CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    ดูแล้วมาคุยกัน.... War of the Worlds , เมื่อสปีลเบิร์กเลิกรักมนุษย์ต่างดาว

      ชอบมาก ห้ามพลาด (32 คน)
      ชอบ แต่ยังไม่ที่สุด (47 คน)
      เฉยๆ (16 คน)
      ไม่ค่อยชอบ รอแผ่นก็ได้ไม่ต้องไปโรง (8 คน)
      ไม่ชอบ เสียดายเงิน (14 คน)

    จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 117 คน

     27.35%
     40.17%
     13.68%
     6.84%
     11.97%


    ....เชิญชวนเลือกอ่านเรื่องนี้พร้อมรูป ร่วมโหวต(blogผมโหวตได้แล้วครับอุอุ ของเล่นใหม่) และแสดงความเห็นเพิ่มเติมที่ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=07-2005&date=01&group=1&blog=1


    ผม .....ยังไม่เคยเห็นมนุษย์ต่างดาว ดังนั้นการดูหนังที่เป็นเรื่องของมนุษย์ต่างดาวเป็นเหมือนการที่ผู้กำกับนำสิ่งที่อยู่ในจินตนาการของคนดูออกมาให้เกิดบนโลกของความเป็นจริง ย่อมสร้างความตื่นเต้นอยู่เสมอกับการรอดูว่าหนังเรื่องนั้น มนุษย์ต่างดาวจะมีหน้าตาอย่างไร มียูเอฟโอหรือไม่ มันมาแบบเป็นมิตรหรือเป็นศัตรู ฯลฯ ต่อให้หนังโม้ในส่วนนี้ยังไงผมก็เชื่อเพราะผมไม่เคยคบกับมนุษย์ต่างดาวมาก่อน ต่างจากหนังที่พูดถึงภูเขาไฟระเบิด น้ำท่วมโลกฯลฯที่เราเองอาจเคยเห็นมาบ้างไม่จากชีวิตจริงก็จากข่าว มันทำให้ยังมีพื้นฐานความคิดว่ารูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรคนสร้างจะมาหลอกกินเงินคนดูก็คงยากนอกจากจะทำการบ้านมาให้ดี น่าแปลกที่ทุกครั้งผมดูหนังมะนาวต่างดุ๊ดมนุษย์ต่างดาว เช่น E.T. /ID4 /Mars attack มันก็รู้สึกแค่ว่าพวกนั้นกระโดดโลดแล่นแค่ในโลกจินตนาการ ไม่สนุกก็ลุ้นหรือไม่ก็ซึ้ง แต่ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะรู้สึกเหมือนกับว่าพวกมันมาอยู่ในโลกใบเดียวกันจริงๆ

    สปีลเบิร์ก ....ทำในสิ่งที่คนไม่เคยเห็นให้คนเชื่อมาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ไดโนเสาร์, มนุษย์ต่างดาว หรือ โลกอนาคต สิ่งเหล่านี้แทบจะเรียกได้ว่าเป็นของตายในมือ(ยกเว้นHookที่ตายจริงๆ)เป็นความสำเร็จที่ถล่มทลายอยู่เสมอของเขา ตรงข้ามกับหนังที่เขาเลือกสร้างจากสิ่งที่คนรู้จักกันดีอยู่แล้วเช่นเรื่องของจิตใจคน เรื่องของสังคม ผลออกมาก็จะล่มบ้างรุ่งบ้างสลับกันไป สำหรับผมแล้วสปิลเบิร์กเสกจินตนาการได้ในระดับสุดยอดแต่สร้างเรื่องราวที่มันสัมผัสจิตใจที่เป็นด้านมืดและโลกที่โหดร้าย โลกของจริงได้ไม่ถึงความเป็นสุดยอดเหมือนส่วนจินตนาการ เขาสร้างโลกของเด็กออกมาได้ดีเสมอเป็นพ่อมดที่เข้าใจโลกของเด็กได้อย่างแตกฉานชนิดที่ว่าอยากจะเสกมนต์เป่าโลกวัยเด็กในใจคนดูให้ออกมาเริงร่าได้ไม่ยากแต่เมื่อเขาอยากสำรวจโลกของผู้ใหญ่ โลกเขากลับเหมือนนักเดินทางที่ยังไม่เข้าใจมันมากพอ เช่นกันหากเป็นหนังที่มองโลกในด้านบวกเขาจะทำออกมาได้ดีตรงข้ามเป็นหนังที่มองโลกในด้านลบเขาจะทำแบบกล้าๆกลัวๆผลในท้ายที่สุดแล้วหนังที่เล่นกับด้านมืดของเขาก็มักจะมีแสงสว่างอยู่ที่ปลายทางเสมอ แม้แต่หนังที่หลายคนยกย่องว่าเป็นMasterpieceที่เขาสร้างขึ้นแบบจริงจังอย่าง Schindler's List ผมเองก็ยอมรับว่าเป็นหนังที่ดีแต่มันยังทำได้ไม่ถึงอรรถรสทางใจได้เท่าหนังอย่าง Jurassic Park/E.T. ไม่สะท้อนความรู้สึกสมจริงได้เท่ากับงานที่คล้ายๆกันอย่างHotel Rwanda อีกจุดหนึ่งที่งานยุคหลังๆของสปีลเบิร์กมันมีปัญหาอยู่เสมอคือเขาจบหนังได้ไม่ลง ไม่แน่ใจว่าเพราะความเป็นคนที่ค่อนข้างมองโลกในแง่ดีด้วยหรือไม่ที่ทำให้เขาไม่สามารถจะจบAI.หรือThe terminalได้กระชับกว่าที่เป็นอยู่ หลายเรื่องของเขาที่หนังพยายามจะยืดจบเพื่อให้แสงสว่างให้ความหวังแก่ตัวละคร กลัวว่าจะทำร้ายตัวละครมากเกินไปและมันทำให้หนังไม่มีพลังเท่าที่ควร

    War of the Worlds คือหนังของ สปีลเบิร์ก ที่ ผม อยากดูมากที่สุด.....งานยุคหลังของเขาส่วนใหญ่ก็อยู่ในเกณฑ์ดีทุกเรื่อง หนังที่ผมชอบมากที่สุดและรู้สึกว่ามันลงตัวมากที่สุดและเป็นการสัมผัสโลกของผู้ใหญ่ได้จริงที่สุดของเขาคือ Minority Report นี่เป็นหนังที่เล่นกับจิตใจด้านมืดซึ่งเป็นส่วนที่สปีลเบิร์กไม่ถนัดเท่าไหร่+จินตนาการ(โลกอนาคต/การเสกสิ่งที่คนไม่เคยเห็นให้เป็นภาพ)ซึ่งเป็นส่วนถนัดมากที่สุดของเขา เขาพิสูจน์ว่าเมื่อมีของตายในมืออยู่เขาก็สามารถเสกสิ่งที่ไม่ถนัดให้ออกมาดีได้ ดังนั้นเมื่อWar of the Worlds ถูกสร้างขึ้นตามตัวต้นฉบับ(เท่าที่จำได้นี่น่าจะเป็นเรื่องแรกที่เขาสร้างงานจากต้นฉบับที่เคยสร้างไว้แล้ว)ที่เป็นงานที่เขาบอกว่าจะมีความสมจริงในโลกของจินตนาการ พร้อมกับหนังตัวอย่างที่แสดงออกมาดังราคาคุยไว้ นั่นทำให้ผมเสียเงินไป100บาทที่SF MBKเมื่อวันพุธที่ผ่านมาตอน19.30น.เพราะอยากดูว่าจากMinority Report มาจนถึงครั้งนี้เขาจะพัฒนางานตัวเองให้คนดูตื่นตะลึงได้อีกแค่ไหนยิ่งครั้งนี้จะต่างออกไปอีกด้วยเมื่อสปีลเบิร์กเลิกที่จะให้มนุษย์ต่างดาวมาในฐานะมิตรของมวลมนุษย์ อาทิเช่น E.T./A.I. หรือเขาจะเลิกรักมนุษย์ต่างดาวเสียแล้ว

    ....ในส่วนของสิ่งที่คนดูไม่เคยเห็นสปีลเบิร์กทำดีตามที่ตัวเองถนัด หนังให้ภาพการรุกรานของศัตรูนอกโลกได้น่าเชื่อถือมากที่สุดเรื่องหนึ่งจากตระกูลมนุษย์ต่างดาว จนใกล้เคียงประหนึ่งเป็นสารคดีเรื่องจริงจากต่างดาว เรียกได้ว่าหากผมจะต้องเจอมนุษย์ต่างดาวมาบุกโลกจริงๆหนังเรื่องนี้ทำให้ผมรู้สึกว่ามันน่าจะเป็นแบบนี้แน่นอน หนังฉายภาพความหวาดหวั่น หวาดกลัวของหมู่มวลมนุษย์ได้ดี จนผมเองดูไปก็รู้สึกเหนื่อยไปด้วยตลอด การดัดแปลงที่มาของเหล่ามนุษย์ต่างดาวทำได้อย่างฉลาดและเสียดสีความหมกมุ่นจนไม่สนใจโลกรอบตัวของมนุษย์ยุคปัจจุบันได้ดี ตั้งแต่นาทีแรกจนถึงฉากพระเอกวิ่งกลับมาปัดฝุ่นมนุษย์บนใบหน้าที่บ้านเป็นช่วงเวลาที่ผมทึ่งและน่าจดจำ

    ...แต่ในทางตรงข้ามความไม่น่าเชื่อถือของหนังกลับมาปรากฎในส่วนที่เราทุกคนรู้เห็นกันดีคือส่วนเรื่องราวของมนุษย์ ไอ้การที่ให้พระเอกวิ่งหนีลำแสงที่สาดกระหน่ำทำลายคนรอบตัวแล้วรอดอยู่คนเดียว ยังพอรับได้อยู่แต่หลังจากนั้นรูโหว่ของบทหนังที่เป็นความบังเอิญ ความจงใจ ไม่น่าเชื่อก็ตามมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการที่ให้รถของพระเอกเป็นคันเดียวที่แล่นได้, ลูกชายที่เกิดนึกอยากเห็นมนุษย์ต่างดาวซะเหลือเกินบนเนินรบเพียงเพื่อหวังผลจากฉากถัดมา, ที่บอสตันพบกับญาติแต่งกายสวยงามรอรับกลับบ้านท่ามกลางการราบพนาสูรและโทรมแสนสาหัสของคนรอบตัวที่ไม่ใช่ครอบครัวนี้ ฯลฯ ทำให้เรื่องราวทั้งหลายในหนังดูน่าเชื่อถือสมจริงยกเว้นแต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นรอบตัวของพระเอกที่ดูเป็นการจงใจจัดให้โดยผู้กำกับและทำให้ไม่สามารถรู้สึกคล้อยตามได้อย่างสนิทใจ

    ….ในตระกูลหนังมนุษย์ต่างดาวบุกโลกนั้นจะคล้ายคลึงกับหนังมหันตภัยถล่มโลกตรงที่มุมมองของผู้กำกับเลือกมองได้ทั้งภาพกว้างคือมองภาพรวมของผลกระทบทั้งหมดที่เกิดกับโลกตัวอย่างนี้คือ ID4 เราจะได้ดูความล่มสลายทางอารยธรรมผ่านสถานที่สำคัญถูกทำลายหรือความตื่นตระหนกเอาตัวรอดของมวลมนุษยชาติ และอีกมุมมองหนึ่งคือมุมมองภาพลึกที่อาจจะเน้นถ่ายทอดผ่านเรื่องของความเชื่อ ความศรัทธา หรือเรื่องของความสัมพันธ์ เช่น Signs สำหรับ War of the Worlds หนังเลือกมองทั้งสองด้าน ในด้านกว้างนั้นน่าเสียดายที่หนังออกจะชาตินิยมไปนิดที่มีแต่เรื่องราวและภาพของอเมริกันนั่นเป็นส่วนหนึ่งที่อาจไม่สามารถครองความรู้สึกร่วมของคนดูชาติอื่นๆได้มากนัก ในขณะที่ในด้านลึกหนังเน้นไปที่เรื่องราวของตัวละครRay Ferrierและลูกๆ

    สำหรับผมมองแง่มุมดราม่าของหนังเรื่องนี้ที่พยายามจะนำเสนอเป็น2ส่วน

    1.โลกของRay Ferrier.... เรื่องราวของชายคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตเหมือนอยู่เพื่อตัวเองล้อมรอบด้วยผู้คนที่ไม่ศรัทธาในตัวเขาทั้งเพื่อนร่วมงาน ภรรยาเก่า ไปจนถึง ลูกไม่ภูมิใจในตัวพ่อ การมาหาพ่อสุดสัปดาห์ประหนึ่งหน้าที่ที่ต้องทำ และตัวพ่อเองนั้นก็แสดงความเป็นพ่อที่รักลูกแต่ไม่เข้าใจลูกไม่เคยใส่ใจกระทั่งว่าลูกแพ้อาหารอะไร ลูกต้องไปอยู่กับพ่อเลี้ยงและแม่จนลูกยังไม่อยากจะเรียกพ่อว่าพ่อ เรื่องราวในส่วนนี้ที่เกิดคู่ขนานไปกับสงครามล้างโลกเป็นอีกพล็อตที่เข้าท่าสมกับชื่อเรื่องที่Worldมีsต่อท้าย เป็นการเล่าเรื่องสงครามชีวิตในโลกของชายคนหนึ่งที่มีปัญหาในครอบครัวและสนใจแต่ตัวเองไปพร้อมๆกับสงครามล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่อยู่บนโลกใบเดียวกัน
    .....น่าเสียดายที่หนังสร้างความเป็นพ่อที่พยายามทุกวิถีทางในการปกป้องลูกให้พ้นจากอันตรายได้ดีแค่เห็นว่าเขาทำทุกอย่างเพื่อปกป้องลูก หนังทำได้เพียงเท่านั้นด้วยการใส่ฉากกล่อมลูก ฉากห้ามปราม ฉากปกป้องลูก ซึ่งได้ผลบ้างในบางฉากแต่ส่วนใหญ่มันทำได้แค่ผมรับรู้แต่ไม่สามารถอินไปกับมันได้ และเรื่องราวความสัมพันธ์พ่อ-ลูกกับตัวตนของพระเอกนั้นเมื่อเจอมนุษย์ต่างดาวมันก็แช่แข็งไปจนจบเราไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรในตัวพระเอกเลยเมื่อเทียบย้อนกลับไปในสิ่งที่หนังปูไว้ พัฒนาการในส่วนนี้เองเป็นส่วนที่หนังพยายามจะเน้นแต่หนังไม่สามารถพาคนดูให้ไปถึงอารมณ์ความรู้สึกที่พยายามจะสื่อสารออกมาได้ นอกจากนี้ความเป็นดราม่าที่จงใจจัดให้แล้วมันก็ยังไม่เนียนกับหายนะที่กำลังเกิดเท่าไหร่ ช่วงที่หนังพยายามจะเป็นดราม่าเหมือนกับโลกทั้งใบจะหยุดเพื่อช่วงเวลานี้ก่อน จนเมื่อซีนที่เป็นดราม่าช่วงนี้สิ้นสุดลง มนุษย์ต่างดาวจึงจะเริ่มบุกรุกรานครอบครัวนี้กันต่อความเป็นดราม่าในโลกของRay Ferrierจึงไม่ชัดเจนและไม่น่าเชื่อถืออย่างที่ผู้สร้างพยายามอยากจะให้เป็น

    2.โลกของมวลมนุษยชาติ...ในอีกด้านที่เล่าเรื่องสะท้อนผลกระทบจากการทำลายล้าง ไม่ว่าภาวะเครียด กดดัน(หลายตอนที่เราได้เห็นว่า ความเลวร้ายของมนุษย์ที่รู้จักกันดีกระทำต่อกันก็แทบไม่ต่างจากสิ่งที่มนุษย์ต่างดาวที่เทียบได้กับคนแปลกหน้าทำกับมนุษย์) ความตื่นตระหนก การปกป้องคนที่รัก ฯลฯ หนังทำได้ดีกว่าข้อแรกมาก ฉากที่ท่าเรือแม้ดูไม่ได้มีเทคนิคที่ตระการตาแต่มันก็ให้ความรู้สึกร่วมที่เครียดกดดันให้กับคนดูได้เป็นอย่างดี ผมชอบที่หนังบอกว่าแต่ละวันมนุษย์เราหมกมุ่นอยู่กับตัวเอง มากเสียจนละเลยสิ่งรอบตัวจนไม่รู้ว่าภัยนั้นอยู่รอบตัวเราใกล้กว่าที่คิด(และหนังก็วางคาแรคเตอร์ตัวพระเอกให้เป็นตัวแทนของมนุษย์ในยุคปัจจุบันที่สนใจแต่ตัวเองได้ชัดเจนที่สุด) ในอดีตการมาของมนุษย์ต่างดาวบนจอนั้นเป็นสัญลักษณ์ของหลายอย่างตามแต่จะตีความ มาถึงปัจจุบันการตีความสัญลักษณ์นี้ไม่ได้การพูดถึงเท่าไหร่นักและมันก็คงจะเชยไปแล้วหากจะไปตีความเหมือนกับในอดีต แต่เมื่อหนังเปลี่ยนที่มาของมันและมีการเกริ่นบรรยายตอนต้นนั้นทำให้ การมาของมนุษย์ต่างดาวครั้งนี้ก็เป็นเสมือนการลงโทษมนุษย์ไม่ต่างจากการมาของน้ำท่วม ไฟไหม้ป่า ภัยแล้ง ฯลฯที่มันเป็นไปตามวัฏจักรและเราเองก็มีส่วนร่วมในการถูกคุกคามหากเรายังนิ่งเฉยอยู่กับตัวเอง

    .....งานด้านเทคนิคยอดเยี่ยมชนิดไร้ที่ติตอบสนองเรื่องราวได้อย่างน่าทึ่ง ภาพที่ปรากฎมาทำให้ผมเชื่อได้จริงๆว่านี่ละจะเป็นผลลัพธ์หากพวกมนุษย์ต่างดาวบุกโลกเรา ฉากจากหนังตัวอย่างที่ชุมชนพระเอกถล่มทลายรถลอยฟ้าพลิกรางไล่หลังชาวบ้าน , ฉากการฆ่าทำลายล้างด้วยแสง,Tripodsทั้งหลายแหล่ ฯลฯเป็นงานเทคนิคที่ผมมองว่าดีที่สุดในหนังมนุษย์ต่างดาวเท่าที่สร้างมาจะยกเว้นก็แต่ตัวมนุษย์ต่างดาวหัวยาวที่ผมไม่ประทับใจไม่ใช่อย่างที่คาดไว้(นึกว่าสปิลเบิร์กจะเสกอะไรออกมาที่แปลกใหม่กว่านี้) จังหวะเล่นสนุกกับความรู้สึกคนดูที่เป็นความตื่นเต้น ก็ยังเป็นงานถนัดของสปิลเบิร์กที่ทำออกมาได้ในระดับมาตรฐานเช่นเดียวกับไดโนเสาร์บุกโลก(ฉากหัวงูของTripodsสอดส่ายในบ้าน สร้างความลุ้นหายใจไม่สะดวกอยู่เหมือนกัน) ในส่วนของนักแสดงแม้จะกรี๊ดจนเกินไปนิดแต่Dakota Fanningก็ยังเป็นความเยี่ยมของวัยเยาว์ที่ไม่ลดรัศมีตัวเองลงได้เลย ผมชอบการแสดงของTom Cruiseในเรื่องนี้ที่ไม่พยายามฉายความเป็นทอมครูซให้มากเกิน ผมเองรู้สึกว่าเขาในหนังเรื่องนี้ยังแสดงดีกว่าที่ไปอยูในหนังดราม่าเน้นรางวัลหลายเรื่องที่เขาเคยเล่นด้วยซ้ำ


    (มีต่อ)

    แก้ไขเมื่อ 01 ก.ค. 48 12:22:00

    จากคุณ : "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" - [ 1 ก.ค. 48 11:54:24 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป