Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    คนไทย ถูกหลอกให้ดื่มนม !!! >>อ่านมาค่ะ คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับแม่ยุคใหม่

    เครดิต : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1218889
    แล้วลูกโตจะให้กินนมวัวดีมั้ยคะเนี่ย!!!

    >>>>
    ขอเริ่มต้นด้วยประโยคค่อนข้างรุนแรงอย่างนี้แหละครับ

    เพราะผมคิดแบบนั้นจริงๆ คนไทยถูกบริษัทขายนมปลูกฝังความคิดว่านมวัวเป็นอาหารที่สุดเลิศ
    เด็กน้อยจะแข็งแรงตัวสูงและฉลาด ต้องดื่มนมวัว อืม…โฆษณาล่าสุดที่ผมนึกได้ คือ “ไม่เสียแรงเปล่า
    ที่เราดื่มนม” เด็กผู้หญิงน่ารักท่าทางแข็งแรง สะพายเป้ไว้ข้างหลังเดินขึ้นเนินด้วยความคล่องแคล่ว
    เจอเด็กผู้ชายกำลังลากเป้ขึ้นเนิน แล้วเด็กผู้หญิงก็เอาเป้เด็กผู้ชายมาสะพายข้างหน้าเดินขึ้นเนินพร้อม
    2 เป้ ด้วยความแคล่วคล่องว่องไว……..และจบด้วย….. “ไม่เสียแรงเปล่า ที่เราดื่มนม”
    นี่มันเทคนิคการโฆษณา เทคนิคทางการตลาดชัดๆ แน่จริงเอางานวิจัยมาว่ากันสิ…

    บรรพบุรุษของไทยแต่โบราณไม่ได้เลี้ยงลูกด้วยนมวัวครับ
    แต่ใช้น้ำจากอกแม่เลี้ยงดูจนเติบใหญ่ (….ค่าน้ำนมแม่นี้ จะมีอะไรเปรียบเหมือน…) มากกว่า 30 ปี
    ที่คนไทยโดนหลอกจะด้วยตั้งใจ ไม่ตั้งใจ หรือรู้เท่าไม่ถึงการ ทำให้คนไทยส่วนใหญ่เชื่อว่า
    นมวัวคืออาหารจำเป็นสำหรับเด็กทุกคนจะขาดเสียไม่ได้

    ไม่จริงหรอกครับ ก็แค่โปรตีนกะแคลเซียมในนม อาหารไทยๆของเราอย่างอื่นก็มีครับ
    น่องไก่1ชิ้นมีโปรตีนมากกว่านม 1 กล่องครับ ไข่ไก่ 1ฟองหรือนมถั่วเหลือง 1กล่อง ก็มีโปรตีนพอๆกับนมวัว
    1กล่องครับ แคลเซียมในปลาเล็กปลาน้อย กุ้งแห้ง กุ้งเสียบ มีมากกว่านมเป็น 10 เท่า

    ประมาณ พ.ศ.2500 มูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์เอาหางนมวัวมาบริจาคให้เด็กไทยสมัยนั้น
    นัยว่าฝรั่งสงสารเด็กไทยที่มีปัญหาขาดสารอาหาร
    แต่จริงๆคือการระบายหางนมที่ฝรั่งช้อนเอาเนยไปกินหมดแล้ว แทนที่เขาจะเอาหางนมไปทิ้งทะเล
    ก็บริจาคให้เด็กไทยกินจะได้ดูเป็นการกุศล แต่มีวาระซ้อนเร้นคือการอ่อยเหยื่อ ? ศ.นพ.เสม พริ้งพวงแก้ว
    อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข เล่าว่า ในสมัยนั้นเด็กไทยที่ดื่มนมวัวบริจาคพากันท้องเสียหมด
    เพราะว่าเด็กไทยไม่คุ้นเคยกับน้ำตาลและโปรตีนในนม นั่นคือ เด็กไทยแพ้นมวัว
    แต่เรื่องดังกล่าวถูกมองว่าไม่ใช่ปัญหา ก็ให้เด็กค่อยๆชินกับนมวัวทีละนิดจนดูเหมือนเด็กจะดื่มนมได้
    การบริจาคครั้งนั้นจึงเป็นการเปิดทางให้ฝรั่งขายนมวัวให้กับเมืองไทยนั่นเอง

    จากการศึกษาของรพ.จุฬาลงกรณ์ และ รพ.เจริญกรุงประชารักษ์ พบว่า
    ถ้าเทียบอัตราแพ้นมวัวเฉพาะในเด็กทารกกับทารกด้วยกันเองจะพบว่า ตัวเลขของอาการแพ้นมวัวมีมากถึง 50%
    ของทารกที่ดื่มนมวัว

    แบลงก้า-มาเรียและคณะ พบว่า เด็กทารกที่มีคนในครอบครัวมีประวัติภูมิแพ้
    หากดื่มนมวัวจะมีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคภูมิแพ้ 20% แต่ถ้าดื่มนมแม่แต่เพียงอย่างเดียว
    อัตราเสี่ยงต่อภูมิแพ้จะมีเพียง 0.5-1.5% เท่านั้น

    ในอังกฤษ มีการศึกษาในเด็ก 1,456 คน พบว่าหากเด็กดื่มนมแม่นานกว่า 3 เดือน
    เด็กจะป่วยด้วยโรคหอบหืด 10.3% หากดื่มนมแม่น้อยกว่านั้นจะเกิดหอบหืด 17.1%


    มีงานวิจัยหลายสิบชิ้นตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ทั่วโลกยืนยันเรื่องการดื่มนมส่งผลต่อโรคภูมิแพ้
    รวมทั้งงานวิจัยของ ศ.นพ.สุขสวัสดิ์ เพ็ญสุวรรณ คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี
    ท่านทดลองให้พลทหารไทยดื่มนม แล้วส่องกล้องดูลำไส้ ปรากฏว่าพลทหารเหล่านั้น
    ต่างมีเยื่อเมือกลำไส้บวมหมดทั้ง 100% ของกลุ่มผู้รับการทดลอง

    ถึงตอนนี้ท่านคงตั้งคำถามว่าอะไรในนมวัว ที่ทำให้เด็กแพ้ มีอย่างน้อย 2 อย่างครับ
    คือ 1.โปรตีนในนมชื่อว่า เบต้าแล็กโตโกลบูลิน 2.น้ำตาลในนมที่เรียกว่า แล็กโตส

    เบต้าแล็กโตโกลบูลิน เป็นโปรตีนที่มีในนมวัว แต่ไม่มีในนมแม่
    เนื่องจากโปรตีนในนมวัวตัวนี้เป็นโปรตีนขนาดเล็ก
    จึงสามารถถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือดของร่างกายได้ทั้งสาย
    โดยไม่ต้องย่อยให้เป็นกรดอะมิโนเสียก่อนแบบที่เราเคยเข้าใจ
    สมัยก่อนเราคิดว่าโปรตีนอะไรก็ตามจะไม่เข้าไปทั้งสายเต็มรูป
    นั่นคือโปรตีนทั้งหลายหากจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายก็จะต้องถูกน้ำย่อยทำให้แตกตัวออกเป็นกรดอะมิโนก่อน
    แต่ปัจจุบันความเชื่อนี้เปลี่ยนไปแล้ว เมื่อนักวิทยาศาสตร์มีความรู้มากขึ้น
    เขาก็รู้ว่าโปรตีนบางชนิดมีขนาดเล็ก เช่น โปรตีนในนม
    กระทั่งโปรตีนที่เป็นเอนไซม์บางตัวสามารถถูกดูดซึมเข้าไปในร่างกายโดยคงรูปไว้เช่นเดิม ดังนั้น
    โปรตีนในนมวัวจึงเข้าไปเป็นโปรตีนแปลกปลอมในร่างกาย
    และหากโปรตีนแปลกปลอมอย่างเบต้าแล็กโตโกลบูลินในน้ำนมวัวเกิดเข้าไปในร่างกายแล้ว
    ร่างกายก็จะโต้ตอบโดยมีปฏิกิริยาของภูมิแพ้

    การที่แพ้น้ำตาลในนมวัว ที่แพ้เพราะแล็กโตส
    ข้อเท็จจริงแล็กโตสเป็นน้ำตาลในนมของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกประเภท ในน้ำนมคนก็มี
    น้ำตาลนี้ถูกย่อยโดยเอนไซม์แล็กเตส ได้เป็นกลูโคสและกาแล็กโตส
    ร่างกายเราใช้น้ำตาลแล็กโตสไม่ได้แต่ใช้ น้ำตาลกลูโคสและกาแล็กโตสได้ ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
    รวมถึงคนเรา เมื่อเกิดมาใหม่ๆ ทารกต้องดื่มนมเป็นหลัก ธรรมชาติก็ให้น้ำย่อยมาย่อยนมในลำไส้
    แต่เมื่อเด็กโตขึ้นหรือสัตว์โตขึ้น เอนไซม์แล็กเตสก็จะหายไป และจะหายไปหมดเมื่อเด็กอายุประมาณ 2 ปี
    นี่คือสัญญาณทางธรรมชาติที่บอกว่า เด็กควรงดดื่มนมได้แล้วเมื่ออายุมากกว่า 2 ปี
    ท่านเคยเห็นสัตว์ที่โตแล้วอะไรบ้างที่ดื่มนม นอกจากมนุษย์

    แล้วนมวัวสัมพันธ์กับโรคภูมิแพ้อย่างไร
    ก่อนอื่นต้องรู้ก่อนว่าร่างกายของเรามีวิธีจัดการกับโปรตีนแปลกปลอมหรือสารก่อภูมิแพ้ต่างๆอย่างไร
    ร่างกายเราจะนำอิมมูโนโกลบูลินหรือสารที่ทำหน้าที่ต้านทานชนิดหนึ่ง ไปจับกับสารแปลกปลอมเอาไว้
    ซึ่งอิมมูโนโกลบูลินที่ร่างกายใช้กำราบสารแปลกปลอมคือ IgA

    หากเด็กดื่มนมวัวเข้าไป ร่างกายจะเอา IgA ไปจับกับโปรตีนจากนมวัวสายนี้เอาไว้
    เพื่อป้องกันไม่ให้โปรตีนแปลกปลอมรุกล้ำเข้าไปในร่างกายแล้วก่อให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแแพ้ที่อาจจะเป็นอันต
    รายได้ หากดื่มนมวัวเป็นประจำและดื่มเป็นจำนวนมาก ร่างกายก็จะเปลือง IgA มาก และเมื่อ IgA
    ถูกขนไปเรียงรายตลอดความยาวของลำไส้ IgA
    ที่อยู่แถวเนื้อเยื่ออ่อนของทางเดินหายใจและผิวหนังก็จะมีน้อยกว่าปกติ
    จนไม่อาจต้านทานโปรตีนแปลกปลอมอื่นที่อาจเข้าสู่ร่างกายทางนี้ได้
    ยิ่งถ้าเป็นภูมิแพ้โดยกรรมพันธุ์อยู่แล้ว จะมี IgA ในร่างกายน้อยกว่าชาวบ้านเค้าก็เสร็จกันสิ
    ความเสี่ยงของอาการแพ้อากาศและผื่นแพ้ที่ผิวหนังก็มากขึ้นตามไปด้วย

    ผมเป็นเภสัชกรที่รักษาผู้ป่วยด้วยยาร่วมกับวิธีการทางธรรมชาติบำบัด
    ขอเล่าตัวอย่างผู้ป่วยที่ผมให้เลิกดื่มนมแล้วโรคภัยหายไป 3 ตัวอย่าง
    (ความจริงขอโม้ว่า…ตัวอย่างผู้ป่วยที่หายขาดจากโรคเรื้อรังต่างๆมีอีกเพียบ )

    กรณีที่ 1 เด็กชาย 2.5 ปี เป็นโรคหอบหืดเรื้อรัง รักษาที่รพ.ใหญ่แห่งหนึ่งแต่อาการไม่ดีขึ้น
    จนเด็กต้องกินยาขยายหลอดลมแทบทุกวัน เนื่องจากมักมีอาการหอบตอนกลางคืนแทบทุกคืน
    พ่อเด็กเป็นเพื่อนบ้านกัน มาถามผมว่าทำไงดีหมอ ผมบอกว่าให้ลองเลิกดื่มนมผงสิ ตอนแรกไม่เชื่อ
    แต่อาการเด็กน่าเป็นห่วงจึงกลับมาหาผมใหม่ ผมจึงบอกไปว่าลองทดลองเลิกดื่มนมวัวดูสัก 1 อาทิตย์ดูก็ได้
    ระหว่างนี้ก็ให้กินน้ำเต้าหู้แทนนมสิ ปัจจุบันเด็กคนนี้หายขาดจากโรคหอบหืดแล้ว

    กรณีที่ 2 เด็กชาย 8 ปี เป็นโรคภูมแพ้เรื้อรังแสดงออกทางระบบทางเดินหายใจ
    การเจริญเติบโตช้ากว่าปกติ แพทย์ที่ตรวจรักษาประจำบอกว่าต้องดื่มนมวันละ 3 แก้วทุกวัน
    แม่เด็กเป็นคนไข้ประจำของร้านยาผม วันนั้นเล่าเรื่องปัญหาสุขภาพของลูกชายคนเล็กให้ผมฟัง
    ผมบอกว่าก็ให้ลูกเลิกดื่มนมสิ..โตตั้ง 8 ขวบแล้วไม่ต้องดื่มแล้วก็อธิบายเหมือนกับข้อเขียนข้างต้นนี้แหละ
    แม่เด็กเชื่อ ปัจจุบันน้องคนนี้ไม่มีปัญหาโรคภูมิแพ้และการเจริญเติบโตปกติทันเพื่อนรุ่นเดียวกันแล้ว

    กรณีที่ 3 ผู้หญิงวัยทำงาน อายุไม่น่าเกิน 27 ปี มีปัญหา คัดจมูกเรื้อรัง
    ผมซักประวัติพบว่าเธอดื่มนมแทบทุกวัน ผมให้เลิกดื่มนม
    ร่วมกับการรักษาด้วยวิธีธรรมชาติบำบัดและศาสตร์แพทย์แผนจีนบางอย่าง
    ปัจจุบันเธอหายขาดจากอาการคัดจมูกเรื้อรังแล้ว


    คำบรรยายโดย คุณหมอ อารีย์ วชิรมโน

    "นม....ปลอดโรคหรือเพิ่มโรค
    ไม่ทราบว่าทราบกันหรือยังหรือว่าต้องการเอานมนั้นมาเป็นปัญหาเรื่องได้กินกัน หรือเรื่องจะคอรัปชั่น
    ก็ไม่ทราบครับ นมในที่นี้ไม่ได้หมายความนมจากเต้าของท่านนะครับ แต่คือนมจากนมวัว นมสัตว์ครับ
    นมสัตว์เป็นนมที่มีพิษมหาศาลเลย นมที่ท่านดื่มได้และใกล้เคียงกับนมของมนุษย์มากที่สุดคือ นมแพะ นมแกะ
    ที่เลี้ยงตามธรรมชาติ แต่ถ้าเอามาเลี้ยงตามที่เขาเลี้ยงกันทุกวันนี้ ทานไม่ได้ครับ สารพิษมหาศาล
    ยิ่งนมวัวนี่มีอะไรเกิดขึ้นครับ ฮอร์โมน เห็นไหมฮะ สารกระตุ้นมีครบหมด พวกปฏิชีวนะติดมาหมดครับ

    ทุกวันนี้พวกท่านทานนมดทั้งหลายนั้นมะเร็งกันสลอนเลยครับ
    อย่าโกรธนะครับท่านที่เป็นมะเร็งเต้านมหรือมะเร็งปากมดลูกอย่าโกรธนะครับ
    นมพวกนั้และช่วยให้ท่านเป็นมะเร็งได้ง่ายมากเลยครับ ทานแต่ละทีมีทั้งเนื้อทั้งนม
    เสร็จเลยครับติดเข้าไป ไม่ใช่แค่ฮอร์โมน ปฏิชีวนะ มีสิ่งต่างๆเยอะแยะติดเข้าไปในนั้น

    สำคัญที่สุดในนมนะฮะ โปรตีนในนมวัวมันมีโปรตีนสูงมากโดยเฉพาะโปรตีนเคซีนในนมวัว
    มันมีสูงมาก สูงกว่านมมนุษย์ถึง 4 เท่า นอกจากมีโปรตีนสูงแล้วยังมีแคลเซียมสูง
    มนุษย์เราไม่มีเอนไซม์ที่จะมาย่อยโปรตีนจากนมวัวที่มันมีมากมหาศาลนี้ได้
    เพราะฉะนั้นพอเด็กทานเข้าไปท้องจะเสีย แล้วทีนี้นมวัวคนชอบให้ทานเพราะอะไร
    เพราะว่าโปรตีนกับแคลเซียมทำให้ร่างกายเจริญเติบโตเร็ว แต่นั้นคือสัตว์ครับ สัตว์มันต้องโตเร็ว

    แต่เราเป็นมนุษย์ ในนมมนุษย์นั้นโปรตีนมีน้อยเป็นพวกโกโบรลิน แคลเซียมก็มีน้อย
    แต่มีฟอสฟอรัสสูง ฟอสฟอรัสในนมคนมันต้องเอามาพัฒนาสมองและระบบประสาท ซึ่งมีสูงกว่านมวัว
    เพราะว่ามนุษย์เราเนี่ย ต้องพัฒนาสมองหรือระบบประสาทก่อนที่จะมาพัฒนาการความเจริญเติบโตของร่างกาย
    โดยพัฒนาร่างกายไปช้าๆ เจริญเติบโตไปเรื่อยๆ แต่สัตว์มีสมองหรือประสาทเติบโตช้า เพราะมีฟอสฟอรัสน้อย
    แต่ร่างกายเติบโตเร็ว

    ทีนี้พวกมนุษย์โง่ทั้งหลาย พวกเราทั้งหลาย อย่างพวกหมอหมาอย่างผมเนี่ย เรียนมาผิด
    อยากโตเร็วนะต้องกินนมเป็นไงครับ โตแต่ตัวแต่สมองเป็นไงครับ เห็นไหม
    เด็กทุกวันนี้ทำไมการวิจัยบอกว่าไอคิวต่ำ แต่ตัวเท่ายักษ์ ตัวใหญ่ก็บอกว่าเด็กเจริญเติบโตดี
    สนับสนุนให้กินนม
    คอรัปชั่นเรื่องนมยังไม่พอ ยังเอาสารพิษมาให้ลูกหลานกินกันอีก นี่แหละครับผมจะบอกให้ถ้าจะทานนม
    ทานเถอะครับนมถั่วเหลือง ท่านจะเอาอะไรแคลเซียมก็มีและโปรตีนคุณภาพจากนมถั่วเหลืองมีครบ
    ท่านไม่ต้องเอาโปรตีนจากสัตว์ ซึ่งมีทั้งฮอร์โมนและสารพิษ เห็นไหมครับ มีใครเคยคิดบ้างไหมครับ ไม่มีเลย

    เพราะฉะนั้น วันนี้ผมต้องขอโทษครูบาอาจารย์ ซึ่งเป็นหมอเหมือนกับผมทุกคนด้วยครับ
    เพราะผมใช้คำพูดค่อนข้างรุนแรง แต่ผมไม่ได้ด่าอาจารย์นะครับ คือผมด่าทั้งหมดรวมทั้งตัวผม
    เพราะผมก็โง่เหมือนกัน เมื่อก่อนนี้ เอะอะก็กิน เนื้อ นม ไข่ อยู่นั่นแหละครับ
    โง่จนมะเร็งรับประทานไปเลย นี่นับว่ายังโชคดีกลับตัวทัน

    คำบรรยายโดย คุณหมอ อารีย์ วชิรมโน

    จากคุณ : winkz - [ 13 ม.ค. 52 20:32:54 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com