| ชอบมาก ห้ามพลาด (3 คน) |
| ชอบ แต่ยังไม่ที่สุด (10 คน) |
| เฉยๆ (5 คน) |
| ไม่ค่อยชอบ รอแผ่นก็ได้ไม่ต้องไปโรง (3 คน) |
| ไม่ชอบ เสียดายเงิน (5 คน) |
| จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 26 คน |
เลือกอ่านเรื่องนี้พร้อมรูปและรบกวนแสดงความเห็นเพิ่มเติมที่ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=08-2005&date=06&group=1&blog=1
....George A. Romero น่าจะจัดได้ว่าเป็นป๋าๆของเหล่าซอมบี้(ปีนี้ป๋าก็อายุ66แล้ว) เพราะเขาคือผู้ปลุกซากศพเหล่านี้ให้มามีชีวิตประสบความสำเร็จบนจอภาพยนตร์ทั้งสามภาค( Night of the Living Dead, Dawn of the Deadและ Day of the Dead )ส่งผลให้ซอมบี้รุ่นน้องๆตามมาเกิดกันเป็นทิวแถว สิ่งที่ป๋าทำไว้ให้เป็นตำนานซอมบี้ไม่เพียงแค่ความสยองขวัญแต่มันเป็นการที่พยายามจะจับเรื่องราวในสังคมมาถ่ายทอดผ่านเรื่องราวของเหล่าซอมบี้ เป็นหนังผีดิบที่แฝงกลิ่นอายการวิพากษ์สภาพสังคมหรือต้องการสะท้อนทัศนคติตามตัวผู้กำกับ การห่างหายจากลูกๆซอมบี้ไปถึง20ปีย่อมทำให้หลายคนสนใจติดตามว่าความสามารถในการปั้นซอมบี้ให้เป็นดาวนั้นจะลดน้อยถอยลงไปตามกาลเวลาหรือไม่
ในการกลับมาครั้งนี้เป็นเรื่องราวในอนาคตที่สังคมถูกแบ่งเป็นสองส่วนคือชนชั้นสูงที่อาศัยด้วยความหรูหราฟู่ฟ่าบนตึกสูงในเขตเมือง ชนชั้นล่างที่อาศัยในเขตรอบนอกที่คอยทำหน้าที่ล่าซอมบี้และเข้าไปหาวัสดุอุปกรณ์หรืออาหารและยามาใช้และขายต่อพร้อมกับหาโอกาสขยับฐานะเข้าไปอยู่ในสังคมชั้นบน เรื่องราวในLand of the Deadดูเหมือน George A. Romero จะไม่ได้ต้องการแบ่งมนุษย์เป็นแค่สองชนชั้นเพราะหากดูเรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้ว ซอมบี้ก็กำลังจะถูกจัดสถานะเป็นชนชั้นหนึ่งในสังคมตามทัศนคติของผู้เล่าเรื่อง หรือ ป๋าจะรักลูกๆจนเกินกว่าจะให้มันเป็นแค่ซากศพไร้วิญญาณที่ถูกฆ่าไปก็ไร้ความรู้สึกเสียแล้ว เพราะ
...ตามขนบเดิมในหนังตระกูลซอมบี้ มันจะถูกแทนภาพของผู้ร้ายเต็มตัว มันไม่ใช่คนไม่ใช่สัตว์ การที่มันขาดซึ่งวิญญาณความรู้สึกดังนั้นการฆ่าซอมบี้บนจอเป็นความชอบธรรมที่มนุษย์พึงกระทำได้เพื่อป้องกันตัวจากการถูกคุกคามและเพื่อความอยู่รอด ในภาคนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่อย่างนั้นเสียแล้วเพราะซอมบี้ในLand of the Dead เริ่มมีวิวัฒนาการไปสู่การคิดได้,การรักพวกพ้อง,การมีความรู้สึกฯลฯ จนมันแทบไม่ต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆที่อาศัยร่วมกับเราบนโลกใบนี้ ซอมบี้ไม่ได้เป็นแค่ผู้รุกรานแต่มันกลับสวมบทบาทเป็นทั้งผู้ถูกรุกรานและเป็นเหยื่อของความบันเทิงของมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นการถูกจับมาเป็นเครื่องเล่นหรือล่ามโซ่ไว้เป็นแบบสำหรับถ่ายรูปฯลฯ ซอมบี้ในLand of the Dead เริ่มมีวิวัฒนาการไปสู่การคิดได้,การรักพวกพ้อง,การมีความรู้สึกฯลฯ
การที่ซอมบี้เริ่มมีความรู้สึกมีสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิต ทำให้มันก็แทบจะไม่ต่างจากสัตว์ป่าในธรรมชาติที่กินเนื้อเป็นอาหารและมันเองก็ต้องการที่จะมีชีวิตอยู่เฉกเช่นเดียวกัน การกินเนื้อ(คน)ของมันจริงๆแล้วเพื่อการยังชีพแต่การฆ่าสัตว์(ซอมบี้)ของคนในสังคม(ในหนัง)หลายครั้งที่มันเป็นเพื่อการหารายได้และความบันเทิง การมีสิทธิถูกหยิบขึ้นมาพูดถึงผ่านปากตัวละคร Kaufman ชายแก่เจ้าของอาณาจักรของชนชั้นสูงในเมืองตะโกนใส่เหล่าซอมบี้ที่บุกรุกเข้าอาณาเขตว่า ไม่มีสิทธิ เชื่อว่าคำถามที่เกิดขึ้นหากซอมบี้มันสามารถพูดได้คงตอบกลับมาว่า มนุษย์มีสิทธิอันใดที่ออกไปตามล่าพวกมันหรือจับมันมาตอบสนองความบันเทิง มนุษย์มีสิทธิอันใดที่เบียดเบียนเอาเปรียบชนชั้นที่ด้อยโอกาสกว่าเพื่อมีสิทธิใช้ชีวิตที่ดีกว่า ซอมบี้ในภาคนี้เหมือนกับทำหน้าตัวกลางที่มาให้เห็นภาพความแตกต่างของมนุษย์ด้วยกันเอง การต่อสู้ในหนังมันไม่ใช่แค่การต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดของมนุษย์อย่างเดียวแต่มันเป็นการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดของซอมบี้ด้วยเช่นกัน ความขัดแย้งในเรื่องไม่ได้เป็นแค่การต่อสู้ของมนุษย์กับซอมบี้แต่ยังเป็นการต่อสู้ของมนุษย์ด้วยกันเองที่ถามหาสิทธิในการใช้ชีวิต และการต่อสู้กับตัวเองเพื่อให้ตัวเองก้าวเดินไปมีชีวิตที่ดีกว่าเป็นชีวิตที่ไร้รั้วมาขวางกั้นอีกต่อไป เหมือนกับในตอนท้ายที่ตัวละครในเรื่องเฝ้ามองเหล่าซอมบี้พูดขึ้นมาว่าพวกมันก็พยายามหาเส้นทางใช้ชีวิตของมันเองเช่นเดียวกัน
.....หนังไม่ได้ใช้เทคนิคที่หวือหวาฉูดฉาดเหมือนกับซอมบี้รุ่นน้องๆอย่างในResident evil,28 days later หรือ Dawn of the dead(Remake) ซอมบี้ของGeorge A. Romeroยังออกมาในรูปแบบรุ่นเก่าๆที่ไม่ได้ติดตั้งระบบวิ่งเร็วปานประหนึ่งนักวิ่งแข่งหรือถูกถ่ายทำแบบฉวัดเฉวียน ซอมบี้ยังคงเดินแบบกระย่องกระแย่งผ่านการถ่ายทำแบบค่อยเป็นค่อยไปถ่ายให้เห็นกันชัดๆจะๆตา รูปแบบการเล่าเรื่องตรงไปตรงมาไม่ซับซ้อนผ่านเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโลกอนาคต ในเรื่องนี้วิธีการเล่าเรื่องมันค่อนข้างจะทื่อๆและไร้สีสันเกินไปนิดกับยุคปัจจุบัน ทำให้ผมเองนึกพาดพิงไปถึงเจ้าพ่อหนังสยองขวัญอย่างจอห์น คาเพนเตอร์เหมือนกันที่งานยุคหลังๆเล่าเรื่องโลกอนาคตแต่วิธีการเล่าเรื่องไม่ได้มีอะไรพัฒนาตามกาลเวลาในหนัง จริงๆแล้วทำหนังด้วยวิธีเก่าๆใช่ว่ามันจะไม่สนุกการประยุกต์ให้เข้ากับคนดูในปัจจุบันนั้นเป็นสิ่งที่สามารถทำได้เพราะการที่คนดูทุกวันนี้เห็นเทคนิคมากมายบนจอการจะให้มาดูอะไรที่เป็นแบบเก่าๆมันคงไม่ได้ผลต่อความรู้สึกเหมือนสมัยก่อนแล้ว ซอมบี้ก็เช่นกันในยุคดิจิตอลก็ผ่านตาคนดูมาไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่อง ตัวอย่างที่ผมคิดว่าแสดงถึงวิธีแบบเก่าๆแต่ปรับเข้ากับยุคสมัยได้ดีและดูสนุกคือตัวอย่างหนังแอคชั่นอย่าง Bourne Identity, Bourne Supremacyที่ใช้เทคนิคเดิมๆก็ยังสามารถประสบความสำเร็จได้ท่ามกลางหนังแอคชั่นยุคปัจจุบันที่ทุกเรื่องจะถอดแบบมาไม่ว่าจะเป็นจากTheMatrixหรือสไตล์ของไมเคิลเบย์
.....ตัวหนังยังดูสนุกแบบเรื่อยๆแต่เป็นความสนุกในส่วนของฉากแอคชั่น สิ่งที่หายไปอย่างน่าใจหายคือความสยองและระทึกขวัญเท่าที่เคยดูเรื่องก่อนๆของGeorge A. Romeroแม้ว่าเขาจะสอดแทรกปรัชญาเอาไว้ในหนังแต่ความสามารถที่ทำให้คนดูผวาก็จะมีอยู่ในหนังเขามาตลอดเช่นกันตัวอย่างเช่นเรื่องล่าสุดที่เขากำกับThe Dark Half กับเรื่องนี้มันแทบจะไม่มีเลยที่ทำให้คนดูรู้สึกแบบนั้นได้(ตรงจุดนี้ผมคิดว่าเพราะเหตุผลที่แสดงไว้คือการเล่าเรื่องแบบเก่าๆที่มันอาจได้ผลถ้าทำออกมาดีกับหนังดราม่าแต่กับหนังตระกูลนี้มันไม่ได้ผลด้วยว่าคนดูเห็นมาจนชินตาแล้ว อย่างไรก็ดีฉากซอมบี้ไร้หัวที่เดินมาโผล่ที่รถเป็นฉากหนึ่งที่ผมชอบเป็นพิเศษ) จุดที่น่าผิดหวังมากคือรูปแบบเรื่องราวเนื้อหาหนังทำได้เป็นสูตรสำเร็จมากๆ ไม่มีอะไรนอกเหนือความคาดหมายไม่มีความประหลาดใจแถมการตายของตัวละครก็เป็นไปชนิดถนอมน้ำใจคนดูมากเหลือเกินคือเดาได้ง่ายดายว่าใครจะรอดใครจะไปเพราะคนที่รอดคือฝั่งพระเอกแทบทั้งนั้น มันทำให้ดูไปได้แบบเรื่อยๆพอจบแล้วมันก็ไม่ได้กระแทกความรู้สึกคนดู
......ผมรู้สึกว่าLand of the Deadเป็นผลงานที่ทำได้ไม่เต็มที่ในแต่ละทางที่หนังวางไว้ หนังเด่นที่มีการสอดแทรกมุมมองต่อสังคมปัจจุยบันแต่ก็เป็นความพยายามที่ขาดความลุ่มลึกและอ่อนชั้นเชิงในการนำเสนอ(คิดว่าเกิดจากหนังให้ความสำคัญของภาพความแตกต่างตรงภาพลักษณ์มากกว่าการแสดงออกความคิด ทัศนคติหรือความรู้สึกของคนในเมือง นอกจากตัวละครKaufmanที่รับบทโดยDennis Hopperแล้ว หนังไม่ได้สนใจตัวละครอื่นๆในเมืองเลยแม้แต่น้อยและตัวละครในเมืองไม่มีใครปริปากเลยแม้แต่คนเดียวซึ่งถ้าหนังจะฉายรายละเอียดส่วนนี้มากขึ้นเชื่อว่ามีผลต่อปมขัดแย้งที่หนังสร้างไว้ให้คนดูเกิดอารมณ์ร่วมได้อยางแน่นอน - ได้อ่านคำสัมภาษณ์ของผู้กำกับที่บอกว่าจะมีการแสดงออกให้เห็นถึงความไม่สนใจความละเลยต่อความเลวร้ายในสังคมของคนบางกลุ่มแต่สิ่งที่หนังนำเสนอกลับไม่สามารถถ่ายทอดความคิดของผู้กำกับออกมาได้เลย) ครั้นจะเอาดีไปในทางแอคชั่นหรือสยองขวัญก็ไปได้ไม่เท่ากับซอมบี้รุ่นน้องๆอย่าง Dawn of the deadฉบับRemakeที่เขย่าขวัญคนดูได้มากกว่าดูสนุกและสมจริงกว่า Resident Evilที่ทำฉากแอคชั่นได้ถึงอกถึงใจกว่า หรือจะเป็น28days laterที่ยังน่าสนใจกว่ากับเทคนิคการเล่าเรื่องและวิธีถ่ายทำที่ก้าวล้ำไปมากกว่า (และยิ่งถ้าเทียบในแง่ความคิดสร้างสรรค์กับความกล้าแล้วหนังยังห่างชั้นกับซอมบี้รุ่นหลานที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อล้อเลียนอย่างShaun of the dead เสียด้วยซ้ำ) ที่สำคัญบทสรุปหรือตอนจบของ3เรื่องนี้มีอะไรที่ชนใจคนดูและน่าประทับใจกว่ามาก สิ่งที่Land of the Deadล้ำหน้ากว่าซอมบี้ยุคดิจิตอลก็ตรงมุมมองต่อเรื่องราวของซอมบี้กับการสนใจสอดแทรกสาระในขณะที่สิ่งที่หนังตามหลังอยู่คือตัวหนังนั่นเอง
.....ปัจจัยหนึ่งที่ผมเลือกดูผีดิบมากกว่ารถแข่งที่เข้าฉายพร้อมกันคือตัวละครนำ เพราะผมหลงใหลในเสน่ห์ของเอเชีย อาเจนโต้(โดยไม่ได้มีความพิศวาสแม้แต่น้อยในตัวเจโชว) ผมจึงยอมเสียเงินเพื่อไปดูเธอในเรื่องนี้ในโรงSF MBKรอบ14.30น น่าเสียดายที่การขึ้นจอของเธอครั้งนี้ไม่มีอะไรน่าจดจำรวมไปถึงตัวนักแสดงอื่นๆที่เหลืออีกด้วย การอยู่หรือตายของตัวละครไม่ทำให้คนดูรู้สึกร่วมหรือผูกพันอะไร งานโปรดักชั่นหลายส่วนผมรู้สึกว่าหลอกตาและไม่สมจริงทั้งในส่วนสังคมชั้นล่างหรือชนชั้นสูงมันทำให้งานสร้างในเรื่องนี้ดูออกไปทางหนังเกรดบีทันทีหากเทียบกับงานสร้างที่ดูดีอย่างDawn of the deadฉบับRemake สิ่งที่หลายคนคงจับตามองเป็นพิเศษคือเอฟเฟคต์และการออกแบบซอมบี้ซึ่งมันก็น่าจะเรียกได้ว่าเท่าทุนคือไม่ได้ดีหรือแย่กว่าที่เคยเป็นมา
สิ่งที่ชอบ
1.ทัศนคติต่อซอมบี้...เรียกได้ว่าการเริ่มให้ซอมบี้มีความคิดความรู้สึก เป็นทั้งข้อด้อยคือมันทำให้คนดูบางคนอาจรู้สึกว่าไม่ขลังเหมือนเดิมเพราะภาพติดตาคือศพไร้วิญญาณเดินทื่อๆมาให้ฆ่า แต่ข้อดีคือมันทำให้หนังมีช่องทางจะขยายต่อเรื่องราวของคนกับซอมบี้ได้มากขึ้น ทำให้การสอดแทรกแง่มุมเช่นให้มันกลายเป็นเหยื่อของมนุษย์ทำให้คนดูเริ่มคล้อยตามเห็นใจเหล่าซอมบี้และพบว่ามันก็ไม่ต่างจากสัตว์อื่นๆทั่วไปที่แค่อยากมีชีวิตอยู่เท่านั้นเอง
สิ่งที่ไม่ชอบ
1.กลับไม่ได้ไปไม่ถึง....ทั้งสองทางที่ทำได้ไม่ดีสักทาง แค่ครึ่งๆกลางๆ ทั้งในด้านสาระและด้านความบันเทิง
2.วิธีการเล่าเรื่อง....น่าผิดหวัง, เป็นสูตรสำเร็จ,เชย+ทื่อๆ, ไม่มีความกล้าและถนอมตัวละครผิดกับซอมบี้ที่ผ่านๆมาที่ฆ่าได้กระทั่งพระเอกหรือนางเอกของเรื่อง
3.การแปล...ซับไตเติลแปลได้ไม่ค่อยดีนัก การเลือกใช้คำไม่เข้ากับบรรยากาศในเรื่อง ผมมองว่าไม่เข้าท่าตั้งแต่ฉากแรกที่ป้ายลูกศรชี้ทางไปร้านอาหารว่า Eat แล้วคนแปลๆว่า เชิญหม่ำ (หากจะคิดเล่นมุขก็ไม่ถูกที่ไม่ถูกทางหรือถ้าไม่คิดอะไรก็ไม่ได้เข้ากันเล้ยกับหนังสยองขวัญ)
สรุป..ผมค่อนข้างผิดหวัง ใช่ว่าหนังไม่สนุกเลยแต่มันไม่มีอะไรแปลกใหม่เลยมากกว่านอกจากแง่มุมของการมองซอมบี้ที่เปลี่ยนไปของผู้สร้างมันขึ้นมา ส่วนที่เหลือเป็นแค่ความพอดีชนิดที่ว่าถ้าเป็นอาหารก็กินได้เกือบพอดีคำแต่ไม่อิ่มเท่าไหร่นักและจืดๆหน่อย (มันทำให้วันนี้ผมต้องไปเติมอาหารอีกรอบกับThe Upside of angerทั้งที่ตั้งใจว่ามันจะเป็นมื้อถัดไป)
เชิญชวนมาแวะอ่านเรื่องเก่าๆเรื่องอื่นๆ +ร่วมพูดคุยแสดงความเห็นที่
http://aorta.bloggang.com ***ฉบับปรับปรุงรูปโฉมใหม่***
Crash , ผลกระทบของการชนที่"คน"มีต่อกันและกัน
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=08-2005&date=03&group=1&blog=1
Shaun of the dead : ซอมบี้ก็ตลกได้
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=03-2005&date=26&group=7&blog=2
Resident Evil 2, อลิซเท่+เนเมซิสเห่ย+จิลเฉยๆ
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=01-2005&date=25&group=1&blog=14
จากคุณ :
"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
- [
6 ส.ค. 48 17:20:51
]