| ชอบมากห้ามพลาด (2 คน) |
| ชอบแต่ยังไม่ที่สุด (4 คน) |
| เฉยๆ (0 คน) |
| ไม่ค่อยชอบ รอแผ่นก็ได้ไม่ต้องไปโรง (0 คน) |
| ไม่ชอบ (0 คน) |
| จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 6 คน |
...เลือกอ่านเรื่องนี้พร้อมรูปได้ที่ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=05-2005&date=19&group=1&blog=1
ปี1991 Jack Starks ถูกยิงที่ศีรษะ เขาตายครั้งที่1
ปี1992 Jack Starks พบกับJackieเด็กผู้หญิงที่รถเสียกลางทางกับแม่เขามอบป้ายชื่อให้เด็กคนนั้นไป ต่อมาเขาถูกยิงและกลายเป็นผู้ต้องหาฆ่าคนตาย เขาความจำเสื่อมต้องเข้าบำบัดในโรงพยาบาลจิตเวช
ปี1993 Jack Starks เสียชีวิตในวันปีใหม่
ปี2007 Jack Starksได้มาพบกับJackieอีกครั้ง และเธอบอกเขาว่าเขาเสียชีวิตไปแล้วในปี1993
......การเดินทางในหนังเป็นเรื่องเล่าที่เดินทางข้ามเวลาไปมาระหว่างช่วงเวลาที่เกิดขึ้นข้างต้น การเดินทางข้ามเวลาผ่านการบำบัดทางจิตโดยเมื่อพระเอกถูกจับมัดใส่jacketและเข้าไปในตู้ที่ใช้เก็บศพเขาจะสามารถข้ามกระโดดเวลาไปข้างหน้า หลังจากนั้นหนังก็จะพาคนดูไปสำรวจเหตุการณ์พร้อมกับพระเอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเขาหลังจากนั้น
.....ชีวิตหลังความตายเป็นอย่างไร? จริงหรือไม่ว่าช่วงเวลาที่เราจะเห็นคุณค่าของการชีวิตมากที่สุดคือช่วงเวลาที่เราได้มองเห็นความตาย
...หนังเป็นเหมือนการเล่าเรื่องวงจรชีวิตของมนุษย์ดังที่ตัวละครตัวหนึ่งบอกว่าคนเราทุกคนเกิดมาก็ต้องตาย เป็นเหมือนวงจรกรรมของพระเอก ถ้าหากเปรียบเทียบดูจะพบว่าเราอาจมองได้ว่าแล้วพระเอกนั้นที่เหมือนว่าเกือบจะตายจริงๆแล้วก็ตายมาครั้งแล้วครั้งเล่า(ตายทางกายสองครั้งและทั้งสองครั้งเกิดที่ศีรษะซึ่งเป็นส่วนของสมองของความคิดและจินตนาการ ตายทางจิตอีกหนึ่งครั้งโดยถูกยิงที่หน้าอกเป็นส่วนของหัวใจและจิตใจ) แล้วก็เกิดใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นกัน
....การเกิดใหม่ครั้งแรกของพระเอกก็เปรียบเสมือนกับการกับการชำระล้างบาปจากการเข้าร่วมสงคราม ฆ่าผู้บริสุทธิ์เพราะเขากลายเป็นคนใหม่ชีวิตใหม่ที่ต้องสูญเสียความทรงจำเก่าๆไป(กลไกทางจิตระงับความรู้สึกผิด ความรู้สึกเลวร้ายจากสงคราม) และการเกิดไปสู่โลกอนาคตผ่านลิ้นชักตู้เก็บศพที่เปรียบเสมือนมดลูก(อย่างที่ในหนังเปรียบเปรย)ก็คือการเกิดใหม่ในอนาคตเช่นกัน หากมองในอีกมุมหนึ่งเรื่องเล่าทั้งหมดก็อาจเป็นชีวิตหลังความตายแต่เป็นจิตของพระเอกที่เหลืออยู่ก็เป็นได้ ความตายครั้งที่1ของพระเอกอาจเป็นการตายที่แท้จริงส่วนที่เหลือคือความรู้สึกจิตที่ยังคั่งค้างอยู่ หรือการถูกยิงครั้งที่สองก็อาจเป็นความตายที่แท้จริงแต่เป็นการตายทางจิตและส่วนที่เหลือคืออาการทางจิตหลงผิดที่เกิดขึ้นเพื่อชดเชยอดีตและลบล้างสิ่งเลวร้ายในโรงพยาบาลจิตเวช ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรหนังก็สะท้อนในเรื่องการเกิดและตายเป็นวงจรของคนหนึ่งคน โดยในช่วงเวลานั้นมันทำให้คนๆหนึ่งได้เรียนรู้และเริ่มเห็นคุณค่าของการมีชีวิต
....มีคำพูดที่พูดกันเล่นๆว่าเส้นแบ่งระหว่างอัจฉริยะและความบ้ามันเป็นเส้นบางๆต่างกันนิดเดียว หนังเรื่องนี้ก็เช่นกัน มันอยู่ค่อนไปมาระหว่างหนังที่มีแก่นบางๆแต่พยายามจะชดเชยด้วยไอเดียการเล่าเรื่องที่น่าสนใจ กับ หนังปรัชญาชีวิตจิตวิทยาชั้นดี เพราะถ้ามองในแง่ความสนุกหนังทำได้สนุกชวนติดตาม หนังใส่อะไรที่มากไปกว่าหนังสนุกคือหนังพยายามใส่แก่นเข้าไปชวนให้คนดูก็อยากที่จะพยายามคิดตามสิ่งที่หนังใส่เข้ามา ถ้ามองผ่านๆมันก็ดูดีแต่หากจะจับให้มั่นแก่นของหนังที่ใส่เข้ามามันกลับอ่อนและไม่ชัดเจนพอ มันมีดีแค่เปลือกที่ทำให้หนังดูสนุกมีคุณค่าแต่หากจะจับให้มั่นหาว่าหนังสื่อสารอะไรมันกลับดูล่องลอยเหมือนลีลาการเล่าเรื่องในครึ่งแรก การเดินทางข้ามเวลาคือสิ่งที่หนังใช้เป็นเครื่องมือที่รับใช้หนังมาหลายเรื่อง ในBack to the futureหนังใช้มันเพื่อตอบสนองความสนุกอย่างเต็มเปี่ยมโดยไม่ได้สนประเด็นอื่นมากนัก ในขณะที่ล่าสุดอย่างThe Butterfly effectหนังใช้มันเพื่อเล่าเนื้อหาและธีมของเรื่องดูจบแล้วมันมีอะไรให้ชวนขบคิดทั้งจากตัวหนังและกับตัวเราเอง ในขณะที่เรื่องนี้หนังไม่สามารถตอบรับความสนุกได้เต็มที่เหมือนกับใน Back to the futureครั้นจะเอามาเพื่อตอบสนองธีมของหนังมันก็ไม่ชัดว่าสิ่งนั้นคืออะไร? เมื่อหนังจบหากจะมีอะไรให้ขบคิดมันมีแค่ว่าเรื่องในหนังมันเป็นยังไงแต่มันไม่ได้ให้มากพอที่ว่าให้เราได้มาย้อนมองตัวเองเหมือนกับ The Butterfly effectที่แม้ว่าจะเป็นฮอลลีวูดพันธุ์แท้แต่ก็ชวนครุ่นคิดเมื่อดูจบ
....ก่อนตัดสินใจเสียเงินเข้าไปดูต้องเตรียมใจไว้ก่อนว่านี่ไม่ใช่หนังสยองขวัญ ไม่ใช่หนังตื่นเต้นระทึกขวัญ เหมือนที่เข้าใจจากหนังตัวอย่างหรือโปสเตอร์ที่ทำให้คาดหวังได้ว่าจะเป็นไปในแนวนั้น แต่มันเป็นหนังดราม่าจิตวิทยาที่ใช้บรรยากาศหลอนและดูไม่น่าไว้ใจกับเรื่องราวที่มีปมปริศนาให้ค้นหา การดำเนินเรื่องในช่วงแรกจัดได้ว่าเอาคนดู(หลับ)ได้อยู่หมัดคือหลับได้สนิทแน่นอนถ้าไม่ตั้งสมาธิให้ดีเพราะหนังเล่าเรื่องได้ช้ามากและเป็นการช้าที่ผมรู้สึกว่าไม่มีประโยชน์ต่อหนังสักเท่าไร ก่อนที่ช่วงกลางเรื่องหนังจึงจะมีจังหวะที่กระชับขึ้นและชวนติดตามไปเรื่อยๆ มีปริศนาที่ท้าทายคนดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวพระเอก บวกกับการแสดงที่โดดเด่นของ Adrian Brodyทำให้หนังดูดีขึ้นอีกระดับ น่าเสียดายที่Keira Knightleyเธอมีบทน้อยกว่าที่คาดไว้หากแต่เมื่อมีเธอเข้ามาในฉากก็ทำให้หนังดูกระชุ่มกระชวยขึ้นมาทันตาเห็น
...สำหรับผมหนังมีพล็อตที่ดีชวนติดตาม ชวนคิดแต่ตอนดูจบแล้วผมกลับรู้สึกโหวงๆ หนังเหมือนมีสิ่งที่ต้องการสื่อสารออกมาแต่ประเด็นที่หนังสื่อออกมามันประปราย คุณค่าของการมีชีวิตอยู่? คุณค่าของความรัก? เพราะแต่ละอย่างที่หนังจับมาใส่ในหนังไม่ว่าจะจากปากของพระเอก(เรื่องการเห็นคุณค่าของการใช้ชีวิต)หรือจากความสัมพันธ์ของคู่พระ-นาง(เรื่องความรัก) มันไม่ได้ชวนให้คล้อยตามมาตั้งแต่แรกมันแค่เห็นตามว่าเออ มันมีสิ่งนี้อยู่ในเรื่องแต่มันไม่ทำให้เราอินไปกับมันได้อย่างเข้าถึง (เช่น ส่วนโรมานซ์ของทั้งคู่ ผมคิดว่ามันทำให้คนดูรู้สึกซาบซึ้งไปได้อย่างผิวเผินขณะดูด้วยเพราะการแสดงที่ทำได้อย่างน่าเชื่อถือของสองดารานำ แต่หากกลับมานั่งคิดนั่งไตร่ตรองมองเหตุผลก็จะพบว่าหนังไม่ได้สร้างอะไรที่สนับสนุนความรู้สึกนี้เลย เรารู้สึกอินในช่วงที่ดูเพราะการแสดงของทั้งคู่ล้วนๆ)
สิ่งที่ชอบ
1.Adrian Brody...ท่ามกลางหนังที่ล่องลอยไปมา ความหนักแน่นมากที่สุดของหนังเรื่องนี้คือการแสดงของเขาที่ชวนติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ
2.ไอเดียและวงจรของชีวิต..ผมชอบการเปรียบเปรยการเกิดและการตายในเรื่องโดยใช้เรื่องของการย้อนเวลาไปมาเป็นไอเดียที่น่าสนใจดี
3.บทสมทบ......การเข้ามาของJennifer Jason Leighในบทจิตแพทย์สาวหรือDaniel Craigในบทคนไข้ซึ่งเล่นได้ดีทำให้หนังดูดีและน่าเชื่อถือมากขึ้น
สิ่งที่ไม่ชอบ
1.ความเลือนลางของแก่นหนัง...เรื่องราวหลายอย่างในหนังมันดูเหมือนเป็นส่วนเกินที่เข้ามาปะเล็กๆน้อยๆ เพราะดูเหมือนเนื้อหาของการ ตามหาว่าใครฆ่า Jack Starksมันกลายเป็นแก่นของเนื้อหาส่วนหลังแล้ว เมื่อหนังพยายามมากขึ้นในการใส่สิ่งต่างๆไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้ชีวิต ความรัก ฯลฯ มันเหมือนกับใส่เพราะอยากจะสื่อแต่มันไม่ใช่ประเด็นหลักและพาคนดูไปอีกทาง เป็นความทะเยอทะยานที่ดีแต่ทำออกมาได้ไม่ดีพอ จนผมคิดว่าหากหนังจับประเด็นไปเป็นเรื่องเดียวโดยไม่สอดใส่สาระเข้ามาให้มากและมุ่งเน้นไปให้ตรงกับทางที่หนังเล่ามาในตอนแรกคือ ตามหาว่าใครฆ่า Jack Starks น่าจะเป็นPsychological-Thrillerที่สนุกมากเรื่องหนึ่ง เพราะสิ่งที่หนังทำมันคล้ายกับThe Villageคือเนื้อแท้เป็นหนังชีวิต โรแมนติกที่มีปรัชญา แต่ใส่เสื้อคลุมของหนังสยองขวัญ ต่างตรงที่ว่าเนื้อแท้ของเรื่องนี้มันเป็นภาพลางๆเห็นไม่ชัดเจนได้เท่ากับเรื่องนั้นที่ส่วนของความรักและปรัชญาอธิบายเรื่องราวทั้งเรื่องได้
2.ครึ่งชั่วโมงแรก...เป็นช่วงของการเล่าเรื่องที่เหมือนจะหลอนแต่สำหรับผมมันไม่หลอนแต่ง่วงและน่าเบื่ออีกทั้งการเดินเรื่องที่ช้ามันไม่ได้มีผลต่ออารมณ์หรือเนื้อหาแต่อย่างใดจะเห็นได้ว่าเมื่อครึ่งหลังหนังเริ่มจังหวะที่กระชับขึ้นมันชวนติดตามขึ้นต่างจากครึ่งแรกอย่างมาก ตัวอย่างบรรยากาศความหลอนและชวนไม่น่าไว้วางใจที่คล้ายกับครึ่งแรกของเรื่องนี้แต่กดดันความรู้สึกมากกว่าคือหนังเรื่องJacob ladder
สรุป...ถ้าเอาสั้นๆแค่สนุกมั้ยสำหรับผมสนุก ถ้าถามว่าชอบมั้ยหรือดีมั้ยมันอยู่ตรงเส้นบางๆอย่างที่บอกตอนแรกว่ามันค่อนไปมาระหว่างชอบกับไม่ชอบ เพราะ สนุกกับการที่หนังชวนติดตามอย่างเดาไม่ได้ว่ามีอะไรรอคอยอยู่ การเล่าเรื่องที่ทำได้น่าสนใจ หากดูเอาสนุกไม่เอาเหตุผลเพลินๆ ตัดช่วงครึ่งชั่วโมงแรกที่ชวนง่วงนอนก็คุ้มค่าดี หากได้ดูหนังแนวนี้มาหลายเรื่องแล้วหรือหากพยายามคิดตามหรือมองหาว่าหนังสื่ออะไรออกมาก็จะพบว่าหนังไม่ได้มีอะไรที่แปลกใหม่นอกจากรูปแบบและลีลาที่คิดขึ้นมาและการมาในช่วงที่หนังในแนวนี้ขาดแคลนไปนานเท่านั้นเอง เป็นเรื่องที่คุ้มค่าน่าดูอีกเรื่องหนึ่งแต่หากจะรอดูแผ่นก็ไม่น่าเสียดายอะไร
ปล...วิบูลย์กิจทำเซอไพรซ์ ออกรักพลิกล็อคเล่มจบมาแล้วครับในขณะที่Touchออกมาก่อนตั้งนานเล่ม2ยังอยู่ในโรงงานดองผลไม้ต่อไป / แล้ววันอาทิตย์หรือไม่ก็วันจันทร์ผมคงได้มีโอกาสปิดฉากสตาร์วอส์เหมือนคนอื่นซักที(ไม่ได้อยากดูเพราะความชอบหรือความอยากแต่มันกลายเป็นเหมือนความรู้สึกต้องดูซะแล้ว ที่อยากจากความชอบจริงๆคงเป็นอาทิตย์ถัดไปมากกว่าทั้งบ้านผีหุ่น/เมืองบาปและเหมืองแร่) แล้วมาคุยกันครับ
ปล2.เอ่อ ไม่รู้ผมมองผิดไปหรือเปล่าผ่านตาแวบๆตอนนั่งรถกลับจากดูเรื่องนี้ที่ลิโด้รอบ18.45น. กับชื่อไทยของThe Amityville Horror >> ผีทวงบ้าน 
แวะอ่านเรื่องเก่าๆเรื่องอื่นๆได้อีกที่
http://aorta.bloggang.com (เว็บนี้เค้าดีจริงเลยนะจอร์จ /โอ้วแน่นอนซาร่าห์มันมีแต่เรื่องหนังเต็มไปหมดเลย)
เฉิ่ม.. , คุณ"สมบัติ" อาจไม่ "ดีพร้อม"แต่ก็ดีเพียงพอ
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=05-2005&date=14&group=1&blog=1
แก้ไขเมื่อ 19 พ.ค. 48 14:14:46
แก้ไขเมื่อ 19 พ.ค. 48 11:56:50
แก้ไขเมื่อ 19 พ.ค. 48 11:48:52
จากคุณ :
"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
- [
19 พ.ค. 48 11:48:03
]