| ชอบมากห้ามพลาด (5 คน) |
| ชอบแต่ยังไม่ที่สุด (2 คน) |
| เฉยๆ (2 คน) |
| ไม่ค่อยชอบ รอแผ่นก็ได้ไม่ต้องไปโรง (0 คน) |
| ไม่ชอบ (0 คน) |
| จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 9 คน |
เลือกอ่านเรื่องนี้พร้อมรูปได้ที่ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=05-2005&date=11&group=1&blog=2
..ในตอนแรกผมมีความรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ไม่น่าดูเลยจาก 1.หนังตัวอย่างที่ทำออกมาดูเก่าๆไม่มีอะไรดึงดูด+การมาแบบเงียบๆและเสียงวิจารณ์ที่ไม่น่าติดตามดูเท่าไหร่นัก 2. Bruce Willisกับบทที่ไม่แตกต่างกับที่ผ่านมาๆเรียกได้ว่าหลับตาเล่นก็น่าจะได้ในบทพระเอกผู้มีความทุกข์ระทมขมขื่นในใจจากอดีตที่เลวร้ายที่ต้องมาเผชิญกับภาวะอันตรายเกินที่ตัวเองจะห้ามใจในและ 3.เนื้อเรื่องที่ดูแล้วมีส่วนชวนให้คิดถึงPanic roomอยู่ไม่น้อยในแง่ของการติดอยู่ในบ้านนิรภัย แต่ด้วยความอยากดูหนังผมก็แกล้งๆลืม3ข้อนี้ไปเสีย
....เมื่อผมได้ไปดูและพบว่าถึงแม้หลายอย่างจะเป็นเหล้าเก่า(เนื้อเรื่อง/Bruce Willis)แต่ก็เป็นเหล้าเก่าในขวดใหม่ที่ยังเร้าใจอยู่ไม่ใช่เล่นต้องชมคนเขียนบทที่ว่าหนังเข้าใจสร้างความแตกต่างจากเหล้าเก่าๆที่ผ่านมาจากสถานการณ์ให้มากกว่าการคลี่คลายชั้นเดียว คือ
.... สถานการณ์ในหนังเป็นสถานการณ์ซ้อนสถานการณ์ มีซับพล็อตในพล็อตหลักอีกต่อหนึ่ง ชั้นแรกการช่วยตัวประกันออกมาจากบ้านและชั้นสองคือช่วยตัวประกันลูกเมียให้พ้นจากอันตราย และเล่นกับชื่อหนังเองคือHostageเพราะในเรื่องการมี2Hostageที่เกิดขึ้นพร้อมๆกันนี้มันยังช่วยกลบจุดอ่อนได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นBruce Willisที่เป็นเหมือนกับจุดอ่อนอย่างหนึ่งในหนังแบบไม่รู้ตัวคือ ถ้าเขามาอยู่ในหนังแอคชั่นคนดูส่วนใหญ่มักยังคงติดภาพของจอห์น แมคเคล็นคนตายยากอยู่ และมันทำให้คนดูไม่ต้องลุ้นไปกับเขามากนักเพราะเชื่อว่าตัวละครนี้จะต้องจัดการกับเหตุการณ์ได้ในท้ายที่สุด ยิ่งถ้าในเรื่องเป็นสถานการณ์ชั้นเดียวมันก็ดูไม่น่ามีอะไรหนักหนาสาหัสแถมคู่ปรับของพระเอกแทนที่จะเป็นผู้ร้ายยุคใหม่แบบอัจฉริยะมาดเฉียบแต่กลับเป็นสามวัยรุ่นใจร้อนซึ่งมันทำให้คนดูในตอนแรกอาจรู้สึกว่ามันไม่คะนามือและไม่สมน้ำสมเนื้อพระเอกDieHardผู้ปราบมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำแบบพี่บรู๊ซของเราเท่าไหร่ แต่เมื่อหนังสร้างการมีสองสถานการณ์นี้ขึ้นมันเพิ่มความยากขึ้นกับโจทย์และทำให้คนดูมีอารมณ์ลุ้นกับเอาใจช่วยไปด้วย
....... ตัวละครที่ดูมีเนื้อมีหนังทุกตัวและตัวละครก็ยังมีความขัดแย้งในกลุ่มตัวเอง ตอนแรกที่ผมคิดว่าตัวละครผู้ร้ายดูไม่น่าจะสมน้ำสมเนื้อตัวพระเอกเท่าไหร่แต่หนังใช้ประโยชน์จากความวัยรุ่นของตัวร้ายได้ดี เมื่อสถานการณ์ที่มาซ้อนทับเดาได้ยากว่าอะไรจะเกิดขึ้นตามมากับความใจร้อนของทั้งสามคนและในกลุ่มนี้ก็มีความขัดแย้งในตัวอีกชั้นหนึ่ง มีตัวแทนแรงขับของความรุนแรง(Id)= Mars, ตัวแทนของมโนธรรม(Superego) = Kevin และตัวแทนของจิตที่อยู่ระหว่างความสับสนและขัดแย้ง(Ego) = Dennis ถ้าได้ดูPanic roomก็จะพบว่าโครงสร้างของกลุ่มผู้ร้ายจะคล้ายๆกันและเป็นโครงสร้างที่ทำให้หนังสามารถเล่นอะไรได้มากขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งนี้ ทั้งสามคนนี้รับผิดชอบบทบาทตัวเองได้ดีน่าเชื่อถือ โดยความเด่นอาจจะตกเป็นของ Mars ซึ่งมีอะไรให้เล่นมากกว่าคนอื่นๆในแง่การแสดงอารมณ์ แต่หากมองดูแล้วสองพี่น้องนั้นก็เล่นเป็นกันได้ดีเยี่ยมไม่แพ้กัน(โดยส่วนตัวผมชอบบทบาทของสองพี่น้องที่คนหนึ่งต้องสับสน ลังเลและแสดงเป็นมือสมัครเล่นกับอีกคนที่อึดอัดกับสภาวะการณ์มากกว่าMars เพราะ Marsเป็นตัวละครโรคจิตที่สร้างให้ดูจิตๆและน่าสงสารเป็นตัวละครที่นักแสดงเล่นได้ดีแต่ตัวบทเองไม่ดีเท่าไหร่นัก มันเคว้งไม่ชัดเจนคือมันออกมาเป็นโรคจิตลอยๆมากกว่าถึงแม้ว่าจะพยายามใส่พื้นหลังมาก่อนก็ตาม ยิ่งฉากสุดท้ายของพี่น้องของทั้งคู่ก็ทำออกมาเรียกความรู้สึกคนดูได้ไม่น้อย)
....หนังมีรูโหว่ในแง่ความไม่สมเหตุสมผลที่ค่อนข้างสะดุดความรู้สึกอยู่เป็นบางช่วง รวมทั้งการจบแบบชวนขัดใจเพราะไม่ยอมคลี่คลายปมที่วางไว้ในตอนแรกทั้งหมด แต่ทั้งหลายทั้งปวงนั้นมันแทบจะไม่คิดถึงตอนที่ดูแต่อย่างใดอาจจะมีเพียงแว่บๆที่โผล่เข้ามาเพราะหนังสามารถกำกับความระทึกขวัญตื่นเต้นของคนดูไปพร้อมกับเวลาที่หนังฉายได้เป็นอย่างดี ผมคิดว่าส่วนหนึ่งที่หนังถือว่าได้เปรียบคือฉากเปิดเรื่องแนะนำตัวJeff Talleyนักเจรจาต่อรองที่มาดค่อนข้างอวดดี มั่นใจเต็มเปี่ยมกับเหตุการณ์ในฉากเริ่มเรื่องที่สร้างความกดดันและสมจริงได้ หนังทำให้คนดูเชื่อว่าทุกเหตุการณ์ต่อไปนี้เกิดขึ้นได้ไม่ว่าทางใดทางหนึ่งก็ตาม ทำให้คนดูพร้อมที่จะยอมให้หนังนำพาไปสำรวจเรื่องราวต่อไปได้ อีกทั้งการกำกับภาพในสไตล์หนังแอคชั่นเก่าๆไม่ขายสไตล์ให้มากจนเกินเหมือนหนังแอคชั่นในปัจจุบันหลายต่อหลายเรื่องไปทำให้หนังมีบรรยากาศที่เคร่งขรึมกดดันร่วมไปด้วย Bruce Willisหลายต่อหลายฉากก็อาจไม่มีอะไรที่ดูต่างไปจากหนังเรื่องเก่าๆของเขาแต่ความเก๋าที่สั่งสมมากับการแสดงบทลักษณะนี้ที่ค่อนข้างน่าจะเชี่ยวชาญทำให้หลายฉากที่เขาเล่นมีพัฒนาการทำได้ดีกว่าเรื่องเดิมๆเช่นฉากถูกจับบนรถและฉากช่วยครอบครัวในตอนท้าย
สิ่งที่ชอบ
1.opening title
.คลาสสิค+เก๋มาก ทำให้คนดูคาดหวังได้ทันทีว่าหนังเรื่องนี้น่าจะมีอะไรดีไม่น้อยทีเดียว
2.สไตล์ภาพ .ด้วยหนังที่พยายามไม่ทำตัวให้โฉบเฉี่ยวทันสมัยแต่เป็นสไตล์ภาพและการกำกับภาพแบบใช้ลูกเล่นเก่าๆทำให้อารมณ์ของหนังมันเกิดร่วมไปในทิศทางเดียวกันกับเนื้อหา
3.สถานการณ์...ฉลาดในการวางสถานการณ์ที่ซ้อนทับกัน โยงเข้าหากัน และทำให้คนดูเดาไม่ได้ว่าจะหาทางออกได้อย่างไร
4.ตัวละคร....เป็นเรื่องที่หนังใช้ประโยชน์จากตัวละครทุกตัวค่อนข้างคุ้ม ดูมีเนื้อมีหนังไม่ใช่สักแต่ใส่ๆมาเพื่อให้อยู่ในหนังทั้งสามหนุ่มเลือดเดือดและสองพี่น้องในบ้านที่สอดรับบทกันในบ้านสร้างความกดดันได้ดี
5.ฉากเปิดเรื่อง. ..หนังเรื่องนี้คือตัวอย่างที่ดีของการเริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่ง นอกจากการมีOpening titleที่กิ๊บเก๋แล้วการมีฉากเปิดเรื่องที่กดดันคนดู เหนือความคาดหมายและทำได้ถึงมาตรฐาน มันทำให้คนดูอยากที่จะตามหนังต่อไปและมีความเชื่อถือไปล่วงหน้าแล้วว่าหนังต้องมีอะไรดีรอคอยอยู่ข้างหน้า (นอกเรื่อง:ผมชอบBruce Willisในรูปแบบนั้นในฉากเปิดตัวมากกว่า มันดูแตกต่างดีดูแล้วเป็นJeff Talleyมากกว่าเป็นBruce Willis พอคุณพี่โกนหัวโกนหนวดโกนเครามันก็กลายมาเป็น Bruce Willisผีเห็นผี กลับมาทันที)
6.การกำกับภาพและหลายฉากที่แปลกตา....การจับภาพในหลายฉากเป็นมุมที่แปลกตากว่าหนังเรื่องที่ผ่านมาและบางฉากก็เป็นความแตกต่างจากหนังแอคชั่นแนวเดียวกันที่คนดูไม่เคยเห็นมาก่อนสร้างความกดดันให้กับคนดูได้ดี(เช่น ฉากกระเสือกกระสนไปที่รถของตำรวจสาว)
สิ่งที่ไม่ชอบ
1.ความไม่สมเหตุสมผล...เช่น การเข้าบ้าน(ที่สุดยอดของนิรภัย)อย่างง่ายดายเหลือเชื่อของสามหนุ่ม,ตอนก่อนจบที่ใช้ความผิดปกติทางจิตใจของ Marsมาคลี่คลายเหตุการณ์ลงแบบง่ายๆ,การที่MarsจัดการFBIอย่างง่ายๆฯลฯ ซึ่งมันคอยดึงคนดูหลุดจากความสนใจออกมาจากหนังได้แต่ก็ไม่มากจนเกินไป จริงๆแล้วผมคิดว่าความไม่สมเหตุสมผลนั้นถึงแม้จะมากมายหรือรุนแรงแต่ถ้าไปอยู่ในหนังอย่างDieHardคนดูยังพอรับได้เพราะคนดูรู้สึกแต่แรกทั้งจากโฆษณาหรือเนื้อหนังมาก่อนแล้วว่ามันจะเป็นหนังที่พร้อมจะโม้กันสนุกเต็มที่ ตรงข้ามกับหนังแอคชั่นหรือทริลเลอร์ที่เน้นความสมจริงเช่นล่าสุดอย่างThe Interpreter หรือเรื่องนี้ ที่เมื่อมีความไม่สมจริงอยู่อาจไม่ใช่รูโหว่ที่ใหญ่มากแต่มันก็สะดุดความรู้สึกและหยิบมาพูดถึงได้ง่ายๆเพราะมันขัดกับความรู้สึกของคนดู
2.การคลี่คลายที่มักง่าย....การออกจากบ้านนิรภัยโดยอาศัยบางจุดจากตัวละครผมรู้สึกว่ามันมักง่ายเกินไป อย่างที่บอกว่าบท Marsมันโรคจิตลอยๆเคว้งๆยิ่งฉายความไม่สมเหตุสมผลมากขึ้น
3.ตอนจบที่คั่งค้าง....การจงใจเปิดเผยให้เห็นอะไรบางอย่างในตัวชายโม่งดำ แผนการณ์ที่ซับซ้อน ผู้บงการที่ไม่น่าธรรมดากับFBI(ที่ถ้าจริงก็แสดงว่าผู้บงการตัวเบ้ง/ถ้าตัวปลอมก็ผู้บงการเก่ง)แต่เมื่อตอนจบหนังกลับละทิ้งเรื่องราวเหล่านี้ไปเฉยๆ ผมรู้สึกว่านี่ไม่ใช่หนังอาร์ตที่จบแบบให้คนดูกลับไปขบคิดต่อแต่มันเป็นหนังที่ควรจะเคลียร์เรื่องราวให้เสร็จสิ้นมากกว่า มันเหมือนกับว่าผู้กำกับวาดโครงที่ใหญ่เกินไปในตอนแรกและไม่สามารถที่จะหาทางจบมันได้ในเวลาที่กำหนดจึงตัดจบแบบง่ายๆเหลือเกิน
สรุป....คุ้มค่าเงินกับ100บาทในโรงลิโด้รอบ20.20น.(ดูเมื่อวันอังคารแต่เพิ่งเอามาลงวันนี้ ตั้งเร็วยังไม่มีใครดูเดี๋ยวจะเหงาไม่มีคนมาคุยในกระทู้55)เป็นอย่างยิ่ง เป็นอารมณ์แอคชั่นระทึกขวัญที่หายไปนานกับการกลับมาที่ทำได้ถึงในเรื่องของความสนุกและอารมณ์ลุ้นระทึก(ผมชอบในส่วนของอารมณ์ความสนุกกดดันในหนังเรื่องนี้มากกว่าในบ้านนิรภัยที่เหมือนกันอย่างPanic room) ข้อบกพร่องที่หนังมีสามารถถูกลืมไปได้ระหว่างดูด้วยความกดดันชวนติดตามเพราะคุณจะเริ่มรู้สึกพบสิ่งเหล่านั้นเมื่อหนังจบแล้ว หนังมีความรุนแรงสูงไม่เหมาะกับเด็กๆ
ปล...โอ้Kaiser chiefs แจ่มมากๆคุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง
ปล2...รอดูเฉิ่มอย่างใจจดใจจ่อ อยากรู้ว่าความเห็นคนดูแล้วที่แตกต่างกันสองขั้วนั้นผลลัพธ์เป็นยังไง +The Jacket กับ A lot like love และAfter midnightวันเสาร์นี้ (โอ้ ผมจะมีตังค์เหลือครบจนถึงสตาวอร์หรือเปล่านี่
)
แวะอ่านเรื่องเก่าๆเรื่องอื่นๆได้อีกที่
http://aorta.bloggang.com (เว็บนี้เค้าดีจริงๆเลยนะจอร์จ /โอ้ว แน่นอนซาร่าห์มันมีแต่เรื่องหนังเต็มไปหมดเลย)
Be With You , ความสุขของฉันคือ"การได้อยู่กับคุณ"
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=05-2005&date=11&group=1&blog=3
The Clearing , อีกรูปแบบของหนังลักพาตัว
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=04-2005&date=24&group=7&blog=1
แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 48 09:32:09
แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 48 09:20:10
จากคุณ :
"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
- [
13 พ.ค. 48 09:19:13
]