CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    ดูแล้วมาคุยกัน.... Batman Begins , ปฐมบทแรกบินกับการตีความครั้งใหม่

      ชอบมากห้ามพลาด (30 คน)
      ชอบแต่ยังไม่ที่สุด (24 คน)
      เฉยๆ (9 คน)
      ไม่ค่อยชอบ รอแผ่นก็ได้ไม่ต้องไปโรง (1 คน)
      ไม่ชอบ (1 คน)

    จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 65 คน

     46.15%
     36.92%
     13.85%
     1.54%
     1.54%


    …เชิญชวนเลือกอ่านเรื่องนี้พร้อมรูปและแสดงความเห็นเพิ่มเติมที่ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=06-2005&date=18&group=1&blog=1


    ในโรงภาพยนตร์SF MBKรอบ20.00น.เมื่อวานนี้ หลังจาก1ชั่วโมงกว่าๆผ่านไป ผมนั่งนึกพร่ำบ่นในใจ “ เมื่อไหร่ Batmanจะมา”

    .....ผมชอบBatman ภาคแรกมากสุด เป็นBatmanที่มีเสน่ห์น่าจดจำมีคู่ปรับที่สมศักดิ์ศรีและน่าจดจำไม่แพ้กัน บรรยากาศมืดหม่นและไม่เล่นสนุกจนเลยเถิดทำให้กำเนิดBatmanในตอนนั้นสร้างความคาดหวังกับอนาคตอันงดงามของเจ้าพ่อวังค้างคาวได้ ในภาคถัดมาการreturn ของBatmanได้นางแมวป่ากับมนุษย์เพนกวินมาเป็นคู่ปรับอาจดูไม่สมน้ำสมเนื้อน่ากลัวเท่าJokerแต่มนุษย์เพนกวินก็ยังเป็นตัวละครที่มีมิติน่าสนใจบรรยากาศก็ยังคงเข้มขลังอยู่ ลางไม่ดีของเจ้าพ่อวังค้างคาวเริ่มตั้งเค้าเมื่อการเปลี่ยนมือเจ้าของกิจการวังค้างคาวไปเป็นของJoel Schumacher แม้ว่าตัวร้ายอย่างRiddlerที่ได้นักแสดงเหมาะสมกับบทอย่างJim Carrey หรือจะเป็นHarvey Two-Faceจะน่าสนใจแต่สีสันที่บรรจงใส่เข้าไปในBatman Foreverทำให้ก่อเค้าความไม่น่าวางใจอีกต่อไป การหลงทางครั้งนั้นไม่ได้ทำให้เจ้าของกิจการคนเดิมรู้ตัวแต่มันกลับทำให้เขาเลือกจะเดินซ้ำไปในทิศทางเดิม จริงๆแล้วผมชอบตัวBatmanในสองภาคหลังของJoel Schumacher ตรงที่ตัวBatmanดูเก่งดูเว่อร์ดีส่งเสริมจินตนาการวัยเด็กในตัวที่ชอบซูเปอร์ฮีโร่ แต่ไม่ชอบหนังทั้งเรื่องเพราะตัวร้ายที่อ่อนปวกเปียกแถมเหมือนตัวตลกอย่างMr. Freeze/ Poison Ivyมันเปลี่ยนแปลงภาพรวมของหนังทั้งเรื่องให้ไม่หนักแน่นตามไปด้วย อันส่งผลให้ค้างคาวตัวนี้ต้องดิ่งลงเหวไปกับเพื่อนคู่หูRobinไปนานแสนนานชนิดที่เรียกว่าไม่มีใครคิดว่าเขาจะกลับมาได้

    .....จนกระทั่ง8ปีถัดมา กิจการวังค้างคาวได้ถ่ายโอนมาอยู่ในมือของChristopher Nolan ผู้ถนัดในการทำหนังที่เล่นเกี่ยวกับด้านมืดของจิตใจมนุษย์อย่างInsomnia(ที่เป็นเรื่องความดำมืดในใจตัวเอกส่งผลให้ทำผิดในสิ่งที่คิดว่าตัวเองถูกและความรู้สึกผิดที่ตามหลอกหลอนของการทำผิด บางส่วนของเรื่องนี้เช่นประเด็นศาลเตี้ยถูกนำมาพูดถึงอีกครั้งในBatman Begins)หรือMemento(หากใครได้ดูก็คงรู้ว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องความจำอย่างเดียวแต่มันเป็นเรื่องของความเลวร้ายในใจคน) น่าเป็นห่วงเหมือนกันว่าผู้กำกับที่ไม่เคยทำหนังสเกลใหญ่ๆมาก่อนจะทำหนังระดับยักษ์อย่างBatmanได้อย่างไร เขาจะกู้ชื่อเสียงวังค้างคาวได้หรือไม่ จนเมื่อในหนังมีคำพูดที่ตัวละครพูดออกมาและมันไม่ได้ใช้เฉพาะในเรื่องเท่านั้นแต่มันสามารถสื่อถึงตัวละครBatmanทั้งหมดที่เคยบินสูง เคยร่วงหล่น เคยตกต่ำ และกับคนเราทุกคนว่า

    “ทำไมเราต้องล้ม ทำไมเราต้องตกต่ำ ก็เพื่อเฝ้าดูและเรียนรู้ว่าเราจะลุกขึ้นมาได้อย่างไร”

    ....นั่นเองที่ทำให้การกลับมาของBatman Beginsเป็นการเริ่มต้นตีความใหม่อย่างน่าสนใจ หนังลบจุดอ่อนด้อยของสองภาคสุดท้ายออกไปในขณะเดียวกันก็ไม่ย่ำรอยเดิมของ2ภาคแรก หนังไม่เล่นกับสีสันแสงสี ความเว่อร์เกินจริง แต่ก็ไม่ได้มีบรรยากาศหมองหม่นมืดมัวจนเกินเข้าถึง เรียกได้ว่าหนังมีความสมจริงมาก(มากจนบางช่วงผมรู้สึกว่าอยากให้มันเว่อร์กว่านี้หน่อยน่าจะดี55) ก็อธแธมก็เหมือนจริงและเหมือนอยู่ในแผนที่เดียวกับโลกเราและอยู่ใกล้ตัวเรามาก การใส่รายละเอียดใน1ชั่วโมงครึ่งแรกดีแต่ก็ยาวจนผมรู้สึกเบื่อ(ด้วยความคาดหวังก่อนเข้าโรงของตัวเองที่อยากดูBatmanไวๆมากกว่าจะอยากดูสารคดีกว่าจะเป็นวันนี้ของBatman) เรียกได้ว่าหลังได้ดูภาคนี้จบคงไม่ต้องสงสัยกันอีกว่าBatmanเก่งมาได้ยังไง เขาสร้างชุดยังไง ถ้ำค้างคาวมายังไง? เพราะหนังเล่ารายละเอียดทุกอย่างประดุจสารคดีกำเนิดBatmanไว้เรียบร้อยแล้ว

    .... Batman Begins น่าจะเป็นภาพยนตร์แอคชั่นฮีโร่ที่ได้นักแสดงคุณภาพมาชุมนุมกันมากที่สุดแถมยังเล่นได้เต็มฝีมือไล่เรียงตั้งแต่ Michael Caineที่ขโมยซีนอยู่เรื่อยกับอารมณ์ขันในบทAlfred/ Liam Neeson(บทคล้ายไควกอนจินแต่ผมชอบเขาในเรื่องนี้มากกว่า) /Gary Oldman (เป็นนักแสดงที่ผมชอบมากสุดในเรื่อง ใครเลยจะคิดว่าจะเห็นเขารับบทคนซื่อใสแบบนี้ได้)ขนาดบทเล็กๆน้อยๆประเภทนักประดิษฐ์อุปกรณ์ให้พระเอกที่มักเป็นนักแสดงเล็กๆแต่กับเรื่องนี้ถึงกับให้Morgan Freemanมารับบทเลยทีเดียว การรวมพลยอดฝีมือนักแสดงเหล่านี้ส่งผลให้หนังมีส่วนช่วยมากในการสร้างความน่าเชื่อถือมีพลังหนักแน่นตามความตั้งใจของผู้กำกับ Christian Baleเป็น Batmanที่เข้มและเท่ห์ที่สุดในสายตาผม เขามีความเหมาะสมลงตัวทั้งสองบทบาทคือ Bruce WayneและBatman จุดเด่นมากอีกข้อหนึ่งในตัวเขาคือการแสดงของเขาในเรื่องที่ค่อยๆทำให้เราเห็นพัฒนาการความคิดจิตใจที่ค่อยเปลี่ยนแปลงตั้งแต่เริ่มต้นของBruce Wayneได้อย่างแจ่มชัด

    ....อุบัติเหตุนำไปสู่ความกลัว ความกลัวและความเจ็บปวดถูกทดแทนด้วยภาพลักษณ์ของค้างคาว ความกลัวของตัวเองนำไปสู่ความตายของพ่อแม่ ความตายของพ่อแม่นำไปสู่ความรู้สึกผิด /ความรู้สึกผิด ความเศร้าโศก และความกลัวถูกจิตใต้สำนึกพยายามกลบด้วยความโกรธ จนความโกรธนั้นเกือบจะทำให้บรูซเกือบทำสิ่งที่ต้องเสียใจไปชั่วชีวิต เพราะความตายของพ่อแม่มันไม่ใช่ความผิดของเขาเพียงแต่เขาไม่กล้าที่จะเผชิญความกลัวในใจแต่เมื่อใดที่เขาลั่นไกหรือฟันคอชายในเรื่อง เมื่อนั้นเขาจะไม่มีวันวิ่งหนีความรู้สึกผิดบาปที่ตัวเองก่อได้จริงไปตลอดชีวิต

    ....ความกลัวมักเป็นอุปสรรคชิ้นโตในการที่ทำให้เราไม่สามารถพัฒนาตัวตนของเราขึ้นไปได้อีก เป็นเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาทั้งเรื่องความสัมพันธ์ การงาน ฯลฯ อันเนื่องมาจากเราไม่กล้าที่จะเผชิญความกลัว เราหลีกเลี่ยงหลีกหนี เรากลบมันด้วยความรู้สึกอื่นๆ ที่ยากมากขึ้นไปอีกคือบางครั้งเราเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรารู้สึกกลัวเพราะนั่นหมายถึงการที่เราไม่รู้จักตัวเอง เฉกเช่นกับบรูซ เวย์น หากเขาไม่รู้จักความกลัวและเลือกหลบหลีก กลบเกลื่อน ความกลัว(กลัวความรู้สึกผิด กลัวความเจ็บปวด กลัวความจริงที่ต้องเป็นผู้นำตระกูลเวย์นที่มีภาพลักษณ์สมบูรณ์แบบ กลัวว่าจะทำได้ไม่ดีเท่าพ่อ ฯลฯ) ด้วยความโกรธความแค้น เมื่อนั้นเขาก็คงกลายไปเป็นส่วนหนึ่งในขบวนการของ Ra's Al Ghulและไม่ได้มาสวมชุดดำให้เราได้เห็น

    ... Batman ในภาคแรกบอกที่มาให้รู้บ้างแต่มีมิติเดียวนั่นคือมุมของการแก้แค้น ทำให้เราเข้าใจได้ว่าเขาล่าเหล่าอาชญากรเพื่อตอบสนองความแค้นที่ถูกกระทำในวัยเด็กและมันก็อาจไม่ได้แตกต่างจากการเป็นศาลเตี้ยหรือสิ่งที่ราซอัลกูลในภาคนี้คิดจะทำเท่าไหร่นัก ใน Batman Begins การใส่หน้ากากและชุดดำในครั้งนี้หนังสร้างที่มาให้เห็นภาพมากขึ้นว่าเขาไม่ได้ทำเพื่อแก้แค้นเท่านั้น Bruce Wayneต้องอยู่กับภาพของพ่อที่เป็นภาพอุดมคติที่เขาอยากจะเป็นแต่ก็ยังไม่เข้าถึง เส้นทางที่เขาค้นหาไม่ใช่แค่ว่าแก้แค้นเท่านั้นแต่มันยังเป็นเส้นทางที่เขาค้นหาเพื่อเดินทางทาบทับไปเป็นผู้นำตระกูลWayneในอุดมคติ และเพื่อชดเชยสิ่งที่ตัวเองสูญเสียไป เพื่อล้างบาปและความรู้สึกผิดในใจ(ที่ช่วยเหลือพ่อแม่ไม่ได้+ที่เป็นต้นเหตุการตาย) เพื่อระบายความรุนแรงและความแค้นในใจที่เก็บกักไว้

    ......คนเรามีช่องทางออกของความรุนแรงแตกต่างกันบางคนนำมันออกมาตรงๆ(Acting out)เช่นการทำร้ายคนอื่น ฯลฯ บางคนก็สามารถเปลี่ยนแปลงความรุนแรงในใจให้ออกมาเป็นสิ่งที่สังคมยอมรับได้(Sublimation)เช่นมีความรุนแรงในใจ อยากทำร้ายคนอื่น อยากแก้แค้นและก็เปลี่ยนความรุนแรงในใจนั้นมาเป็นการล่าเหล่าอาชญากรเฉกเช่นกับBatmanในภาคนี้ มันต่างจากที่ผ่านมาเพราะในอดีตการสวมชุดเป็นแค่การแก้แค้น ในภาคนี้หนังตอกกลับไว้น่าสนใจมากเมื่อนางเอกของเรื่องบอกไว้ว่า ความยุติธรรมไม่เหมือนกับการแก้แค้น การแก้แค้นมันหมายถึงการตอบสนองความต้องการของตัวเองเท่านั้น การฉายทัศนคติให้เห็นความแตกต่างของตัวร้ายและBatmanในภาคนี้ (ความพยายามทำในสิ่งที่ตัวเองเชื่อว่าถูก ผิวเผินเหมือนจะทำเพื่อส่วนรวมโดยใช้ตัวเองเป็นศูนย์กลาง หากมองดูลึกๆแล้วก็คือการตอบสนองตัณหาส่วนตัวทั้งสิ้นหาใช่ทำเพื่อส่วนรวม เช่น Ra's Al Ghulอยากสร้างสังคมในอุดมคติ(Utopia)เขาทำในสิ่งที่ตัวเองเชื่อว่าถูก ไม่ต่างจากไลท์ในDeath note ไม่ต่างจากสิ่งที่ตัวละครWill DormerในInsomniaคิดที่จะนำตัวคนร้ายมาเข้าคุกแต่ไม่มีหลักฐานเอาผิดโดยวิธีการจับยัดข้อหา ) มิหนำซ้ำคำพูดในหนังที่บอกว่าสังคมจะเสื่อมถอยลงหากคนดีๆคิดแค่ว่าอยู่เฉยๆก็เพียงพอ แรงผลักดันเหล่านี้มันทำให้การช่วยเหลือคนของBatmanดูน่ายกย่อง มีคุณค่ามากกว่าแค่การแก้แค้นเช่นในอดีต


    (มีต่อ)

    แก้ไขเมื่อ 18 มิ.ย. 48 14:28:14

    จากคุณ : "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" - [ 18 มิ.ย. 48 14:26:28 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป