์ในบ้านเรา) ไม่น่าผิดหวัง
ด้วยความหัวหมอ วอร์เนอร์ออกดีวีดีตอนสุดท้ายของ Friends เมื่อไม่นานมานี้เอง ผมตกเป็นเหยื่อด้วย แล้วก็พบว่า มันมีแค่ตอนสุดท้ายจริงๆ ส่วนตอนก่อนหน้าที่อยู่ในซีซั่นนี้ก็ต้องรอไปก่อน
แต่ถึงอย่างนั้น มันก็เป็นตอนจบที่ดูรู้เรื่อง (กล่าวคือ ถ้าดูมาอย่างต่อเนื่องก็พอจะจับความได้) ที่สำคัญก็คือ มันสรุปเรื่องได้อย่างเรียบง่ายที่สุด ไม่ฟูมฟาย ทั้งๆ ที่ถ้าทำสักนิดก็จะไม่ว่าเลย
ไบรต์เป็นคนกำกับในตอนสุดท้ายนี้ หลังจากที่ทั้ง 6 ย้ายออกจากห้องพักหมายเลข 20 ไปแล้ว กล้องก็ค่อยๆ กวาดไปจับภาพห้องที่ว่างเปล่า กุญแจทั้ง 6 ดอกวางอยู่บนชั้นไม้ซึ่งพวกเขาต้องคืนให้กับเจ้าของ แต่กล้องไปจุดจริงๆ ที่กรอบไม้สีเหลืองซึ่งแขวนอยู่ตรงประตูตั้งแต่ตอนแรก
ไม่เคยมีใครบอกว่า เจ้ากรอบอันนั้นแขวนไว้ทำไม ตั้งแต่เมื่อไหร่ และมันใช้ประโยชน์อะไร จนกระทั่งภาพสุดท้ายนี่เอง ที่อย่างน้อยๆ มันก็ทำหน้าที่บางอย่างต่อคนดู คือ สร้างความอาลัยอาวรถึงสิ่งที่อดีตที่ผ่านไปแล้ว และคงจะไม่กลับมาอีก.
จากคุณ :
angelic me
- [
2 ต.ค. 47 00:00:38
]