| ชอบมากห้ามพลาด (1 คน) |
| ชอบแต่ยังไม่ที่สุด (4 คน) |
| เฉยๆ (1 คน) |
| ไม่ค่อยชอบ รอแผ่นก็ได้ไม่ต้องไปโรง (0 คน) |
| ไม่ชอบ (0 คน) |
| จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 6 คน |
เชิญชวนเลือกอ่านเรื่องนี้พร้อมรูปและแสดงความเห็นเพิ่มเติมที่ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=06-2005&date=22&group=1&blog=1
..คุณรับผิดชอบชีวิตคนอื่นไปทั่ว แล้วเคยรับผิดชอบชีวิตตัวเองหรือไม่ เรารับผิดชอบชีวิตตัวเราเองดีแล้วหรือยัง...
....จิตแพทย์ผู้ดูแลตั้งคำถามนี้กับ นายตำรวจJake Roenickที่จมจ่อมอยู่กับชีวิตที่ติดกับดักด้วยเหล้าและยาจากความรู้สึกผิดในอดีตที่ต้องรับผิดชอบในการตายของลูกน้องตัวเอง บทRoenickที่แสดงโดยEthan Hawkeเป็นบทที่อาจเรียกได้ว่าสามารถโยงความต่อเนื่องในความคิดไปถึงหนังดราม่าตำรวจเข้มข้นอย่างTraining Dayได้เลยทีเดียว(น่าสนใจตรงที่ทั้งคู่นั้นชื่อแรกของตัวละครEthan Hawkeใช้ชื่อJakeเหมือนกัน) ทั้งสองเรื่องเขาคือนายตำรวจที่ต้องยืนอยู่ระหว่างตำรวจดี ตำรวจเลว และผู้ร้าย ในเรื่องนั้นเขาคือละอ่อนหน้าใหม่แห่งวงการตำรวจที่เรียนรู้และเลือกที่จะเป็นตำรวจดี และในเรื่องนี้ความเป็นดราม่าเข้มข้นถูกแทนที่ด้วยแอคชั่นสถานการณ์ซึ่งเขาเติบโตมาเป็นนายตำรวจหัวหน้าสถานีตำรวจซึ่งกำลังจะปิดตัว ข้าวของกำลังถูกย้ายไปอีกที่ สายโทรศัพท์ถูกตัดขาด เหลือเพียงเขากับลูกน้องอีก2คนอยู่ฉลองปีใหม่ วันใหม่ เพื่อทำการปิดสถานีอย่างเป็นทางการ แต่วันใหม่ไม่ได้มาอย่างที่ควรจะเป็น เมื่อสถานีของเขาถูกรับมอบหมายให้ฝากขังอาชญากรคนสำคัญและคนร้ายอีก3คนที่รถเสียกลางพายุหิมะ ตามมาด้วยเหตุการณ์ถล่มโรงพักด้วยเหล่าตำรวจเลวเพื่อฆ่าปิดปากอาชญากรกับผู้อยู่ในเหตุการณ์
...คาดว่าการมาฉายพร้อมเจ้าพ่อวังค้างคาวร่วมกับการโปรโมทอย่างเบาบาง และไม่มีดาราระดับแม่เหล็กอาจทำให้สถานีตำรวจแห่งนี้ถูกลืมเลือนไปอย่างรวดเร็วทั้งที่จะว่าไปแล้ว Assault on Precinct 13 จัดได้ว่าเป็นหนังแอคชั่นสถานการณ์ที่สนุกเรื่องหนึ่ง(เพิ่งรู้ว่าเป็นหนังรีเมค ผมเองก็ไม่รู้จักต้นฉบับเลยแม้แต่น้อย) หนังทำได้ดีตั้งแต่ฉากเปิดตัวแม้ว่าจะซ้ำซากแล้วกับเรื่องเปิดตัวที่ส่วนใหญ่จะเป็นอดีตอันขมขื่นของพระเอก( หนังเรื่องนี้ดูแล้วอยู่ในชะตาเดียวกับHostageอยู่ไม่น้อยตรงที่มีการเปิดเรื่องคล้ายกัน,ใช้บริการผู้กำกับจากฝั่งยุโรปเหมือนกันและมีกระแสคนดูในไทยไม่ต่างกันเท่าที่ประเมินจากคนรอบตัวและคนในโรง) เป็นการเปิดตัวหนังและตัวEthan Hawkeได้น่าสนใจ การแสดงของEthan Hawkeในฉากนี้เล่นได้เฉียบขาดไม่น้อยรวมทั้งการถ่ายทำที่ดูสมจริงและชวนติดตาม ตามไปจนถึงการไล่ต้อนตัวละครเอกให้จนตรอกหนังทำได้ดีกับสภาวการณ์ที่ดูสิ้นหวังของเหล่าพระเอกว่าจะเอาตัวรอดไปได้อย่างไร การถูกไล่ไปอยู่ในสถานที่ท่ามกลางอีกฝ่ายด้านนอกแล้วชวนคิดถึงหนังในตระกูลซอมบี้ทั้งหลายไม่ได้ ตำรวจเลวภายนอกก็เสมือนกับผีดิบที่สูญเสียความเป็นตำรวจและความเป็นคนเพราะความโลภ ในขณะที่ตำรวจดีๆก็สามารถกลายเป็นผีดิบหรือพวกเดียวกับตำรวจเลวด้านนอกได้เหมือนกันหากถูกสูบเลือดดีๆและได้รับเชื้อร้าย(ความโลภ ความเห็นแก่ตัว ฯลฯ)เข้าไป
....น่าเสียดายเมื่อมาถึงจุดหนึ่งดูเหมือนบทหนังจะตีบตันไม่สามารถจะสร้างความเข้มข้นมากไปกว่านี้ได้ทั้งที่น่าจะทำได้อีกมากเพราะปมขัดแย้งในตัวมีอยู่เพียงพอที่จะนำมาเล่นแม้แต่จุดที่หนังพยายามสร้างความหักเหหรือสร้างความสงสัยเช่นใส่ตัวละครตัวหนึ่งเข้าไปก็เป็นการใส่แบบตามสูตรสำเร็จเพียงเพื่อให้มีไม่ได้ใส่ใจกับมันมากมาย ผลลัพธ์ช่วงหนึ่งของหนังเลยกลายเป็นการเปลืองถล่มกระสุนมากมายฆ่าเวลากับการเข้าบุกอย่างดูไร้หัวคิดไม่มีแผนไม่พลิกแพลง และทำให้ตัวร้ายอย่างMarcus Duvall(Gabriel Byrne)เป็นตัวละครที่ไม่มีดีมากไปกว่าความสามารถใน การใช้คำพูดกล่อมคนอื่นให้ทำชั่วด้วยเหตุผลที่ฟังแล้วดูดี เท่านั้นเอง (แต่ผมชอบฉากที่เขาบอกลูกน้องฉากนั้นจริงๆ มันสะท้อนภาพคนในสังคมมากมาย ที่ทำสิ่งผิด แต่กลับมีเหตุผลที่ดีให้กับการทำผิดนั้นตลอดเวลา จนไม่เคยที่จะรู้ตัวแม้แต่นิดว่าความเลวร้ายมันกัดกินใจจนยากที่สมองจะคิดหรือตระหนักได้แล้ว)
......ตัวละครอื่นๆที่มาเล่นในเรื่อง มีส่วนช่วยหนังอยู่มากตรงที่ตัวละครเหล่านี้หนังไม่ให้ความสำคัญของใครไปมากกว่ากัน หนังพร้อมจะฆ่าตัวละครในเรื่องได้อย่างไม่ลังเลอันส่งผลให้มันมีความเข้มข้น ชวนลุ้นตามแบบเดาไม่ถูกไปได้ตลอด(อันเป็นผลที่ทำให้ผมจะต้องเศร้ากับฉากหนึ่งในเรื่องที่ผู้กำกับใจร้ายเหลือเกิน) ตัวละครที่เด่นและแผ่รัศมีล้นจอโดยแทบจะไม่ต้องเล่นอะไรมากมายแค่ยืนเฉยๆหรือพูดประโยคเท่ๆออกมาคงไม่พ้น Laurence Fishburne ท้ายที่สุดความตื่นเต้นระทึกขวัญของหนังไม่สามารถลากคนดูไปถึงจุดสูงสุดในช่วงท้ายเรื่อง ฉากในป่าอ่อนพลังลงไปมากเมื่อเทียบกับตอนต้น น่าเสียดายจุดเด่นของเรื่องนี้ตรงความคาดเดาไม่ได้ระหว่างตอนต้นถึงปลายกลับกลายเป็นเรื่องที่ไม่ยากต่อการคาดเดาเมื่อมาถึงฉากช่วงท้ายนี้
....Jake Roenickไม่เคยรู้ตัวว่าชีวิตของเขาถูกตรึงติดอยู่กับที่บนเก้าอี้พร้อมเหล้าและยามาจากความกลัวที่ต้องเผชิญหน้าความรู้สึกเจ็บปวดและความรู้สึกผิดในใจที่คอยหลบมันมาเสมอ เขาเขยิบเข้าใกล้มนุษย์ธรรมดาอย่างเราๆมากกว่าBatmanที่สามารถหาทางออกได้ด้วยการใส่หน้ากากออกไปชดเชยความรู้สึกผิดและเผชิญหน้ากับความกลัวแต่คนธรรมดาๆได้ที่เลือกได้แค่ว่าจะเดินหน้ากล้าเผชิญหรือถอยหลังหรือหยุดอยู่กับที่แล้วใช้ยาเสพติดเป็นตัวเยียวยาความเจ็บปวดในใจ เราทุกคนล้วนเคยทำสิ่งผิดพลาด และหลายครั้งเรารู้สึกผิดกับสิ่งเหล่านั้นแต่เราไม่เคยได้ตระหนักถึงว่าอดีตเหล่านั่นมันบั่นทอนอนาคตและตัวเราไปมากแค่ไหนเหมือนกับJake Roenickเฝ้าแต่นั่งอยู่กับที่คอยรับผิดชอบชดเชยอดีตที่ผ่านไปแล้วของคนที่ตายจากไปจนลืมที่จะสนใจรับผิดชอบชีวิตตัวเอง เหตุการณ์ครั้งนี้ที่จนตรอกต้องสู้ไม่ใช่แค่ความระทึกคุ้มค่าเงินกับคนดูเท่านั้นแต่มันก็คุ้มค่าสำหรับJake Roenickเพราะมันทำให้เขาสามารถโยนยาทิ้งแล้วหันมารับผิดชอบชีวิตด้วยตัวเอง ไม่ใช่ให้ยาและสุรามาบงการชีวิตอีกต่อไป
สิ่งที่ชอบ
1.ความสนุกตื่นเต้นและสถานการณ์จนตรอก ....หนังทำได้สนุกชนิดลุ้นหืดดีทีเดียว เนื้อเรื่องและสภาวะการณ์ไล่ต้อนอาจดูไม่สมเหตุสมผลชนิดยิงกันยิ่งกว่าสงครามกลางเมืองโดยไม่มีใครมาสนใจแต่หากตัดเรื่องของเหตุผลนั้นทิ้งไปต้องยอมรับว่าหนังทำได้ชวนติดตาม ฉากแอคชั่นก็สมจริงรุนแรงสะใจพระเดชพระคุณ (ชนิดยิงกันเห็นสมองปลิว หรือจ่อหัวกันจะจะ จนนึกว่าดูพระเอกตามยิงเหล่าซอมบี้)
2.ฉากเปิดตัวและการกำกับภาพ...ตั้งแต่ฉากเปิดตัวที่หนังถ่ายทำออกมาได้ดูดิบสมจริง(อย่างที่บอกไว้ข้างต้นว่ามันทำให้ผมเชื่อมโยงไปกับTraining dayได้ส่วนหนึ่งก็เป็นเรื่องของภาพที่ออกมาในโทนที่คล้ายๆกัน) รวมถึงผสมผสานหลายรูปแบบของการเลือกมุมกล้องและการเล่นกับภาพทำให้หนังเพิ่มระดับความตื่นเต้นให้กับคนดูได้ ทั้งๆที่เรื่องราวช่วงนั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าการไล่ต้อนคนกลุ่มเล็กๆกลุ่มหนึ่งเท่านั้นเอง
3.Ethan Hawke...หากเข้ามาชมเรื่องนี้โดยพลาดช่วงแรกไปอาจมองว่าเป็นการแสดงธรรมดาๆของเขาเท่านั้น แต่ถ้าได้ทันในฉากเปิดตัวเชื่อได้ว่าคนดูน่าจะประทับใจในผีมือการแสดงของที่เล่นได้ถึงอกถึงใจดีไม่น้อย
4.ความคาดเดาไม่ได้....มีส่วนช่วยให้สนุกกับหนังเรื่องนี้ไปด้วย ยิ่งเนื้อเรื่องกล้าที่จะฆ่าตัวละครไปเรื่อยๆ แม้แต่ตัวละครที่คนดูไม่คาดคิด(ผมด้วย) ทำให้หนังสูตรสำเร็จเรื่องนี้ไม่น่าเบื่อเพราะคนดูรู้ตอนจบแน่ๆต้องมานั่งลุ้นเอาว่าที่ว่ารอดแน่ๆจะแน่หรือ จะรอดอย่างไร และใครจะรอดบ้าง
5.บทพูด....นอกจากบทพูดของตัวร้ายที่เล่าไว้ข้างต้น หนังยังมีบทพูดแสบๆ กัดเจ็บๆ ชวนยิ้มได้ตลอดเรื่อง แถมบทพูดของพระเอกตอนท้ายที่พูดว่า "ตรงนี้มีตำรวจแค่คนเดียว" เท่เหลือกิน(คิดถึงInfernal Affairขึ้นมาเลยตอนดู)
สิ่งที่ไม่ชอบ
1.อ่อนในชั้นเชิง....หนังเด่นในเรื่องความดุเดือดและความสมจริงของฉากแอคชั่นและอ่อนในส่วนของความสมจริงของเนื้อหารวมไปถึงการเล่นชั้นเชิงในส่วนสถานการณ์,ความไม่ไว้วางใจ, ไส้ศึก, กลยุทธฯลฯ หนังใส่ส่วนนี้มาพอเป็นแค่น้ำจิ้มแล้วไปเน้นหนักที่ฉากแอคชั่นแทน น่าเสียดายทรัพยากรดีๆที่มีอยู่ในหนังไม่ว่าจะเป็นเหล่าดาราคุณภาพและพล็อตที่เอื้อต่อการเล่นเรื่องราวเหล่านี้แต่หนังใช้ประโยชน์ไม่คุ้มค่าเท่าไรนัก
2.อ่อนพลังในตอนท้าย...ฉากในป่าช่วงสุดท้าย หากจะเด่นก็เด่นตรงการเล่นจังหวะและการกำกับภาพให้คนดูรู้สึกกดดัน แต่ในส่วนของพล็อตแล้วมันคลี่คลายชนิดสูตรสำเร็จเหลือเกิน ความเข้มข้นของหนังลดทอนมาในช่วงปลายๆก่อนหน้านี้เล็กน้อยแล้วและความลุ้นหืดที่มีมาตลอดแทนที่จะช่วยส่งคนดูให้ลุ้นหมดลมหายใจหนังกลับใส่ออกซิเจนมาให้คนดูแทนชนิดกลัวคนดูจะหมดลม
สรุป...จากที่ไม่ตั้งใจจะดูในตอนแรกเพราะคิดว่าจะรอแผ่นแล้วเกิดเปลี่ยนใจเข้าโรงSF MBKรอบ16.50น.ของเมื่อวานนี้ ก็พบว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกเป็นความรู้สึกเหมือนกับตอนที่ได้ดูHostageเมื่อไม่นานมานี้ตรงที่เป็นหนังแอคชั่นดูสนุกคุ้มค่าเงิน ไม่ได้เป็นแค่หนังแอคชั่นสูตรสำเร็จไร้สมอง มีดีกว่าที่คิดและคาดไว้ เหมาะสำหรับแฟนๆหนังแอคชั่นทีเดียวหากรู้สึกเบื่อเจ้าพ่อวังค้างค้าวแล้วไม่รู้จะดูอะไร
เชิญชวนมาแวะอ่านเรื่องเก่าๆเรื่องอื่นๆ +ร่วมพูดคุยแสดงความเห็นที่
http://aorta.bloggang.com
Batman Begins , ปฐมบทแรกบินกับการตีความครั้งใหม่
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=06-2005&date=18&group=1&blog=1
Before Sunset , ความงดงามยามอาทิตย์ลาลับ
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=02-2005&date=08&group=2&blog=1
White Noise , เสียงสยอง
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=06-2005&date=16&group=7&blog=1
จากคุณ :
"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
- [
22 มิ.ย. 48 11:43:42
]