CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    เมื่อสภาวธรรมแห่งจักรวาลสร้างหนังให้คนดู 2001 Space Odyssey (3)

    องค์ที่หนึ่ง : The Dawn of Man ปฐมบทของมนุษยชาติและปฐมบาปแห่งหายนะ

    ในองค์แรก คูบริกได้พาย้อนไปในโลกของเราเมื่อประมาณ 3 ล้านปีก่อน (จากหนังสือธรรมชาติและสรรพสิ่ง บทที่ 12 โลกทางชีวภาพ ได้มีการขุดค้นพบซากดึกดำบรรพ์ซึ่งเชื่อว่าเป็นบรรพบุรุษที่เก่าแก่ที่สุดของพวกเอปหรือต้นตระกูลของคนนั่นเองซึ่ง Ardipithecus Ramidus มีอายุประมาณ 4.4 ล้านปี ซึ่งได้วิวัฒนาการต่อมาจนเป็น A.afarensis ซึ่งถือเป็นซากดึกดำบรรพ์ที่มีความสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่เคยขุดพบ ซึ่งนักวิชาการได้ตั้งชื่อซากดึกดำบรรพ์นี้ว่า
    “ลูซี่” (Lucy) มีอายุประมาณ 3.2 ล้านปี)
    บรรพบุรุษของเราแต่โบราณ
    ยุคที่บรรพบุรุษของเราไม่ได้มีศักยภาพเหนือไปกว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมธรรมดา ใช้ชีวิตด้วยสัญชาตญาณแห่งการอยู่รอดและอยู่ร่วมกับสัตว์อื่นอย่างปกติสุข ซึ่งนับเป็นภาพที่หาดูได้ยากที่สัตว์ป่าต่างๆ จะยินดีใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคน (เพราะเหตุใดเราน่าจะรู้กันดี) คนป่าเหล่านั้นกินผักกินหญ้าเป็นอาหารและรูปกายภายนอกก็ดูอ่อนแอไร้พิษสง จนสามารถตกเป็นเหยื่อของผู้ล่าที่แข็งแกร่งกว่าได้ทุกเวลา
    การใช้ชีวิตด้วยสัญชาตญาณแต่ไร้ปัญญาทำให้คนป่ายุคแรกไม่รู้จักคำว่าแบ่งปัน ดังนั้น เมื่อคนป่า 2 กลุ่มมาพบแหล่งน้ำแหล่งเดียวกัน แทนที่จะรู้จักคิดว่าน่าจะแบ่งปันกันใช้น้ำอย่างไรให้พอเพียงทั้งสองฝ่าย แต่ผู้ที่แข็งแกร่งกว่าก็เลือกใช้กำลังโทสะขู่เข็ญขับไล่กลุ่มที่อ่อนแอกว่าเพื่อที่จะยึดครองแต่เพียงผู้เดียว
    ตรงนี้ ทำให้รู้สึกนับถือคูบริกขึ้นมาจับใจ เพราะนอกจากทำหนังเก่งแล้วยังเป็นสุดยอดหมอดูสามารถทำนายถึงเหตุการณ์ในปี 2003 แถวๆ ตะวันออกกลางได้อีกด้วย
    เมื่อสวรรค์ทรงโปรด
    ตราบใดที่จักรวาลมีการไหลเวียนไม่สิ้นสุด เมื่อถึงจุดหนึ่งเวลาหนึ่ง เมื่อมันถึงเวลาเกิดมันก็ต้องเกิด ด้วยเหตุปัจจัยที่เราอาจรู้หรือไม่รู้ ซึ่งเรามักเรียกเรื่องพรรค์นี้ว่า “ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ”
    แต่บางครั้ง เรื่องเหนือธรรมชาติก็อาจจะเป็นเรื่องธรรมดาๆ ก็ได้ แต่เหตุที่เรามองว่ามัน
    เป็นเรื่องแปลกประหลาดก็เป็นเพราะเกิดจากความไม่รู้และไม่เข้าใจ ทำให้เรื่องพรรค์นี้มักสรุปความคิดเห็นออกเป็น 5 ลักษณะว่า
    ไม่เชื่อ...เพราะเห็นว่างมงายไร้สาระ
    ไม่เชื่อ...เพราะว่ามันพิสูจน์ไม่ได้
    เชื่อ...เพราะเชื่อและหลงในเรื่องงมงาม
    เชื่อ...เพราะยอมรับว่าย่อมมีบางอย่างที่ปัญญาของตนยังเข้าใจไม่ถึง
    เชื่อ...เพราะรู้ว่าสิ่งนั้นคือความจริง
    แล้วเรื่องพรรค์นี้มันก็เกิดขึ้น สวรรค์คงเห็นใจคนป่ากลุ่มที่อ่อนแอและสูญเสียแหล่งน้ำจักรวาลจึงได้ส่งแท่งเหล็กสีดำแท่งหนึ่งลงมาบนพื้นโลก
    ตรงนี้เป็นการอุปมาที่ผมชอบมาก เพราะสิ่งนี่ถูกใช้แทนตัวให้กำเนิดปัญญาแรกเริ่มของมนุษย์ไม่ใช่สิ่งที่สวยงามสุดปราดเปรื่อง แต่กลับเป็นแท่งเหล็กบื้อๆ สีดำ คล้ายกำลังสอนให้เราอย่าเพิ่งตัดสินอะไรจากภายนอก สิ่งที่ดูเหมือนว่าฉลาดที่สุด อาจเป็นสิ่งที่โง่ที่สุด สิ่งที่ดูโง่ที่สุดอาจเป็นสิ่งที่ฉลาดที่สุดก็เป็นได้ อย่าดูกันแค่ภายนอกครับ ไม่เชื่อ ลองถามยาสีฟันสมุนไพรยี่ห้อหนึ่งดู
    แล้วแท่งเหล็กสีดำก็ได้เริ่มทำงานโดยการกระจายคลื่นอะไรซักอย่าง ซึ่งผู้สร้างได้
    ถ่ายทอดให้เรารับรู้โดยผ่านเสียงที่ฟังดูคล้ายการสวดมนต์ ซึ่งฟังไม่ออกว่าเป็นภาษาใดแต่ฟังดูเหมือนการสวดภาวนาวิงวอนที่เปี่ยมไปด้วยสมาธิและความมุ่งมั่น (อธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้าหรือ ศีล สมาธิ ปัญญา)
    เดชะบุญที่คนป่าเหล่านี้เป็นเผ่าพันธุ์ที่ถูกรับเลือกให้สัมผัสกับเจ้าแท่งเหล็กสีดำ ซึ่งผมขออนุมานเอาเองว่าน่าจะเป็น “พระปัญญาแห่งพระผู้เป็นเจ้า” (ตามหลักศาสนาแบบเทวนิยม) หรือ “พระปัญญาแห่งจักรวาล” (หากคิดตามหลักศาสนาแบบอเทวนิยม) ซึ่งต่อไปจะขออนุญาตเรื่องสั้นๆ ว่า “แท่งแห่งปัญญา” แล้วมันได้ดึงดูดคนกลุ่มนั้นให้เข้าใกล้และสัมผัส นับเป็นการสัมผัสครั้งแรกของคนป่าที่ไร้ปัญญาทั้งหลาย
    ถึงตรงนี้ หากเปรียบกับช่วง Overture ซึ่งเหมือนเป็นการกำเนิดจักรวาล (Big Bang of the Universe) เหตุการณ์นี้ก็น่าจะเปรียบได้กับเป็นการกำเนิดแห่งปัญญาของมนุษย์ (Big Bang of Human)
    ข้าคือจ้าวโลกา
    แล้วสติปัญญาก็ได้ถือกำเนิดขึ้นในสมองของคนเป็นครั้งแรก ส่งผลให้คนป่ากลุ่มนี้
    กลายเป็นคนกลุ่มแรกในประวัติศาสตร์ที่รู้จักคิด ทดลองและเรียนรู้ รู้จักพัฒนาศักยภาพในการดำรงชีวิตด้วยการฉกฉวยเอาสิ่งต่างๆ มาเป็นประโยชน์ในการดำรงชีวิต คนป่าคนหนึ่งเริ่มพิจารณาสิ่งต่างๆ รอบกายแล้วเขาก็หยิบฉวยกระดูกท่อนหนึ่งมา แทนที่จะใช้ความสามารถในการค้นพบครั้งนี้ให้เกิดประโยชน์ แต่ด้วยความป่าเถื่อนที่มีอยู่ในสันดาน กิเลสภายในได้ขับดันให้ร่างกายแสดงธาตุแท้แห่งความรุนแรงออกมา คนป่าคนนั้นออกแรงฟาดท่อนกระดูกในมือลงบนกองกระดูกสัตว์จนแตกละเอียด มันหวดทำลายอย่างไม่ยั้งคิดและดูเหมือนมีความสุขที่ได้แสดงความอหังการราวกับจะประกาศก้องให้โลกได้ทราบว่า “คอยดูเถอะ ข้าจะเป็นผู้ครองโลกและอยู่เหนือสุดแห่งห่วงโซ่อาหารบนปฐพีนี้”
    แม้มีสมองแต่หากกิเลสครอบงำก็ไร้ประโยชน์ เหมือนบาปแรกแห่งกิเลสที่อดัมได้กัด
    แอปเปิ้ลเพราะไม่รู้และฟังคำล่อลวงของซาตานที่มาในรูปของงู(กิเลส) แล้วคนป่าเหล่านั้นก็ได้ ยึดเอาวัตถุอันได้แก่กระดูกท่อนใหญ่ไปใช้ในการล่าสัตว์ ทำให้สรรพสัตว์ที่เคยอยู่ร่วมอย่างเป็นสุขต้องถูกล่าและเข่นฆ่าให้ตายลง คนป่าเริ่มกัดกินเนื้อของสัตว์ที่ล่ามาได้อย่างเอร็ดอร่อย เบื่อหน่ายการกินพืชผักหันมาสั่งเนื้อสดทานกันเป็นแฟชั่น
    นอกจากนี้ ด้วยอำนาจแห่งวัตถุที่คนป่าเหล่านี้มี พวกเขาได้ยกทัพไปบุกยึดประเทศๆ หนึ่งในแถบตะวันออกกลางเพื่อแหล่งน้ำมันดิบ เฮ้ยไม่ใช่ ได้ยกทัพไปก่อสงครามฆ่าคนตายเพื่อช่วงชิงแหล่งน้ำกลับมาครอบครองได้ในที่สุด ซึ่งแม้แต่คนป่าฝ่ายที่พ่ายแพ้ก็ยังรู้สึกตกอกตกใจกับการกระทำอันป่าเถื่อนของผู้ที่ได้ชื่อว่าเจริญกว่าทางวัตถุ แต่กลับลงมืออย่างโหดเหี้ยมไร้มนุษยธรรม
    ฉากต่อไป คูบริกได้ทำสิ่งที่คอหนังทั้งหลายชื่นชมกันมาก นั่นคือการส่งต่อเนื้อเรื่องเข้าสู่องค์ที่สองอย่างสุดชาญฉลาด ทั้งในแง่ภาพคือการ dissolve ภาพจากการโยนแท่งกระดูกขึ้นบนท้องฟ้าของเหล่าคนเถื่อนที่กำลังสุขใจกับชัยชนะที่ได้ฆ่าคนตายมาหยกๆ และด้วยเหตุว่ากระดูกนั้นแทนความหมายแห่งการเป็นวัตถุ มันจึงสมบูรณ์ทั้งในการส่งต่อทั้งนัยยะและเรื่องราว จากวัตถุชิ้นแรกที่ธรรมดาสามัญที่สุดไปสู่วัตถุที่ดูเหมือนเจริญด้วยปัญญาอย่างยานอวกาศ นั่นเอง (แค่ดูเหมือนเจริญนะครับ ขอย้ำ)
    เอาล่ะ ได้เวลาท่องจักรวาลกันแล้ว... โปรดคาดเข็มขัดนิรภัยก่อนเดินทาง
    จบองค์ที่หนึ่งครับ

    * หมายเหตุ ที่ต้องเป็นกระดูกก็เพราะ...มันเป็นไม่มีค่าใดๆ เลย อันเป็นสัจธรรมความจริงของทุกวัตถุธาตุในจักรวาลนี้ซึ่งล้วนอยู่ใน กฎแห่งไตรลักษณ์ ได้แก่
    อนิจจัง ความไม่เที่ยง ไม่จีรัง (จากเคยเป็นแขนหรือขาของสัตว์ บัดนี้เหลือเพียงกระดูก)
    ทุกขัง ความเป็นทุกข์ทนยาก ทนในสภาพเดิมไม่ได้ (จากเคยเป็นสิ่งมีชีวิตกลายเป็นสิ่งไร้ชีวิต)
    อนัตตา ความไม่มีตัวตน ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นและโง่หากคิดยึดถือและครอบครอง (จากเคยเป็นสิ่งที่เจ้าเคยของหวงแหน แต่บัดนี้เจ้าของก็ไม่อยู่แล้วแถมไม่ยอมเอาติดตัวไปด้วย)
    ซึ่งหากลองพิจารณากฎนี้ให้ดีๆ ก็จะพบว่า สรรพสิ่งรอบตัวเรานั้นล้วนไร้ค่า ควบคุมไม่ได้ และโง่หากคิดไปยึดมั่นถือมั่น ซึ่งรวมความหมายเป็นภาษาบาลีว่า ตถตา...เช่นนั้นเอง และรวมทั้งบทความนี้ก็หนีไม่พ้นจากกฎนี้เช่นกัน...สาธุ

    จากคุณ : Morpheus - [ วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 12:31:01 A:192.168.1.1 X:210.213.26.66 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป