ความคิดเห็นที่ 21
ค่อนข้างประทับใจครับ อาจมีข้อติเล็กน้อยๆ แต่ก็พอๆ จะทำใจลืมไปได้
อันนี้ก็อปมาจากบล็อกของตัวเองครับ http://unit-maxx.bloggang.com
Finding Neverland สู่แดนมหัศจรรย์ (Spoil เล็กน้อย) กาลเวลามันไล่ตามหลังเรามาทุกคน จริงสินะ เราทุกคนไม่สามารถหนีพ้นข้ามห้วงแห่งกาลเวลาได้ ยังไงเราก็ต้องโต ยังไงเราก็ต้องมีอายุมากขึ้น และยังไงเราก็ต้อง...ตาย
มันเป็นเรื่องน่าเศร้า ที่พอดูหนังเรื่องนี้จบ ผมอยากหยุดอายุของผมไว้ตรงนี้จัง, อยากหยุดเวลาเอาไว้ ในยามที่ยังเป็นเด็กอยู่, ในยามที่ยังไม่ต้องทำงาน - - อยากหยุดเวลาไว้ เพื่อไปสู่แดนมหัศจรรย์, แดนอันเป็นนิรันดร์ ที่มีชื่อว่า Neverland
Finding Neverland เป็นฝีมือการกำกับล่าสุดของมาร์ก ฟอสเตอร์ ผู้กำกับมือรางวัล ผู้ส่งให้ฮัลลี่ เบอร์รี่ได้รางวัลออสการ์จาก Monsters Ball ผลงานชิ้นนี้ของเค้า ค่อนข้างจะแตกต่างจากงานชิ้นก่อนอย่างมาก เพราะมันเต็มไปด้วยความสดใส, ความน่ารัก, และความประทับใจ หนังเล่าเรื่องชีวประวัติส่วนหนึ่งของเซอร์ เจมส์ แมธธิว แบร์รี่ (จอห์นนี่ เดปป์) (เอาอีกแล้ว! จะสร้างหนังชีวประวัติอะไรกันนักหนา กับหนังชิงออสการ์ปีนี้ ทั้ง Ray, Aviator แล้วก็เรื่องนี้) ผู้สรรค์สร้างโลกแห่งเนเวอร์แลนด์, โลกของ ปีเตอร์แพนและผองเพื่อน ให้กับเราทุกคน โดยใครจะรู้บ้าง ว่ากว่าที่คุณเจมส์จะสรรค์สร้างเรื่องราวการผจญภัยอันโลดโผนโจนทะยานนี้ได้ เค้าต้องผ่านกับอะไรมาบ้าง ทั้งละครเวทีในตอนแรกๆ ที่เจ๊ง, คนไม่ชอบ, น่าเบื่อ หรือปัญหาภายในครอบครัวเอง (เจมส์นอนคนละห้องกับภรรยา) จนกระทั่งเค้าได้พบกับครอบครัว Llewelyn Davies ซึ่งประกอบไปด้วยแม่ 1 (ซิลเวีย แสดงโดยเคต วินสเลต) กับลูกอีกสี่ (จอห์น, แจ็ค, ปีเตอร์, ไมเคิล) ซึ่งทำให้ชีวิตเค้าได้เปลี่ยนไป
ครอบครัวนี้นี่แหละ คือ แรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้เค้าได้เขียนผลงานชิ้นเอกที่มีชื่อว่า Peter Pan ~*
เรื่องราวหนังชีวประวัติที่ค่อนข้างเกร่อในบ้านเราตอนนี้ (หมายถึงมีฉายตามโรงเต็มไปหมด ถ้าไล่เฉพาะปีนี้ก็ Aviator, Ray, Capturing the Friedman, Tarnation, และอื่นๆ อีกมากมายที่ผมนึกไม่ออก) ไม่รู้ว่ามีมนต์เสน่ห์อะไร ให้สร้างกันได้เป็นล่ำเป็นสัน ออกมาติดๆ กัน จนอยากจะสำลักเป็นชีวประวัติของพวกเค้าแล้ว อย่างไรก็ตาม Finding Neverland ที่แม้จะเล่าเรื่องชีวประวัติเหมือนกัน แต่ก็เลือกหนทางที่แตกต่าง แต่ลงตัว
หนังหยิบเพียงส่วนหนึ่งของชีวิตเซอร์ เจมส์ แบร์รี่มานำเสนอเท่านั้น อีกทั้งยังมีการดัดแปลง แก้ไขรายละเอียดบางส่วน ให้แตกต่างออกไปจากเหตุการณ์จริง (จริงๆ แล้วพ่อของเด็กๆ ยังมีชีวิตอยู่จนกระทั่งปี 1908, ลูกๆ มี 5 ไม่ใช่ 4 คน) จึงทำให้หนังนำเสนอเรื่องราวได้อย่างลึกซึ้ง ไม่กระจัดกระจายเหมือนอย่างบางเรื่อง ที่พยายามนำเสนอเกือบทุกเรื่องราวในชีวิตของตัวละคร (แต่สำหรับ Ray ผมก็ยังยืนยันว่าชอบมากๆ แม้จะนำเสนอหลายประเด็น จนหลายคนเห็นว่ากระจัดกระจายเกินไป แต่ประเด็นหลายประเด็น ที่นำเสนอเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นแหละครับ ที่เป็นตัวจุดประกายให้เรานำไปคิดต่อได้อย่างไม่มีวันจบ) หนังเจาะประเด็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ที่เจมส์ได้สรรค์สร้าง Peter Pan ขึ้นมา เค้าสร้างมันได้อย่างไร, อิงเนื้อหาจากใคร, ต้องประสบปัญหาอะไรระหว่างนั้นบ้าง (แม่ซิลเวียกีดกัน, ปัญหาครอบครัวกับภรรยา)
ซึ่งการสร้างสรรค์เรื่องราวออกมาโดยตัดสลับระหว่างโลกของความฝัน และโลกแห่งความเป็นจริงนั้น ถือว่าใช้ได้ผลมากครับ มันทำให้เราทุกคนล่องลอย ตกอยู่ในภวังค์ และหลุดเข้าไปอยู่ในโลกแห่งจินตนาการที่เจมส์ได้สรรค์สร้างขึ้น ราวกับฝันไปเป็นระยะเวลาเกือบสองชั่วโมง เราค่อยๆ รับรู้เรื่องราวของเจมส์ทีละเล็กทีละน้อย ผ่านความสัมพันธ์กับครอบครัวเดวีส์ ที่เด็กแต่ละคนน่ารักน่าชังเหลือเกิน ซึ่งคอยช่วยพยุงให้หนังที่บางส่วนมีปัญหา มีมนต์เสน่ห์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ ที่พูดอย่างนี้เพราะแม้ว่าหนังค่อนข้างจะสมบูรณ์ก็จริง แต่ ก็ยังคงมีบางส่วนที่ไม่ลงตัวนัก อาทิเช่น ตอนต้นๆ เรื่อง ดูเหมือนว่า หนังจะพยายามเล่าเรื่องมากเป็นพิเศษ.. จนอาจมากเกินไป ซึ่งทำให้อารมณ์ ความผูกพัน ความสัมพันธ์ระหว่างเจมส์และลูกๆ ของซิลเวียทั้ง 4 โดยเฉพาะปีเตอร์ไม่ลุ่มลึกมากนัก
เพราะความจริง ประเด็นของเจมส์ ที่พี่ชายของเค้าต้องตายแต่เด็ก จนกระทั่งแม่ต้องนอนซมเพราะอดคิดถึงลูกชายสุดโปรดไม่ได้ กับประเด็นปีเตอร์ เด็กชายที่ดูเหมือนมีปัญหา เพราะทำใจรับกับปัญหาพ่อที่เสียชีวิตไม่ได้ น่าจะสามารถนำมาผูกให้เกิดข้อขัดแย้ง (Conflict) เพื่อแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างเจมส์กับปีเตอร์ที่มีบางสิ่งเหมือนกันได้มากกว่านี้ แต่ก็คงอย่างว่าแหละครับ ถ้ามองในอีกมุม หนังคงไม่อยากเสียเวลาเล่าเรื่องในส่วนที่นอกเหนือจาก Theme ของเรื่องหรอกครับ สรุปก็แล้วแต่คนจะมองก็แล้วกัน
แต่ก็อย่างที่บอกไป ว่าด้วยความน่ารัก ไร้เดียงสาของเด็กๆ ทำให้เราเกิดอาการลืมไปเลย ว่าไม่ชอบส่วนใดบ้างของหนัง เด็กๆ เหล่านั้นสามารถแสดงได้ดีมาก (โดยเฉพาะฉากที่ปีเตอร์ทุบข้าวของ แล้วคาดคั้นเจมส์เรื่องแม่) จนทำให้ผมอดนึกไม่ได้ว่า ทำไมแต่ก่อนเราถึงอยากโตนะ , เพราะตอนนี้พอเราโตขึ้นมาแล้ว เรากลับอยากย้อนไปเป็นเด็กอีกครั้งหนึ่ง???
ผมคิดว่าอีกหลายคนคงคิดเหมือนผม ชีวิตในวัยเยาว์, ผ้าสีขาวผืนน้อยๆ ที่ไร้มลทิน ช่างงดงามและบริสุทธิ์เหลือเกิน และความบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา นี่แหละ ที่ได้ก่อกำเนิดเรื่องราวคลาสสิกของปีเตอร์ แพนขึ้นมา มันคือการผสมผสานระหว่างจินตนาการบนรากฐานของความเป็นจริง - จากครอบครัวเดวีส์ที่แสนน่ารักนี้ได้อย่าลงตัว
สรุปโดยรวมแล้ว หนังเรื่องนี้อยู่ในมาตรฐานดี ที่น่าพอใจ แม้อาจจะไม่มากเท่าที่คาดหวังไว้ก็ตาม (ส่วนหนึ่งเป็นเพราะยังไม่สามารถสลัดความประทับใจจากเรื่อง All About Lily Chou-Chou ออกไปได้) ทั้งหมด ทั้งมวล ต้องยกความดีความชอบให้กับบทภาพยนตร์ที่มีชั้นเชิง ที่ตั้งจุดสนใจไว้เพียงสิ่งที่ต้องการนำเสนอ โดยเฉพาะฉากไคลแมกซ์ ที่ถือว่า เป็นส่วนที่ดีที่สุดของหนัง เพราะจากการที่หนังค่อยๆ นำพาเราสู่เนเวอร์แลนด์ แต่ทำไมก็ไม่รู้ ผมก็ยังรู้สึกว่ายังไปไม่ถึงอยู่ดี จนกระทั่งกับฉากนั้น คำพูดของตัวแสดงที่เป็นปีเตอร์ แพน มันทำให้เราคอยลุ้น ทำให้เราเชื่อ Just Believe เพียงแค่ศรัทธา แล้วทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นจริง
เพียงฉากๆ เดียว คำพูดๆ เดียว (ที่อาจห้วนเล็กน้อย) ก็สามารถทำให้ทุกเพศทุกวัย เคลิ้มไปกับโลกแห่งจินตนาการนี้ได้ (สังเกตแม่ของซิลเวียปรบมือเป็นคนแรก) แต่หนังก็ไม่ได้พร่ำเพ้อ เสียเวลาเร้าอารมณ์คนดู จนกระทั่งทำให้หนังฟูมฟายมากจนเกินไป เพราะพอหนังประสบความสำเร็จในสิ่งที่ต้องการบอกเล่า หนังก็ตัดไปฉากต่อไปทันที นี่แหละครับ ส่วนดีของบทละคร ที่บรรจงแต่งออกมาได้อย่างงดงาม
ความดีความชอบนี้ยังรวมไปถึงทีมนักแสดง ที่แต่ละคนสามารถถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละครออกมาได้อย่างดีเยี่ยม ทั้ง จอห์นนี่ เดปป์ (แต่สำหรับออสการ์ ขอเชียร์ เจมี่ ฟอกซ์ ครับ) ที่เรื่องนี้ แม้บทจะไม่หวือหวามากนัก ค่อนข้างเรียบง่ายไปด้วยซ้ำ แต่เค้าก็สามารถสวมวิญญาณคุณเจมส์ได้เป็นอย่างดี สีหน้าแววตา ท่าทางที่แสดงออกมา แสดงให้เห็นว่าเค้ามีความผูกพัน รักและห่วงใยเด็กๆ มากแค่ไหน ทำให้เราเชื่อได้ว่า เค้า นี่แหละ คือ ชายผู้มีจินตนาการ คือ ชายผู้อ่อนโยน ผู้มีความรัก ผูกพันกับเด็กมาก..... มากจนสามารถเขียนเรื่อง ปีเตอร์ แพน ได้
หรือจะเป็นเคต วินสเลต ที่เรื่องนี้รับบทแม่ที่มีปัญหาด้านสุขภาพ จะว่าบทธรรมดา ก็ธรรมดา แต่เธอก็เลือกถ่ายทอดออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ และนุ่มนวล ยิ่งในยามที่เธอต้องเจ็บไข้ จนไม่สามารถไปดูรอบปฐมทัศน์เรื่อง ปีเตอร์ แพน ได้นั้น น้ำเสียงที่เธอบอก ปีเตอร์ ให้ไปชมละครให้ได้ แล้วมาเล่าให้เธอฟัง มันจี๊ดเหลือเกิน มันแสดงให้เห็นสัญชาตญาณของความเป็นแม่คนของเธอได้อย่างชัดเจน ทึ่งมากๆ ครับ
อีกทั้งตัวภรรยาของเจมส์ ที่แสดงโดยราดา มิตเชลล์ ก็ทำให้ผมสงสารเธอไม่น้อย ในยามที่เจมส์ขลุกตัวอยู่กับครอบครัวเดวีส์ แต่เธอผู้เป็นภรรยากลับไม่ได้รับความเอาใจใส่ใดๆ เลยแม้แต่น้อย สมควรแล้วแหละ ที่เธอนอกใจไปหากิ๊กใหม่ !!
และที่สำคัญ ก็คือ แก๊งลูกๆ ทั้งสี่ ด้วยความเยาว์วัย ทำให้สิ่งที่ทีมนักแสดงตัวน้อยๆ เหล่านี้แสดงออกมา เต็มไปด้วยความน่ารัก ไม่เสแสร้ง ยิ่งจากฉากแรกๆ ในสวนสาธารณะ (ฉากที่เจอเจมส์ครั้งแรก) หากใครจำได้ คงอดที่จะหลงรักเด็กๆ เหล่านี้ไม่ได้
ความลงตัวของบรรดาเหล่านักแสดง , ดนตรีประกอบที่ค่อยๆ คลอไปกับตัวหนัง, ภาพในฝันอันงามงด ผสานเข้ากับบทภาพยนตร์ที่ลงตัว จึงไม่น่าแปลกที่ภาพยนตร์เรื่องนี้จะค่อนข้างมีความสมบูรณ์แบบสูง แม้โดยส่วนตัว จะเห็นว่ามีข้อบกพร่องเล็กน้อยๆ ดังที่ได้กล่าวไปข้างต้นแล้วก็ตาม(ไม่ค่อยชอบความสัมพันธ์ตอนต้นเรื่อง) ก็พอจะทำใจลืมๆ มันไปได้
Just Believe เชื่อสิ เพียงแค่มีศรัทธา แล้วเราจะก้าวไปด้วยกัน ไปสู่ยังดินแดนอันเป็นนิรันดร์ โลกมหัศจรรย์ Neverland
..
จากคุณ :
it ซียู
- [
15 ก.พ. 48 15:23:45
]
|
|
|