ความคิดเห็นที่ 290
ระบบการอุดมศึกษากับวัฒนธรรมและการรับน้องใหม่
บทความโดย อัครพงษ์ ค่ำคูณ อุษาคเนย์ศึกษา, ท่าพระจันทร์
ก ่อนอื่นต้องขอทำความเข้าใจในเบื้องต้น โดยต้องไม่ปฏิเสธว่า การ รับน้องใหม่ เป็นเรื่องของ ความปรารถนาอันแรงกล้า ผสมผเสปนเปคละเคล้าเข้ากับความกระหายใคร่อยาก ที่จะปรนเปรอป้อนปันประสบการณ์ชีวิตด้านต่างๆ จากรั้วมหาวิทยาลัย (แม้จะน้อยนิดเพียง few years) จากรุ่นพี่ (อยู่เก่า)ไปสู่รุ่นน้อง (เข้าใหม่)
ถือเป็นลักษณะประการหนึ่ง ในการแสดงออกของสัญชาตญาณตกผลึก ซึ่งรุ่นพี่ได้รับถ่ายทอดและถูกกระทำมาสารพัดวิธี ตามวิถีจารีตประเพณีที่แตกต่างกันไปตามตำแหน่งแห่งสถาบัน และหากลองเทียบเคียงให้ การรับน้องใหม่ เป็นหนึ่งในบรรทัดฐานทางสังคม ว่าด้วย จารีตจำเพาะ หรือ วิถีประชาพื้นถิ่น ที่มีเอกลักษณ์และความเป็นหนึ่งตามสถาบันนั้นๆ อาจนำไปสู่การตีความได้ว่า การต้อนรับน้องใหม่ มีองค์ประกอบสำคัญทั้ง 4 ประการ ของ วัฒนธรรม คือ องค์วัตถุ ได้แก่ การสร้างสัญลักษณ์ต่างๆ, องค์การ ได้แก่การรวมกลุ่มที่มีระบบโครงสร้างที่ชัดเจน, องค์พิธีการ ได้แก่ มีพิธีกรรมต่างๆ, และ องค์มติ ได้แก่ ความเข้าใจ ความเชื่อ อุดมการณ์ การยอมรับว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด
เมื่อตกลงที่จะเข้าใจเช่นนี้แล้ว ลองตั้งข้อสังเกตบางประการ ดังนี้ ประการแรก ความต้องการจัดกิจกรรมรับน้องใหม่ ของรุ่นพี่ในมหาวิทยาลัย (ซึ่งอายุมากกว่ารุ่นน้องเพียงไม่กี่ปีหรือบางคนอาจอายุน้อยกว่ารุ่นน้องเสียอีก) ผ่านรูปแบบพิธีกรรมที่พยายามแสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์ด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น มุ่งให้เกิดความสามัคคี ฝึกฝนระเบียบวินัย ฝึกให้อดทนต่อสิ่งเร้าต่างๆ ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ฝึกฝนคุณธรรมจริยธรรมของการอยู่ร่วมกันในสังคม แ ละอื่นๆ อีกมากตามแต่สารพัดจะจัดหา แสดงให้เห็นว่า การอุดมศึกษาไทยได้ผลิตบุคคลากรที่ (คิดว่าตนเป็นรุ่นพี่อยู่ในมหาวิทยาลัยมาก่อนยาวนานเพียง 2 ถึง 4 ปี ไม่เกิน 7 ปี) สามารถวางแผนงานการจัดกิจกรรมอันทรงคุณประโยชน์เพื่อพัฒนาศักยภาพด้านต่างๆ ของมนุษย์คนอื่นๆ ได้ จึงสมควรให้กิจกรรมรับน้องใหม่เกิดขึ้นและดำรงอยู่ต่อไป
อาจถือได้ว่าเป็นความสำเร็จของการศึกษาระดับสูงของชาติที่ทำให้นิสิตนักศึกษา (ที่เรียนบ้างไม่เรียนบ้าง) สามารถทึกทักเอาว่า มหาวิทยาลัย คือ ความสำเร็จและความหมายสูงสุดทั้งมวลของชีวิต
ในทางกลับกัน การที่รุ่นพี่พยายามยัดเยียดกิจกรรมรับน้องใหม่ให้แก่รุ่นน้อง ผ่านพิธีกรรมต่างๆ ทั้งในทางรูปธรรมและนามธรรม แสดงให้เห็นว่า นิสิตนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัย เล็งเห็นอย่างแน่วแน่แล้วว่า การศึกษาขั้นพื้นฐานที่รุ่นน้องและตนเองได้ร่ำเรียนมายาวนานถึง 12 ปี (ประถม 6 ถึง มัธยม 6) ไม่ได้ประสบความสำเร็จในการสั่งสอนอบรม เพื่อมอบความมีคุณธรรมจริยธรรม ความอดทน ความมีระเบียบวินัย และ/หรือ แนวทางการดำรงชีวิตอันใดให้ผู้เรียนเลย จึงจำเป็นต้องจัดกิจกรรมเพื่อการบ่มเพาะนิสัยให้แก่รุ่นน้องทั้งหมด ผ่านประเพณีการรับน้องใหม่
คำถามคือ เราควรภูมิใจกับความสำเร็จของระบบอุดมศึกษา หรือ ต้องเสียใจกับความล้มเหลวของการศึกษาขั้นพื้นฐาน 12 ปี ประการที่สอง สยามประเทศไทย สถาปนาสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่เก่าแก่ที่สุด (โดยไม่นับโรงเรียนนายร้อยฯ) มีอายุไม่ถึง 100 ปี (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ.2459) แต่กลับสามารถสถาปนา จารีตประเพณีการรับน้องใหม่ (ที่ Imported มาไม่ถึงกึ่งศตวรรษ) ให้มั่นคงลงรากลึกได้มากเสียยิ่งกว่า ร ูปแบบและระบบการเรียนการสอนที่ดีเสียอีก และหากพิจารณาให้ถ้วนถี่แล้ว การศึกษาระดับอุดมศึกษาของชาติ สถาบันต่างๆ นับตั้งแต่แรกสถาปนาล้วนเป็นการผลิตบุคคลากรเพื่อป้อนระบบราชการ การเมือง การตลาดและอื่นๆ ทั้งสิ้น การรับน้องใหม่จึงเป็นเสมือนสะพานเชื่อมระหว่าง กลุ่มคนใหม่ๆ ไปสู่กลุ่มคนเก่าๆ ให้ได้มีปฏิสัมพันธ์รู้จักมักคุ้นอันดีเพื่อความแนบแน่นทางจิตใจต่อกัน และเชื่อกันว่าสถาบันแห่งไหนยิ่งมีพิธีกรรมมากเท่าใด ก็จะสามารถสร้างสายใยเชื่อมโยงได้มากเท่านั้น
คำถามคือ เป็นไปได้หรือไม่ที่มนุษย์ปกติธรรมดาๆ คนอื่นๆ ซึ่งไม่เคยผ่านพิธีกรรม และไม่มีแม้แต่โอกาสสักน้อยนิดที่จะเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัย (อุดมศึกษา) จะได้รับความคุ้มครอง ความรักความเมตตาจากรุ่นพี่ (ที่ตอนนี้ไปอยู่ในระบบต่างๆ ของการบริหารประเทศ) อย่างเสมอภาคเท่าเทียมเทียบเท่าสายใยความผูกพันธ์ที่ถูกสร้างขึ้นจากสถาบันผ ่าน ประเพณีการรับน้องใหม่
ประการสุดท้าย หากกิจกรรมรับน้องใหม่เป็น วัฒนธรรมที่มีองค์ประกอบครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นการรวบรวมกลุ่มคนมากมายให้มาอยู่ร่วมกันชัดเจน มีการสร้างสัญลักษณ์ประจำกลุ่ม มีพิธีกรรมให้ปฏิบัติสืบทอดกันจากรุ่นสู่รุ่น โดยมีความคิดความเชื่อ อุดมการณ์ และการยอมรับว่าถูกหรือผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง องค์มติ ที่ต้องคำนึงถึงอุดมการณ์และความถูกต้องของความคิดความเชื่อที่มีอยู่ในพิธี กรรมนั้นๆ ด้วย
โดยสรุป เมื่อเราพบว่าการรับน้องใหม่เป็นความสำเร็จของการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย (อุดมศึกษา) ในการสร้างบุคคลากรที่สามารถจะมั่นใจและภาคภูมิในตัวเองได้ว่า เป็นผู้อาจหาญสร้างสรรค์กิจจกรรมเพื่อแก้ไขความล้มเหลวของระบบการศึกษาขั้นพ ื้นฐาน 12 ปี และสามารถสร้างประเพณีพิธีกรรม เพื่อสร้างความรักความสามัคคีให้แก่ผู้คนในสถาบันของตน เราจึงไม่สามารถประณามก่นด่า กีดกันห้ามปราบ หรือ ยกเลิกกิจกรรมรับน้องใหม่ ให้หมดไปจากระบบการอุดมศึกษาได้
แต่หากเรา ถือว่า การรับน้องใหม่เป็น วัฒนธรรม ที่ยุคหนึ่งสมัยหนึ่งได้ตอบสนองความต้องการของมนุษย์ได้สมบูรณ์ในตัวของมันเ องตามองค์ประกอบที่ครบถ้วน แต่หากกล่าวถึงลักษณะธรรมชาติของวัฒนธรรมที่ประกอบด้วย วัฒนธรรมสามารถสร้างขึ้นใหม่ได้, วัฒนธรรมสามารถเคลื่อนย้ายถ่ายทอดได้, วัฒนธรรมสามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้, และวัฒนธรรมสามารถหมดหายไปได้หากไม่ตอบสนองความต้องการของสังคมอีกต่อไป
ค ำถามคือ ตลอดระยะเวลาไม่ถึงศตวรรษของระบบการอุดมศึกษาไทย มีความสำเร็จหรือความล้มเหลวใดบ้างที่เป็นผลผลิตอันเกิดจากการเรียนการสอนใน ระดับมหาวิทยาลัย ที่สามารถแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนเป็นรูปธรรม ได้มากเท่ากับ การรับน้องใหม่ ซึ่งกำลังถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง และอาจจะกลายเป็นบทพิสูจน์สำคัญที่ทำให้เราต้องพิจารณาเพื่อเข้าใจให้ถ่องแท ้ถี่ถ้วนถึงความสัมพันธ์ระหว่าง ระบบการอุดมศึกษากับการสร้างสรรค์ทางวัฒนธรรม โดยน้องใหม่ที่กลายเป็นพี่เก่าจะสามารถประคับประคองสังคมนี้ให้อยู่รอดปลอดภ ัยต่อไปได้ในอนาคต
เอามาจาก http://thaifriendforum.blogspot.com/2005/06/blog-post_25.html นี่ครับ
ปล ไอเรื่องรับพี่ไรนี่ผมไม่มีเจตนาจะให้อ่านนะ แค่อยากจะบอกเป็น reference ว่าไปเอามาจากไหนแค่นั้นครับ :)
จากคุณ :
EAGo
- [
2 ก.ค. 48 12:29:53
]
|
|
|