ลืมคำว่า Reality Film ที่ใช้ในการ PR ไปก่อน
เสือร้องไห้ เป็นสารคดีเกี่ยวกับชีวิตของ คนอีสาน กลุ่มหนึ่ง ต่างที่มาต่างจุดหมาย บนเส้นทางการต่อสู้ในเมืองใหญ่ บางคนเพิ่งเริ่มต้น บางคนผ่านพ้นจุดสูงสุดไปนานแล้ว ในขณะที่บางคนกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนที่อาจจะเป็นจุดสำคัญในชีวิตเลยก็ว่าได้
ถึงจะต่างที่มาที่ไปกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนมีเหมือนกันคือ...?
สันติ แต้พานิช ใช้เวลากว่า 1 ปี ตามบันทึกชีวิตของคนกลุ่มนี้ ทีละนิดละหน่อย เนื่องจากทุกคนไม่มีใครเป็นดารา (ในเรื่องมีตัวประกอบคนเดียว ซึ่งก็ไม่ได้มีความโด่งดังอะไรเลยอย่าง จา พนม!) จึงไม่มีการซักซ้อมบท ไม่มีตารางการถ่ายทำ บางครั้งแค่ shot สั้นๆอาจต้องทำให้ถ่อไปถ่ายทำแม้จะค่ำมืดดึกดื่นเท่าไรหรือไกลขนาดไหน หากชีวิตผู้แสดงในเรื่องมีการเปลี่ยนแปลงหรือเกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้น นั่นคือคิวถ่ายที่เกิดขึ้นสดๆ
สิ่งที่เด่นที่สุดใน เสือร้องไห้ คือการนำเสนอชีวิตของ นักสู้ แต่ละคนในแง่มุมเฉพาะตัวต่างกันไป เราจะได้เห็น ที่มา ความมุ่งหวัง อุปสรรค์ และข้อจำกัด ของคนแต่ละคน แม้จะแตกต่างกันในรายละเอียด แต่ทุกคนก็ไม่มีใครคิดจะยอมแพ้ พรศักดิ์ ส่องแสง กับโชว์ชีวิตที่ต้องดำเนินต่อไป แมนหัวปลา ที่เริ่มต้นจากเด็กโบกรถกับจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญกับเส้นทางที่ตัวเองเลือก เหลือเฟือ ม๊กจ๊ก ประสบการณ์ต่อสู้ที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่ผู้ดำเนินรอยตามต้องเรียนรู้และผ่านบททดสอบที่สำคัญไปให้ได้ เนตรอินทรีเหล็ก กับความฝันที่จะเป็น super star บางครั้งอาจจะต้องแลกมาด้วยเลือดและน้ำตา และสุดท้าย พี่อ้อย คนขับ taxi กับความจริงที่ว่า ถ้าไม่ลองได้ทำเราก็ไม่มีวันรู้
ไม่ว่าจะด้วยความโชคดี การคาดการณ์ที่ดี หรือการผลักดันที่เหมาะสมก็ตาม ระยะเวลาการถ่ายทำยาวนานเพียงพอที่จะทำให้เรื่องราวชีวิตของหลายคนเปลี่ยนแปลงและได้บทสรุปอย่างสวยงาม และนั่นทำให้สารคดีเรื่องนี้มีจุดจบในตัว พอที่จะให้ผู้ติดตามชมได้เห็นแสงแห่งความหวังของวันคืนที่ดีกว่าในอนาคต ส่วนพวกเขาจะสามารถนำพาตัวเองไปสู่จุดนั้นได้หรือไม่ ภาพยนตร์อาจจะจบลง แต่กับชีวิตจริงนั่นเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินต่อไป
หากเราวัดมาตรฐานของภาพยนตร์ที่เนื้อเรื่องอันเข้มข้น บทที่สมจริง การนำเสนอห้วงอารมณ์ที่ดึงผู้ชมให้รู้สึก สุข เศร้า ไปตามภาพที่เห็นได้ สารคดี เสือร้องไห้ ก็ไม่ต่างอะไรไปจาก ภาพยนตร์ดราม่าอันเข้มข้นชั้นดีเลยแม้แต่น้อย ภาพยามเย็นที่พระอาทิตย์ทอแสงประกอบกับบทเพลงอีสานคุ้นหูหลายเพลง เพลงที่คนเมืองเราอาจเคยนึกขำในความซื่อไร้ชั้นเชิงในการนำเสนอ เมื่อได้ฟังหรือชมตามรายการทีวีช่วงดึกมาก่อน ยามนี้บทเพลงเหล่านั้นกลับทรงพลังยิ่งในการเผยความรู้สึกเจ็บปวดแร้งแค้นหากแต่เต็มไปด้วยพลังในการสู้ชีวิตอันไม่มีสิ้นสุด
จะมีข้อติติงก็คงจะเป็นจุดเล็กน้อยสำหรับบางตัวละครเป็นจุดขายของภาพยนตร์ แต่กลับได้รับการนำเสนอแง่มุมของชีวิตน้อยไปหน่อย แต่ด้วยความเข้าใจว่าเป็น สารคดี จะไปกะเกณฑ์อะไรเกินธรรมชาติของแต่ละบุคคลก็คงไม่ได้ เท่าที่เจ้าตัวได้ยอมเปิดเผยบางแง่มุมที่ จริง อย่างไม่เคยเห็นมาก่อน นั่นก็เพียงพอที่จะได้รับความชื่นชมจากคนดูแล้ว งานด้านภาพออกมา พอดี จดอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเนี้ยบกว่านี้ หรือดิบไปกว่านี้ คงไม่ดีเท่านี้แน่ๆ
อย่างที่บอกไปข้างต้น แม้จะเป็นเรื่องราวของผู้คนต่างที่มาที่ไปกัน แต่ทุกคนก็มีสิ่งหนึ่งเหมือนกัน
สิ่งนั้นคืออะไร ไปดูกันเองในโรงครับ...
*** อ้อ ... หลังจากดูแล้วหากมีคำถามข้อสงสัยอะไรอยากถามคุณ สันติ ผู้กำกับ
เชิญชมรอบพิเศษจัดโดยสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย วันอังคารที่ 26 นี้
ติดตามรายละเอียดการลงทะเบียนได้ที่เวปสมาคมฯ ครับผม
http://www.thaifilmdirector.com
แก้ไขเมื่อ 23 ก.ค. 48 19:13:53
แก้ไขเมื่อ 23 ก.ค. 48 16:00:47