| ชอบมาก ห้ามพลาด (22 คน) |
| ชอบ แต่ยังไม่ที่สุด (15 คน) |
| เฉยๆ (11 คน) |
| ไม่ค่อยชอบ รอแผ่นก็ได้ไม่ต้องไปโรง (1 คน) |
| ไม่ชอบ เสียดายตังค์ (7 คน) |
| จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 56 คน |
.... เลือกอ่านเรื่องนี้พร้อมรูป และ รบกวนแสดงความเห็นเพิ่มเติมที่ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=09-2005&date=11&group=1&blog=1
คำถามที่ผมมักจะได้รับ และ เชื่อว่าคนที่ไปดูแหยม ยโสธร จะต้องมีคนถามเป็นอันดับหนึ่งคือ "ตลกมั้ย"
คำถามถัดมาที่ผมมักจะมีคนถามต่อ และ คนที่ได้ดูแล้วอาจถูกถามต่อว่า "แล้วมันตลกแค่ไหน เท่าหลวงพี่เท่ง/พยัคฆ์ร้ายส่ายหน้า ฯลฯ หรือเปล่า"
สำหรับหนังตลกแล้ว ผมรู้สึกว่าเวลามีคนถามเรื่องหนัง ความดีของหนัง(เช่นหนังดีมั้ย ห่วยหรือเปล่า) ตอบได้ง่าย ในขณะที่ความตลกของหนัง(เช่น ตลกมั้ย ฮาทะเล็ดหรือเปล่า) ตอบได้ยาก
...หนังตลก เป็น หนึ่งประเภทหนัง ที่คนดูมีส่วนรับผิดชอบในความบันเทิงตั้งแต่ต้นมากกว่าหนังตระกูลอื่นๆ เพราะตัวคนดูเองมีส่วนต้องตอบตัวเองก่อนว่า เราชอบหนังตลกแบบไหน อีกทั้งความตลกก็ไม่สามารถวัดความสนุกจากคำบอกเล่าคนอื่นหรือนักวิจารณ์ได้เท่าไหร่นัก เพราะต่อให้เป็นนักวิจารณ์อันดับหนึ่งของโลก บอกว่า แหยม ยโสธร ตลกมากๆ แต่คุณชอบหนังตลกแบบผีหัวขาด หรือ ตลกแบบ Austin power แถมไม่เคยชอบมุขของหม่ำเลย คุณก็ไม่มีทางจะตลกกับหนังเรื่องนี้ ยิ่งถ้าจะให้เปรียบเทียบกับหนังเรื่องอื่น ยิ่งตอบยากเพราะ คำตอบของคนตอบก็ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ความชอบ ว่าคนๆนั้นชอบหนังตลกแบบไหน
แหยม ยโสธร มีทั้งจุดแข็งและจุดขายที่ดี ตั้งแต่หน้าหนัง ไม่ว่าจะเป็น หนังรัก-ตลกย้อนยุค ที่พร้อมจะเรียกคนดูผู้ใหญ่ไปจนถึงวัยดึกให้หวนคิดถึงหนังสมัยก่อน(ไม่รู้ว่าหม่ำได้ไอเดียสร้างหนังเรื่องนี้ ตอนที่เล่นเฉิ่ม... ช่วงที่เป็นละครวิทยุหรือเปล่า) หนังใช้สีสันฉูดฉาดเรียกตลาดPost Modernพร้อมกลุ่มคนดูสมัยใหม่ให้มีความสนใจได้ตั้งแต่แค่เห็นป้ายโฆษณาที่ตั้งอยู่ทั่วๆเมือง การเป็นหนังไทยซับไตเติ้ลไทย ยังพร้อมเจาะตลาดภาคอีสาน ชนิดใช้ใจซื้อใจอีกด้วย และ จุดแข็งแรงที่สุดของหนังเรื่องนี้ คือ หนังเรื่องนี้เป็นหนังหม่ำ ลองจินตนาการลบภาพหม่ำออกไปจากหนังเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นโดยที่ทุกองค์ประกอบยังเหมือนเดิม ความอยากดูตั้งแต่แรกของหนังเรื่องนี้จะลดลงทันที น่าสนใจว่าเพราะอะไร หม่ำ ถึงเป็นจุดแข็งสำคัญ
... หม่ำ เป็น นักแสดง ผู้กำกับ และยังเป็นแบรนด์ที่น่าทึ่ง เขาประสบความสำเร็จทั้งในจอและนอกจอ ในจอ หม่ำ เป็น ตลกและนักแสดงที่ผมเองรู้สึกว่าเค้ามีเสน่ห์และมีพลังดาราในตัวสูง เพียงโผล่มาไม่กี่วินาทีเป็นตัวประกอบ เขาก็พร้อมขโมยซีนคนอื่นไปในพริบตา ตัวอย่างที่เห็นชัดเช่น สายล่อฟ้า ที่ฉากเขาเมานม เป็นฉากที่เขาพูดหรือเล่นไม่กี่ประโยคแต่ก็เด่นกว่าหลายๆฉากของนักแสดงอื่นๆในเรื่อง อีกทั้งนอกจอ เขาก็เป็นตลกที่มีวินัย ไม่เคยมีข่าวฉาวโฉ่หรือเสียหาย นั่นจึงทำให้ แบรนด์ หม่ำ เป็นแบรนด์ที่คนไทยส่วนใหญ่รักและชื่นชม ดังนั้นการตีตราหนังเรื่องหนึ่งเป็นหนังหม่ำ เท่ากับว่าหนังเรื่องนั้นมีแบรนด์ที่แข็งไม่แพ้กับหนังของจาพนม สำหรับคนดูในประเทศ
หนังหม่ำ ในที่นี้ไม่ได้หมายถึง หนังที่หม่ำเล่นแต่หมายถึงหนังที่เขาทั้งเล่นและกำกับ (หลวงพี่เท่ง หลายคนมักจะคิดว่าเป็นหนังของเท่ง ทำให้คำถามที่หลายคนมักจะเอามาเปรียบเทียบว่าตลกเท่ากันหรือเปล่า เพื่อใช้เป็นเกณฑ์วัดความฮาในการตัดสินใจไปดู ด้วยเข้าใจว่าสองเรื่องนี้( แหยม ยโสธร กับ หลวงพี่เท่ง)เป็นตลกสายพันธุ์เดียวกัน ทั้งที่จริงแล้ว มุขหรือตลกของหลวงพี่เท่งนั้นเป็น มุขจากโน้ตเสียมากกว่า ไม่ได้เป็นมุขจากตระกูลสามช่า) หนังหม่ำเรื่องแรกอย่าง บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม เทียบกับผู้กำกับอื่นๆแล้วในฐานะผู้กำกับหนังเรื่องแรก ถือได้ว่าน่าพอใจ เพราะผู้กำกับหลายคนเมื่อมาทำหนังตลกแล้วไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่คาด อาจด้วยคงเข้าใจว่า แค่มีพล็อตคร่าวๆแล้วเอามุขตลก มาชนต่อๆกันจนจบก็น่าจะดี ซึ่งนั่นแทบจะไม่เรียกว่าภาพยนตร์เสียด้วยซ้ำ
บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม ยังขาดความต่อเนื่องอยู่บ้างหรือมีหลายช่วงที่ฝืดๆ แต่หนังมีความเป็นภาพยนตร์สูงอยู่พอสมควรดูจากการเล่าเรื่อง ไม่ใช่ การเอามุขตลกมาชนกันมุขต่อมุข ฉากต่อฉาก เหมือนหนังตลกหลายต่อหลายเรื่อง หนังยังใส่ใจกับเรื่องราวและการแสดงของตัวละครอื่นๆนอกจากพระเอก (ใครได้ดูก็คงประทับใจกับการแสดงของอาภาพร ไม่มากก็น้อย) เป็นรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่มีในหนังเรื่องแรกของหม่ำ และทำให้เขามีอะไรดีๆน่าจับตามองในฐานะผู้กำกับ การที่เขาเลือกสร้างผลงานชิ้นที่สอง เป็นแหยม ยโสธร จึงมีตัวรับประกันชั้นดีจาก ความเป็นหนังหม่ำ นั่นเอง
....หนังเปิดตัวด้วยความหมายแห่งรักดีๆ ที่ว่า คนจะสูงจะเตี้ยก็รักกันได้ คนจะจนจะรวยก็รักกันได้ ความรักไม่มีขีดกั้น เป็นการเริ่มต้นบอกคนดูว่าต่อแต่นี้ไปจะเป็นเรื่องราวของความรักได้อย่างน่ารักทีเดียว หลังจากนั้นหนังก็พาคนดูไปพบกับ 2 คู่รัก ที่มีอุปสรรคคอยกีดกั้นความรักไม่ให้สมหวัง
ทองและสร้อย... ความรักของทั้งสองคนชัดเจนตรงกันตั้งแต่เริ่ม ทั้งสองคนต่างมีใจให้กัน แต่อุปสรรคมาจากภายนอก ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นที่แตกต่าง ญาติฝ่ายหญิงที่เห็นแก่เงิน และ ชายหนุ่มบุคคลที่ 3 ที่มักจะแฝงมาในความเป็นหนุ่มเมืองกรุง หรือ ลูกเศรษฐี และลูกน้องมาขัดขวางความรัก คู่นี้เป็นคู่ที่ชายก็หล่อ หญิงก็สวย แต่ทั้งคู่สามารถที่จะเล่นบ้าๆบอๆได้อย่างดูดี เข้ากับหนังอย่างเป็นธรรมชาติ ต้องชมคนคัดเลือกนักแสดง ที่ไม่เลือกดาราดังๆมาเล่น แต่เลือกคนที่เข้ากับบทมาเล่น ดังนั้นเวลาที่เขาและเธอพูดหรือปล่อยมุขภาษาอีสาน มันจึงเป็นไปอย่างไม่ขัดเขิน รวมไปถึงจะเล่นให้ฮาๆอย่างฉากรำวงงานวัดก็น่ารักได้ใจหลายๆ
แหยมและเจ้ย ...ต่างกับคู่แรกเพราะความรักของเขาและเธอไม่ได้มีปัญหาชนชั้น แต่อุปสรรคมาจากการวิ่งไล่ของเจ้ยและการผลักไสของแหยม กว่าที่แหยมจะสัมผัสถึงความรู้สึกและความรักของเจ้ย ก็เมื่อเจ้ยเดินหายไปจากชีวิตของเขา เรื่องราวของคู่นี้ไม่มีส่วนในการดำเนินเรื่องมากนักนอกจากการยิงมุขใส่กันไปมา เรื่องราวของคู่นี้ในช่วงแรกดูออกจะเหยียดบทบาทเพศหญิงผ่านมุขตลกจนเกือบจะเกินเลยไปนิด ไม่ว่าจะการที่ให้เธอทั้งถูกถีบ ถูกด่า ถูกใช้งานสารพัด ฯลฯ โชคดีที่ความตลกเด่นจนไม่ทำให้เรื่องการรังแกตัวละครเพศหญิงในหนังขัดตาเกินไป ทั้งตัวหม่ำและเจเน็ตต่างก็ทำหน้าที่ตัวเองได้ในระดับมาตรฐานไม่ขาดตกบกพร่องอะไร ที่น่าชมคือตัวเจเน็ตเองแม้จะมารับบทนำในหนังใหญ่เป็นครั้งแรก แต่เธอก็ไม่ถูกหม่ำกลบรัศมีแต่อย่างใด กลับประชันบทบาทได้อย่างน่าดูชม
....หากพิจารณาเรื่องความขำแล้ว ผมเองให้คะแนนความขำเรื่องนี้น้อยกว่าบอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม เรื่องนั้นหนังยิงมุขหลายมุขเล่นกันชนิดไม่กั๊กไม่กลัวหลุดตัวหนัง ไม่ค่อยระมัดระวังเท่าไหร่ที่จะคงเรื่องราวหรือกลัวมุขตลกจะล้ำหน้ารายละเอียดอื่นๆ มีหลายมุขที่ยิงแล้วฮาระเบิด มีแขกรับเชิญเรียกเสียงฮามากมายและมีการบ่มตัวละครโหน่งไว้แล้วมาระเบิดมุขสุดท้ายตอนจบ น่าจะทำให้แฟนสามช่าฮาได้เต็มๆ
เมื่อมาถึง แหยม ยโสธร เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างชัด ดูหม่ำจะให้ความสำคัญกับความเป็นหนังมากขึ้น หนังไม่ได้มีนักแสดงรับเชิญเด่นๆที่จะมาขโมยซีน สังเกตได้ว่าตัวประกอบอื่นๆในหนังจะไม่ใช่ตลกหรือนักแสดงชื่อดัง หลายครั้งที่หนังออกจะดูกั๊กๆความฮาเสียด้วยซ้ำ เพื่อไม่ให้มันหลุดเรื่องราวจนเกินไป ดังนั้นตัวหนังเองยังตลกอยู่เพียงแต่มุขที่จะฮาสุดๆนั้นมีไม่มาก ความถี่ของการฮาไม่น้อยลงแต่ดีกรีความฮานั้นเบาบางลงบ้าง ปัจจัยสำคัญที่ทำให้หลายฉากขำน้อยกว่าที่คิด เป็นผลลัพธ์ซ้ำรอยหนังไทยช่วงหลังๆนี้ คือ การที่หนังตัวอย่าง ฉายช็อตเด็ดๆไปเสียหลายฉาก ครั้นพอมาถึงหนังจริง ความฮาที่ควรจะมากก็เลยได้ผลน้อยลง (สำหรับคนที่ไม่ได้ดูหนังตัวอย่าง ถือว่าได้เปรียบมาก)
ยังมีความรู้สึกเสียดาย ที่หนังยังระดมยิงมุขไม่สม่ำเสมอ หลายตอนทีเดียวที่หนังอืดลง เกิดช่องว่างอยู่หลายช่วง(ช่วงตามหาสองสาวในกรุงเป็นช่วงที่รู้สึกชัด) โชคดีที่องค์ประกอบอื่นๆของหนังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานสูงจึงเป็นตัวช่วยอุดช่องว่างไม่ทำให้เกิดความรู้สึกเบื่อ และช่วยกู้ชีวิตในเวลาที่มุขแป้ก รวมไปถึงตัวบทเองที่แสดงให้เห็นว่ายังขาดความมีเนื้อมีหนังอยู่ เมื่อบทไม่มีเรื่องราวจะเดินเรื่องแล้วหนังเกิดช่องว่าง สิ่งที่หนังทำคือจับมุขเดิมๆวนซ้ำไปมา ตัวอย่างคือช่วงต้นที่หนังวนเวียนกับการเล่นมุขซ้ำๆแต่เนื้อเรื่องไม่เดินหน้าไปไกล เช่น มุขที่ให้แหยมกับเจ้ย ออกไปทำงาน แล้วเดินกลับมา แหยมช่วยสัตว์ - เจ้ยแบกของ หนังวนอยู่ตรงนี้ถึง 3 รอบ เป็นการสนุกกับมุขซ้ำๆจนเริ่มเฝือ
...หลายส่วนในหนังที่แสดงถึงความตั้งใจของผู้สร้างที่จะยกระดับให้เป็นมากกว่าหนังตลกดาษๆเรื่องหนึ่ง งานสร้างอย่างมีมาตรฐาน ทั้งที่สไตล์จะสมัยใหม่จัดจ้านแต่ก็เข้าถึงกลิ่นอายชนบทอย่างไม่เสแสร้ง ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศงานวัด รำวง สาวน้อยตกน้ำ หรือ ทำนา อีกทั้งดนตรีประกอบ เพลงประกอบที่สนุกสนานไพเราะเหมาะเจาะกับบรรยากาศ การพยายามในงานสร้างเหล่านี้มันแสดงให้เห็นว่า นอกจากมุขที่ยิงใส่คนดู หม่ำพยายามที่จะใส่ลูกเล่นให้กับหนังตัวเองอยู่ตลอดและเป็นข้อดีที่ทำให้มีความน่ารักอยู่ในตัว อาทิเช่น สีสันเจ็บแสบและเครื่องแต่งกายในเรื่อง อย่างชุดของเจ้ยหลังกลับจากกรุงเทพก็เด็ดเหลือเกิน, การมีวงดนตรีที่คอยบรรเลงอยู่ทุกสถานการณ์ , ช่วงเวลาหนึ่งที่หนังแปรสภาพเป็นหนังเพลง , การสร้างคาแรคเตอร์ตัวละครรอบๆตัวให้ดูมีเอกลักษณ์ แถมยังล้อเลียนคาแรคเตอร์ในหนังสมัยก่อนให้ออกมาสุดขั้วชนิดแฟนหนังไทยในอดีตคงอดขำไม่ได้ (เช่น ยอดชาย อะฮึ่ยๆ , กำนัน , รัก-ยมฯลฯ) และ นักแสดงประกอบนี่เองเป็นจุดเด่นมากของ แหยม ยโสธร เป็นจุดเด่นที่มีในหนังของหม่ำมาตั้งแต่บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม ในการใส่ใจตัวละครรองๆ
...หาก หลวงพี่เท่ง ไปได้ดีก็เป็นเพราะการได้ เท่ง เถิดเทิง ที่แบกรับหนังทั้งเรื่องแต่เพียงผู้เดียว แหยม ยโสธร ก็มีจุดเด่นอยู่ที่ตัวละครทุกตัวต่างมาช่วยแบกหนังทั้งเรื่องเดินไปด้วยกัน เป็นหนังอีกเรื่องที่ตัวละครรองๆเล่นได้ดีมีบทบาท มีประสิทธิภาพ แถมนักแสดงยังเข้ากับบทได้อย่างเหมาะเจาะ และ หม่ำ ที่ไม่พยายามทำตัวเป็นศูนย์กลางของหนัง ไม่พยายามเด่นในทุกฉากที่ออกมา ในหลายๆฉากที่เขายอมปล่อยให้ตัวละครอื่นตบมุขและเขาเป็นแค่คนรอรับ (เป็นการนำเทคนิคของทีมสามช่าที่ใช้ในการเล่นตลกมาไว้ในหนังได้ดี)
(มีต่อ)
จากคุณ :
"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
- [
11 ก.ย. 48 12:45:05
]