ความคิดเห็นที่ 1 สงสัยเหมือนกัน เพราะได้ลูกชาย มาแอบดูด้วยค่ะ จากคุณ : Judy Abbott - [ 11 เม.ย. 52 13:29:55 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เราไม่ให้ขลิบค่ะ เพราะหมอบอกว่าเขาจะเจ็บมากๆ แม้เขายังเด็กแต่ก็มีความรู้สึก หมอบอกว่าสอนให้เขาทำความสะอาดดีๆ ก็ช่วยได้เยอะ สามีเราก็ไม่ได้ขลิบค่ะ ก็ปกติดี สะอาดด้วยค่ะ เขาบอกว่าจะสอนลูกชายทำความสะอาดเอง สรุปว่าคงไม่ขลิบค่ะ สงสาร เพราะเขาเจ็บมากๆ จากคุณ : Pimnattada - [ 11 เม.ย. 52 13:59:52 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ไม่ขลิบค่ะ  เมื่อเค้าปกติดีจะให้เค้าเจ็บตัวทำไม อีกอย่างกลัวลูกเป็นปมด้อยอายเพื่อนค่ะ จากคุณ : อาเดียร์ - [ 11 เม.ย. 52 14:07:33 ]

ความคิดเห็นที่ 4 อยากให้ขลิบตั้งแต่แรกเกิดค่ะ แต่ทำใจไม่ได้กลัวลูกเจ็บค่ะ ...สงสาร...เลยไม่ได้ขลิบค่ะ จากคุณ : Akira - [ 11 เม.ย. 52 15:47:30 A:89.211.118.237 X: ]

ความคิดเห็นที่ 5 พี่ไม่ได้ให้ขลิบค่ะ สงสารลูกตอนลูกชายเกิด พี่ไม่มีความรู้อะไร ด้านนี้ไม่ได้ติดตั้งอินเตอร์เน็ตในตอนนั้น อีกอย่าง สังคมคนจีน ไม่นิยมการขลิบ(บางครอบครัวเท่านั้นนะ) จากคุณ : ผักบุ้งตาสวย - [ 11 เม.ย. 52 16:02:32 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ลองถามลูกดูสิครับ เค้าอาจจะตอบทางสายตา จากคุณ : pla2 - [ 11 เม.ย. 52 16:18:21 ]

ความคิดเห็นที่ 7 สำหรับคุณพ่อคุณแม่ท่านอื่นนะครับ สังเกตุดูครับว่าบริเวณปลายอวัยวะเพศทำความสะอาดดีหรือไม่ เพราะตรงส่วนนี้ถ้าดูแลได้ไม่ดีก็จะเกิดการหมักหมมของเชื้อโรคต ่าง ๆ ทั้งคราบฉี่ คราบเหงื่อครับ ทำให้เกิดการติดเชื้อย้อนขึ้นไปด้านบนได้ครับ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ที่ไม่ได้ให้ลูกขลิบจะเจอปัญหานี้ได้เยอะมา ก ๆ ครับ และส่วนใหญ่ถ้าเป็นแล้วก็จะเป็นซ้ำได้บ่อย ๆ ครับ ไม่เหมือนในเด็กที่ขลิบแล้วจะดูแลสุขอนามัยได้ง่ายกว่าเยอะครับ ต้องพยายามทำความสะอาดให้ดีเป็นกิจวัตรครับ เพราะอวัยวะส่วนนี้มักถูกละเลย ส่วนใหญ่คิดว่าอย่าไปยุ่งกับมัน ทั้งที่เรื่องความสะอาดเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันเชื้อโรคครับ การทำความสะอาดก็คือเอาน้ำสะอาดธรรมดานี่แหละครับ ล้างบริเวณจู๋ให้ดี แล้วค่อย ๆ รูดหนังลงครับ ทำวันละนิดๆ ช้า ๆ ไม่ต้องรีบ ทำบ่อย ๆ มันก็จะค่อย ๆ รูดลงจนหมดได้เองครับ พอรูดลงได้แล้วก็ใช้น้ำล้างและซับให้แห้งครับ และก็สอนให้เค้ารู้จักดูแลแบบนี้เองให้เป็นนิสัยครับผม การหมักหมมของขี้เปียกและการที่ไม่ทำความสะอาดให้ดี อาจทำให้เป็นแหล่งที่อยู่ของเชื้อโรคมากมาย และที่สำคัญคือ HPV ไวรัสครับ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูกในเพศหญิงและมะเ ร็งองคชาติในเพศชาย ฉะนั้นจึงพบว่าผู้ชายที่ขลิบปลายอวัยวะเพศแล้วจะมีอัตราการเกิด โรคนี้ต่ำมาก ๆ เนื่องจากดูแลสุขอนามัยได้ดีขึ้นและข้อดีนี้ก็ยังเผื่อแผ่ไปถึง สุขภาพของผู้หญิงด้วย หลายคนยังไม่ทราบด้วยซ้ำว่าขลิบแล้วเป็นยังไง ผมเลยรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ เอาไว้เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์ในการหาข้อมูลนะครับ คิดว่าน่าจะมีประโยชน์กับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่บ้างแหละ ลองเข้าไปชมดูนะครับ ที่ http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=thaicirc20&group=7 ส่วนใครมีข้อแนะนำไงก็ฝากไว้ได้นะครับ ปล.ในเวบอาจจะมีภาพไม่เหมาะสมบ้าง  แต่เจตนาเพื่อการศึกษานะครับ จากคุณ : สาลิกาโบยบิน - [ 11 เม.ย. 52 16:26:06 ]

ความคิดเห็นที่ 8 รายงานการวิจัยฉบับใหม่ชี้ว่า การขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชาย จะช่วยจำกัดการติดต่อโรคที่มาจากการมีเพศสัมพันธ์ได้ โรค Herpis Simplex แบบที่ 2 หรือเริมที่อวัยวะเพศกับเชื้อพับพิโลมาไวรัส ที่เกิดกับคน ที่เรียกย่อๆ ว่า HPV นั้น เป็นกามโรคหรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ชนิดที่เป็นกันมากที่สุด เชื้อ HPV ที่ทำให้เป็นเนื้องอกที่เนื้อเยื่อบุผิว เป็นสาเหตุสำคัญของมะเร็งปากมดลูก โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งกำลังตรวจหาโรคมะเร็ง ยังไม่ค่อยมีให้ใช้งานทั่วไป ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์กล่าวว่า โรคเริมที่อวัยวะเพศ ซึ่งเป็นแผลเปิดนั้น เป็นช่องทางไปสู่การติดเชื้อไวรัสโรคเอดส์ ในการศึกษาข้อมูลผู้ชายที่ไม่ได้ติดเชื้อเอชไอวี ราว 5,500 คนในอูกานดานั้น นักวิจัยพบว่า การขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชาย ลดอัตราการติดเชื้อเริมที่อวัยวะเพศลง 35% เทียบกับชายที่ไม่ได้ทำเช่นนั้น การวิจัยนั้นบ่งชี้ด้วยว่า การขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชาย ช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ หรือถ่ายเทเชื้อ HPV 28% และการศึกษาก่อนหน้านี้แสดงว่า การขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชาย ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ หรือถ่ายเทเชื้อไวรัส HIV ที่ทำให้เป็นโรคเอดส์ลง 60% นักวิจัยเห็นว่า การการขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชาย เป็นอาวุธอย่างดีในการต่อสู้กับเชื้อ HIV, HPV และไวรัสโรคเริมที่อวัยวะเพศ ตีพิมพ์ใน british medical journal เดือน jan 2009 จากคุณ : สาลิกาโบยบิน - [ 11 เม.ย. 52 16:28:56 ]

ความคิดเห็นที่ 9 โอย กัวลูกเจ็บมั่ง... แปลว่าจริงๆส่วนใหญ่ก็ไม่ขลิบนะคะ ต้องขอขอบคุณคุณสาลิกาโบยบินสำหรับรายละเอียดนะคะ คิดไม่ตก จากคุณ : หมวยกะตี๋ (หมวยกะตี๋) - [ 11 เม.ย. 52 16:38:08 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ไม่ค่อยมีคนขลิบครับ.........มีวิธีทำความสะอาดได้หลายแบบครับ   ถ้าเป็นคำแนะนำที่แบบว่า perfect คุณหมอคงต้องแนะนำ  หรือ คนรอบข้าง  ลูกชายต้องขลิบ................ผมคิดอย่างนี้นะครับ  เจ้าบิม  ลูกชายก็ไม่ขลิบ จากคุณ : Hatyaiman - [ 11 เม.ย. 52 16:53:12 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ถ้าคุณแม่มั่นใจเรื่องความขยัน ขยันทำความสะอาดปิกาจู้ทุกครั้งหลังอาบน้ำ ขยันค่อยๆ รูดหนังหุ้มปลายเพื่อช่วยเปิดทีละนิด อย่างเบามือ ก็ไม่ต้องขลิบค่ะ เพราะถ้าคุณแม่ไม่ค่อยทำ หรือสอนเรื่องการทำความสะอาดไม่ถูกวิธี เวลาปิกาจู้บวม อักเสบ ถ้าในเคสที่ต้องผ่าตัด (ขลิบ) ภายหลัง เด็กจะจำค่ะ ว่าบรรยากาศห้องผ่าตัด และการเข้ารับการผ่าตัดเป็นยังไง ถ้าไม่ือีกเสบก็ดีไป แต่ถ้าอักเสบขึ้นมา ก็ต้องเจ็บตัวตอนโตค่ะ ส่วนตัว เราไม่อยากเห็นลูกเจ็บจนจำฝังใจ แล้วเราก็เป็นคนขี้เกียจด้วย เลยให้ขลิบค่ะ ทำความสะอาดง่ายดี ไม่ต้องค่อยๆ รูด เพราะเรามือไม่เบาอะ ทำหลังคลอดวันที่ 2 ค่ะ น้องเจ็บนะ ประมาณ 10 วันก็หายดี เนื้อเด็กเล็กประสานเร็วค่ะ แล้วตอนนี้ แกก็จำไม่ได้ด้วย ว่าเคยโดนขลิบ ^^ จากคุณ : pukuchan22 - [ 11 เม.ย. 52 17:33:08 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ปล่อยไปตามธรรมชาติดีกว่าคะ จากคุณ : deepai - [ 11 เม.ย. 52 21:09:32 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ถ้ามีลูกชายตั้งใจจะให้ขลิบแต่แรกเกิดค่ะ สามีก็ขลิบแต่ตอนเป็นเด็กโต เค้าก็บอกเจ็บนิดหน่อย เค้าก็สนับสนุนให้ขลิบค่ะ บอกว่าสะอาดดี และช่วยป้องกันฝ่ายหญิงจากโรคเพศสัมพันธ์บางโรคด้วย แล้ววันแรกๆ ก็มีพยาบาลดูแลให้ที่รพ. จากคุณ : Mucki_girl - [ 11 เม.ย. 52 21:28:01 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ไม่ขลิบคะ เพราะสมัยนี้คุณแม่ส่วนใหญ่ไม่ได้พาูลูกไปขลิบแล้ว อีกอย่างถ้าเราสอนให้ลูกความสะอาดได้ด็ไม่น่าจะขลิบนะคะ แค่นึกก็เจ็บแทนลูกแล้วคะ จากคุณ : mammajor - [ 11 เม.ย. 52 22:19:56 ]

ความคิดเห็นที่ 15 เราคลอดลูกที่แคนาดาค่ะ ตั้งใจไว้ตั้งแต่ท้องว่าจะขลิบ เพราะกลัวปัญหาว่าจะต้องมาขลิบตอนโตแล้วเค้าจะเจ็บมาก แต่พอคุยกับคุณหมอ คุณหมอที่นี่ไม่แนะนำให้ขลิบ มีเอกสารมาให้อ่านด้วยถึงข้อดีข้อเสีย (แต่จะเน้นไปทางไม่ให้ขลิบซะมากกว่าน่ะค่ะ) แถมบอกว่าที่นี่มีเคสเด็กเลือดออกจนตายจากการขลิบด้วย เรายังอยากขลิบอยู่ดี สามีก็ขลิบแต่เด็ก เค้าบอกมันสะอาดแล้วก็สะดวกดี เราสองคนก็เลยยืนยันกับคุณหมอขอขลิบ คุณหมอเลยให้รายชื่อหมอที่ขลิบให้ (ทั้งจังหวัดมีอยู่ไม่กี่คนเองอ่ะ) เราศึกษาข้อมูลคุณหมอแต่ละท่าน และก็เลือกหมอแล้วด้วย ปรากฏว่าก่อนคลอดไม่กี่วัน ดั้นไปเสิร์ชข้อมูลในเน็ตแล้วเจอคลิปการขลิบ โหย ดูแล้วน้ำตาร่วงเลยค่ะ เพราะดูแล้วน่ากลัวมาก (เราไม่เคยรู้มาก่อนน่ะค่ะ ว่าเค้าขลิบกันยังไง คิดว่าเอากรรไกรตัดจิ๊ดเดียว แต่นี่เค้าเอาเครื่องมือเข้าไปแยกหนังออกจากจุ๊ดจู๋ ซึ่งมันยังติดเป็นเนื้อเดียวกันอยู่ คว้านๆๆๆ พอหนังมันแยกแล้วเค้าค่อยถลกหนังมาตัดออก แล้วถึงเย็บ) เด็กในคลิปร้องโหยหวนน่าสงสารมากเลยค่ะ ยอมรับเลยว่าจิตตกไปหลายวันเลย ตกลงตัดสินใจไม่ขลิบเพราะเหตุผลเดียว คือกลัวลูกเจ็บค่ะ ความสะองสะอาดอะไรเดี๋ยวแม่จัดการให้จ้ะลูก  สามีเค้าเถียงว่าเด็กจำไม่ได้หรอก ใช่ค่ะจำไม่ได้ตอนโต แต่ตอนนั้นเค้าเจ็บมากนี่นา ใจก็ยังกลัวว่าจะต้องมาขลิบตอนโตหากเกิดอักเสบอะไรขึ้นมา แต่ก็พยายามหาเหตุผลมาหักล้างเพื่อให้ลูกไม่ต้องขลิบอยู่ดี เราพยายามคิดว่า ถ้ายังไม่เกิดปัญหาอะไร จะไปขลิบทำไมให้เจ็บตัวฟรีๆ เพราะลูกพี่ชายสองคนก็ไม่ขลิบ เค้าก็ไม่เคยอักเสบ หรือสกปรกอะไร ( พยายามหาเหตุผลไม่ขลิบเต็มที่เลยค่ะ แหะๆๆ) เอาไว้ถ้ามันจำเป็นต้องขลิบ ค่อยขลิบนะลูก ตอนนั้นคงทำใจได้ เพราะมันจำเป็น อันนี้แล้วแต่คุณแม่แต่ละท่านเลยค่ะ เรามีเพื่อนที่ทั้งขลิบลูกชาย และทั้งไม่ขลิบ บางคนเค้าใจแข็งกว่าเรา เค้าก็ว่า ให้มันเจ็บตอนนี้แหละดี แค่อาทิตย์เดียวก็หายแล้ว บางคนก็บอกว่าจะไม่ไปตัดอะไรของลูกที่ไม่จำเป็น ให้ลูกมันตัดสินใจเองดีกว่า เราใจไม่ถึงเพราะไม่อยากให้ลูกเจ็บแม้แต่นิดเดียว วัคซีนยังไม่อยากให้ฉีดเลย แต่ว่ามันจำเป็นต้องฉีด ต่างจากขลิบซึ่งไม่จำเป็นถ้าขยันทำความสะอาด พอดีเราเคยเสียลูกไปคนแล้ว ตอนเค้าเจ็บ หัวใจเราเกือบสลาย กับคนนี้เลยอินมากๆ ไม่อยากให้เจ็บเลย คุณแม่หาข้อมูลเยอะๆ ตัดสินใจดีๆนะคะ จะขลิบหรือไม่ขลิบก็แล้วแต่การตัดสินใจของแต่ละครอบครัว ไม่มีผิดถูกหรอกค่ะ จากคุณ : ปลาคังผัดคึ่นไช่ - [ 11 เม.ย. 52 22:28:51 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ขลิบตั้งแต่แรกเกิดที่โรงพยาบาล กลับบ้านใช้เวลาทำความสะอาดแผลอีกประมาณ 1 อาทิตย์ ช่วงนั้นก็ปกคิดี ลูกไม่ได้งอแงอะไรมากมาย ปัจจุบันจะ 3 เดือนแล้ว จู๋สวยงามมาก ทำความสะอาดง่าย ไม่ต้องกังวลอะไร สนับสนุนให้ทำแต่แรกเกิดเลย ไม่น่ากลัวอย่างที่คิดนะ จากคุณ : มัดช๋า - [ 11 เม.ย. 52 23:12:34 ]

ความคิดเห็นที่ 17 แวะเข้ามาดู ท้องลูกชายค่ะ กำลังคิดดูอยู่เหมือนกันค่ะ จากคุณ : Nong@tacoma - [ 12 เม.ย. 52 01:44:24 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ก่อนมีลูกและสมัยทำงานตั้งใจขลิบเพราะอ่านงานวิจัยมาพอสมควร  พอมีลูกจริงๆ เค้าคลอดก่อนกำหนด ๒ เดือน เจ็บตัวกับการรักษารื่องหัวใจและปอดมาพอสมควร พอครบกำหนดออก รพ. ตัดสินใจไม่ขลิบค่ะ เหตุผลคือ ๑. เคยเห็นเด็กหรือผู้ใหญ่ที่ขลิบก็ดูสะอาดสะอ้านดีนะคะ  แต่โล้นๆ แล้วลูกเพื่อนคนนึงเห็นโดยบังเอิญว่าส่วนปลายมีสีคล้ำๆ ออกดำๆน้ำตาลๆ เดาว่าน่าจะเกิดการเสียดสีกับกางเกงใน ซึ่งเราไม่รุ้ว่าจะมีผลกับการสัมผัสรับรู้ ไวต่อความรุ้สึกได้ดีเท่ากับปกติไหม??? ๒. ลูกอาจจะมีคำถามในอนาคต ที่ทำไหมปิกาจูเค้าไม่หมือนกับพี่คนอื่นๆหรือป๊า ๓. สำคัญที่สุดคือ ลูกอยากขริบ? เราไม่รู้ ขริบแล้วแก้ไขไม่ได้ด้วย  เราไม่อยากตัดสินใจแทนลูกค่ะ ตั้งแต่แรกคลอดรูดเปิดทำความสะอาดวันเว้นวัน  พอเริ่มรู้เรื่องก็สอนว่าทำเพื่ออะไร? ถ้าโตขึ้นอยากขริบก็ตามใจลูก จากคุณ : one&only - [ 12 เม.ย. 52 03:22:22 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ความเชื่อและความเข้าใจผิด ๆ เกี่ยวกับการขลิบที่คุณพ่อคุณแม่ควรรู้ น้ำเปล่าและสบู่ก็เพียงพอในการล้างอวัยวะเพศของเด็กผู้ชาย เรื่องนี้เป็นความจริง แต่ในความเป็นจริงเด็กผู้ชายส่วนมากไม่ได้อาบน้ำอย่างสะดวกและทั่วถึง ถ้าไม่ได้คอยดูแลอย่างใกล้ชิด เหมือนที่ผู้ปกครองต้องคอยเตือนเสมอเช่นแปรงฟันก่อนนอน เช็ดหูให้สะอาด ซึ่งส่วนที่มักจะถูกละเลยมากที่สุดก็คืออวัยวะส่วนสำคัญนี่เอง ซึ่งถ้าหากการดูแลสุขอนามัยของอวัยวะส่วนนี้ทำได้ไม่สะอาดดีมันก็จะก่อให้เกิดความหมักหมมและการอักเสบเกิดขึ้นมาได้ในภายหลัง ซึ่งการรักษานั้น ยุ่งยากมากกว่าการป้องกันเยอะ ดังนั้นการขลิบหนังหุ้มปลายจึงเป็นการช่วยให้การดูแลสุขอนามัยได้สะดวกขึ้น เนื่องจากสามารถทำความสะอาดได้เพียงแค่อาบน้ำแบบปกติเพราะไม่มีส่วนไหนให้มาหมักหมมอีกต่อไป โรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะสามารถหายได้ง่าย ๆ เพียงแค่กินยาแก้อักเสบ การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะนั้นหากเป็นจากแบคทีเรียสามารถหายได้ด้วยการกินยาฆ่าเชื้อ แต่ยานี้มันกลับไม่ได้ส่งผลใด ๆ ต่อพวกกลุ่มเชื้อราที่ก่อให้เกิดโรค และในขณะเดียวกันการติดเชื้อที่ปล่อยไว้นาน ๆ มันก็สามารถลามขึ้นไปบริเวณด้านบนโดยการผ่านทางท่อปัสสาวะ ทำให้ไปถึงกระเพาะปัสสาวะ ท่อไต จนถึงกรวยไต ซี่งการรักษาก็ต้องยุ่งยากไปอีก บางครั้งต้องฉีดสี บางครั้งพบว่าการอักเสบมากถึงขั้นไตเป็นหนอง ต้องทำการผ่าตัดรักษา ดังนั้นสุขอนามัยของอวัยวะเพศซึ่งถือว่าเป็นด่านแรก จึงมีความสำคัญที่สุดในการดูแลและป้องกันภาวะติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ สมาคมทางการแพทย์ในอเมริกาต่อต้านการขลิบ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สื่อความหมายผิดไปไกลมาก จริง ๆ แล้วในรายละเอียดฉบับเต็ม ทางสมาคมทางการแพทย์อเมริกายืนยันถึงข้อดีในการขลิบมากมาย ทั้งเรื่องการป้องกันทารติดเชื้อต่าง ๆ และในขณะเดียวกันพวกเขาก็ได้ให้ข้อควรระวังในการตัดสินใจรวมถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ในการขลิบ ซึ่งก็เหมือนการผ่าตัดทั่ว ๆ ไป ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่ที่จะต้องชั่งน้ำหนักว่าข้อดีหรือข้อเสียมีมากกว่ากัน และเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกของท่าน และปัจจุบัน (ธค.51) กำลังมีการประชุมในกลุ่มกุมารแพทย์ของอเมริกาเพื่อที่จะออกแถลงการณ์ฉบับใหม่ โดยจะได้มีการเอาข้อมูลล่าสุดของ WHO ที่ยืนยันว่าการขลิบสามารถลดอัตราการติดเชื้อเอชไอวีลงได้หกสิบเปอร์เซนต์ มาใช้ในการพิจารณาด้วย ผู้ปกครองไม่มีสิทธิที่จะไปตัดสินใจแทนลูกในการที่จะขลิบ :หลายงานวิจัยทางการแพทย์พบข้อดีและประโยชน์ของการขลิบมากมายในการป้องกันการเกิดโรคต่าง ๆ ในเด็ก และการขลิบในเด็กพบว่าสะดวกและง่ายในการดูแลแผลมากกว่าการมาทำในตอนโต เนื่องจากกิจกรรมต่าง ๆ ของเด็กเอง เด็กทารกอาจจะไม่สามารถที่จะเลือกว่าจะขลิบหรือไม่ แต่ก็เช่นเดียวกับการการสร้างภูมิคุ้มกันต่าง ๆ เช่นฉีดวัคซีน ,การเลือกนับถือศาสนา,การเลือกโรงเรียน ซึ่งสิ่งเหล่านี้จึงเป็นหน้าที่ของผู้ปกครองที่จะทำการตัดสินใจแทนลูก ๆ ของเรา โดยอยู่บนพื้นฐานที่ว่าเรากำลังเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูก โดยชั่งน้ำหนักทั้งข้อดีและข้อเสียมาประกอบกัน เพื่อที่ลูกของเราเมื่อเติบโตขึ้นมาจะได้รับในสิ่งที่ดีที่สุด จากคุณ : สาลิกาโบยบิน - [ 12 เม.ย. 52 11:15:06 ]

ความคิดเห็นที่ 20 การสอนให้ลูกทำความสะอาดอวัยวะเพศก็เพียงพอ ไม่จำเป็นต้องขลิบ การดูแลสุขอนามัยของอวัยวะเพศเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเด็กทุกคน แต่ในเด็กผู้ชายที่มีหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศอยู่นั้น การดูแลความสะอาดอาจทำได้อย่างไม่ทั่วถึง ซึ่งถ้าปล่อยให้เกิดการหมักหมมก็จะทำให้เกิดการอักเสบขึ้นไปตามท่อปัสสาวะ บางคนถึงขั้นต้องนอนรักษาในโรงพยาบาลด้วยอาการไตติดเชื้อ ยิ่งธรรมชาติของเด็กผู้ชายที่เล่นซนตามประสา การไม่อาบน้ำ การเล่นสกปรกมอมแมม เป็นเรื่องปกติ ยิ่งทำให้ง่ายต่อการเกิดเรื่อง และความเป็นจริงในสภาพสังคมของเรา ต้องยอมรับว่ามีไม่กี่ครอบครัวที่มีการพูดคุยถึงสุขอนามัยทางเพศ มีคุณพ่อคุณแม่กี่คนที่คอยถามลูกว่าวันนี้ล้างจู๋สะอาดหรือยัง หรือเมื่อลูกโตพอเข้าโรงเรียนแล้วยังมาคอยเช็คว่าลุกอาบน้ำสะอาดไหม มีการรุดหนังหุ้มปลายลงมาล้างไหม ดังนั้นยิ่งเมื่อเด็กโตขึ้น ปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้ก็ยิ่งทำให้ถูกละเลยไป ด้วยทั้งเด็กรู้สึกเขินที่จะปรึกษาคุณพ่อคุณแม่ และกิจกรรมต่าง ๆ ของเด็กที่มากขึ้นตามอายุ ทั้งเล่นกีฬา เหงื่อจากการทำงานต่าง ๆ ดังนั้นการขลิบจึงมีข้อดีในการช่วยให้ดูแลสุขอนามัยได้ง่ายขึ้น เนื่องจากกำจัดจุดที่จะสามารถไปหมักหมมของพวกเชื้อโรคได้ ทำให้การอาบน้ำธรรมดาก็เพียงพอที่จะทำความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศได้ โรคต่าง ๆ ที่การขลิบสามารถลดโอกาสการเกิดได้ เป็นโรคที่พบได้น้อยมากในทางการแพทย์ พยายามมีการให้ข้อมูลจากกลุ่มที่ต่อต้านการขลิบว่า การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะในผู้ชายพบได้น้อยมาก ทำให้ไม่จำเป็นที่จะต้องทำการขลิบ ซึ่งข้อมูลตรงนี้เป็นเรื่องที่ฟังแล้วคุณพ่อคุณแม่หลายท่านจึงคิดว่าไม่จำเป็นที่จะให้ลูกของท่านขลิบ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะเป็นโรคที่พบได้บ่อยมากที่ทำให้เด็กต้องมาโรงพยาบาล และการรักษาก็มีตั้งแต่ทานยา ทายา ผ่าตัด จนถึงต้องนอนโรงพยาบาลเป็นอาทิตย์ ๆ ในแต่ละคน หรือมะเร็งองคชาติในผู้ชายที่โตขึ้น แม้จะเป็นโรคที่พบได้ไม่บ่อยนัก แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว การรักษาส่วนใหญ่คือการตัดอวัยวะเพศทิ้งซึ่งทำให้เกิดผลกระทบต่อจิตใจของคนไข้เป็นอย่างมาก และเป็นโรคที่มีโอกาสเสียชีวิตได้สูง หรือการที่หนังหุ้มปลายไม่สามารถดูแลความสะอาดได้ดีทำให้เมื่อมีเพศสัมพันธ์ก็ไปกระตุ้นให้เกิดมะเร็งปากมดลูกในผู้หญิง ซึ่งเป็นสาเหตุการตายอันดับต้น ๆ ของผู้หญิงในแต่ละปี และมีข้อมูลทางการแพทย์ยืนยันว่าในบริเวณหนังหุ้มปลายของผู้ชายพบเชื้อ HPV virus ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคได้สูงกว่าคนที่ขลิบแล้วเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงเห็นการขลิบจึงมีประโยชน์ในการดูแลป้องกันสุขภาพในระยะยาวต่อทั้งผู้ชายและผู้หญิงเอง จากคุณ : สาลิกาโบยบิน - [ 12 เม.ย. 52 11:18:26 ]

ความคิดเห็นที่ 21 เรื่องขลิบนี่วงการแพทย์ก็ได้พบข้อดีมากมายนะครับ และหลักฐานทางการแพทย์ก็ยืนยันเยอะด้วย แต่สาเหตุที่ทำให้ไม่ได้รับการส่งเสริมเท่าที่ควรคือเพราะเรื่องเจ็บตัวนี่แหละครับ สำหรับผู้ชายแล้ว เมื่อไหร่ที่ของมีคมมาใกล้ๆ ตรงนั้นนี่ขอบายทุกคนครับ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่นะครับ  ถึงกับศาสนาคริสต์เองตอนปฏิรูปศาสนาในเมื่อหลายร้อยปีก่อน ถึงกับเปลี่ยนกฎเป็นว่าคนที่จะนับถือศาสนาคริสต์ไม่จำเป็นต้องทำการสุหนัต (ขลิบ) ทั้งที่พระเยซูก็ขลิบนะครับ  (ตามพันธสัญญาเดิมที่พระเจ้าให้ไว้ในยิวคือ เด็กผู้ชายที่เกิดมาต้องขลิบใน 8 วัน หรือคนที่จะเข้าศาสนาต้องขลิบทุกคน) ทำให้ศาสนาคริสต์ขยายตัวไปได้รวดเร็วมากขึ้นหลังจากนั้นครับ เพราะคนไม่ต้องขลิบ หรือว่ามะเร็งปากมดลูกที่เกิดจาก HPV virus ในผู้หญิงนี่ มันก็มาจากบริเวณหนังหุ้มปลายนะครับ มีหลักฐานการแพทย์ยืนยันเยอะมากว่าคนที่ไม่ขลิบจะพบ HPV virus เยอะมาก แต่สุดท้าย ก็ด้วยเรื่องเจ็บตัวนี่แหละ เลยกลายเป็นไปพัฒนาวัคซีนขึ้นมาแล้วไล่ให้ผู้หยฺงเป็นคนไปฉีดเพื่อป้องกันมะเร็งปากมดลูก  งงไหมครับทั้งที่สาเหตุมาจากผู้ชาย แต่ไล่ผู้หญิงไปป้องกัน ส่วนเรื่องการขลิบในเมืองไทย  เพราะส่วนใหญ่คนไทยเราไม่ค่อยพูดถึงเรื่องเพศกันอยู่แล้วครับ สั่งสอนกันมาว่าเป็นเรื่องสกปรก อย่าไปยุ่งกับมัน  ทำให้เยาวชนเราหรือผู้ใหญ่เองต้องหาความรู้กันเองแบบผิด ๆ ตาม internet บางคนไม่อยากขลิบก็พยายามแต่งแต้มสีสันไปมั่ว ๆ ว่าขลิบแล้วบ้า ขลิบแล้วตายด้าน ไปต่างๆนาๆ เมืองไทยในห้องสวนลุม เวปพันทิพก็มีนะครับ ผมเคยเจอ และในวงการหมอเองก็เหมือนกัน  เห็นว่าตัวเองไม่ขลิบและไม่เกิดปัญหา ก็เลยคิดว่าไม่ต้องขลิบให้คนไข้ก็ได้ ทั้งที่ความจริงการดูแลสุขอนามัยของหมอกับชาวบ้านมันต่างกัน หมอรู้ว่าควรระวังยังไงและก็ดูแล  แต่คนไข้ใช้แล้วเก็บ  มันจะเหมือนกันได้ไง ซึ่งไม่เหมือนเมืองนอกนะ เค้าจะดูแลสุขภาพกันแบบป้องกันมาก ๆ เด็กเกิดมาก็ขลิบให้เลย  ไม่งั้นก็มีหมอไปสอนตามโรงเรียนเลย ว่าต้องดูแลยังไง  ต้องรูด ต้องล้าง ต้องเก็บยังไง บ้านเรานอกจากไม่ป้องกันแถมยังไม่พูดถึง ทำเป็นลืมซะงั้น สุดท้ายเลยเกิดปัญหาสังคมแบบปัจจุบันไงครับ อีกอย่างนึง สังเกตุไหม ว่าขนาดองค์การอนามัยโลกแถลงว่าการขลิบลดอัตราการขลิบลงได้ 60 เปอร์เซนต์ แต่กระทรวงสาสุขบ้านเราเงียบกริบ  ไม่เผยแพร่ด้วยซ้ำ ทั้งที่ตอนนี้คนไทยมีตัวเลขผู้ติดเชื้อ 1 ล้านคน นั่นคือใน 65 คนที่เดินมา จะมีคนเป็นเอดส์ 1 คน แต่กลับไม่พูดถึงเรื่องนี้ด้วยซ้ำ จากคุณ : สาลิกาโบยบิน - [ 12 เม.ย. 52 11:19:15 ]

ความคิดเห็นที่ 22 นอกจากนี้ ยังมีการรวมกลุ่มขึ้นมาในอเมริกา เรียกว่าพวก anticirc พวกนี้จะต่อต้านการขลิบ โดยหัวหน้ากลุ่มเป็นเกย์ที่ถูกขลิบตั้งแต่เกิด และเชื่อว่าทำให้เค้าไม่ได้รับความรู้สึกเต็มที่ พวกนี้จะคอยรณรงค์ถึงข้อเสียต่าง ๆ ของการขลิบ เช่นเอาข้อเสียประเภทเกิดขึ้น 1 ในแสน มาประโคมเป็นข่าวใหญ่โต  เอาข่าวประเภทขลิบแล้วพลาดซึ่งเกิดขึ้น 1 ในล้าน มาขยายและทำให้ภาพดูน่ากลัว  และเอไปรวมกับพวกที่ไม่อยากขลิบอยู่แล้ว  ก็ผสมโรงไปใหญ่ว่าไม่จำเป็น  เป็นการลิดรอนสิทธิเด็ก (ถ้าคิดงี้และเวลาพาลุกไปฉีดยาไม่ถือว่าลิดรอนสิทธิเด็กมั่งหรือ)  ทำให้อัตราการขลิบในอเมริกาลดลงไปบ้างแต่ก็ไม่มากคือจาก 80 เปอร์เซนต์ลงเหลือ 68 แต่ก็จะเห็นว่าลดลงไม่มาก เนื่องจากผู้ปกครองที่ติดตามข้อมูลทางการแพทย์ดี ๆ ก็จะยังเลือกให้ลูกตัวเองทำอยู่ หลัง ๆ พวกกลุ่ม anticirc ก็เปลี่ยนวิธีใหม่  โดยการไปกดดันทางรัฐบาลในแต่ละรัฐของอเมริกาให้ตัดงบรักษาพยาบาลเรื่องการขลิบลง  โดยอ้างว่ารอให้เด็กเลือกเอง ซึ่งในอเมริกาเองบางรัฐที่ฐานะการเงินไม่ค่อยจะดีอยู่แล้ว ก็เลยเริ่มตัดค่ารักษาพยาบาลส่วนนี้ออกไป เช่นพวกรัฐทางตะวันตก(เดิม การขลิบ ทางรัฐบาลจะออกเงินให้) ทำให้ตอนหลังคนที่อยากขลิบต้องจ่ายเงินเอง  แต่ก็มีแค่ 5-6 รัฐที่ทำแบบนี้  เพราะส่วนใหญ่ก็ยังเห็นประโยชน์การขลิบอยู่  ยิ่งองค์การอนามัยโลกออกมาแถลงด้วยซ้ำว่าการขลิบ ลดอัตราการแพร่เชื้อลงได้ถึง 60 เปอร์เซนต์ พวกกลุ่ม anticirc ก็ยังเถียงข้าง ๆ คู ๆ ไปต่อว่า งานวิจัยไม่น่าเชื่อถือ แล้วก็ไปทำงานวิจัยว่าขลิบแล้วเซ๊กส์เสื่อมมาเปลี่ยนเรื่อง  ซึ่งงานวิจัยที่พวกนี้ทำออกมาก็ติงต๊องอีก คือเล่นไปเอาแบบสอบถามไปให้พวกที่ขลิบตั้งแต่เกิดทำ ว่าทำแล้วรู้สึกน้อยลงไหม  พวกนี้ไม่เคยลองแบบมีหนังหุ้ม ก็เชื่อว่าตัวเองรู้สึกลดลง ก็เลยตอบว่าทำแล้วลด และก็เอางานวิจัยมาขยายผล ว่าขลิบแล้วตายด้าน  ไปทำลายอวัยวะรับความรู้สึก 5 จุด  ซึ่งพอข่าวนี้ออกมา  พวกผู้ชายที่ไม่อยากขลิบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว  ก็ยิ่งเอามาขยายผลใหญ่เลยว่าเห็นไหม ขลิบแล้วไม่ดี  (หลายคนน่าจะเห็นข่าวนี้ในไทยรัฐนะ ที่ว่าการขลิบสร้างความเสียหายแก่องคชาติ 5 จุด)ติงต๊องมาก ๆ ลงซะตัวเบ้อเร่อ   แต่หลังจากนั้นไม่นานแพทย์อีกกลุ่มที่เห็นว่างานวิจัยฉบับนี้ไม่ยุติธรรมก็ทำงานวิจัยซ้ำโดยคราวนี้เลือกไปถามในคนที่ขลิบตอนเป็นผู้ใหญ่  โดยให้เปรียบเทียบกันว่าระหว่างมีเพศสัมพันธ์ตอนมีหนังหุ้มกับไม่มีผลเป็นยังไง  สุดท้ายก็ออกมาว่าไม่ต่างกัน ทำเอางานวิจัยฉบับที่ว่าขลิบแล้วความรู้สึกลดลง ไม่มีใครเอามาอ้างอีก  (งานวิจัยอันนี้เมื่อกค.เลยนะ ไปหาใน blog ได้) แต่กลุ่ม anticirc ก็ไปข้าง ๆ คู ๆ ต่อว่าถึงจะดีหรือหรือไม่ดีก็รอให้เด็กเป็นคนเลือกเอง (รู้งี้ตอนตัดสายสะดือคลอดน่าจะรอให้เด็กบอกแล้วค่อยตัดเนาะ) และไปรณรงค์ในประเทศยากจนอื่น ๆ ให้ยกเลิกการให้งบอุดหนุนการขลิบซะ  โดยมามุกเดิมคือขยายภาพข้อเสียของการขลิบประเภทที่เกิด 1 ใน แสน มาประโคมออกนสพ.  ออกทีวี  หรือเอาภาพเด็กตอนร้องไห้ระหว่างการขลิบมาโพสลงพวก youtube ให้ผู้ปกครองกลัว (แล้วงี้ตอนฉีดยาเด็กก็ร้อง น่าจะห้ามฉีดวัคซีนซะเลย) เรื่องเกี่ยวกับ anticirc ที่ผมเล่ามานี้ ลองไปหาข้อมูลใน google ได้นะครับ  มีการต่อสู้ เปลี่ยนกลยุทธ์กันไปเรื่อย ๆ สนุกดี  ส่วนพวกพี่ ๆ หรือเพื่อน ๆ ที่อยู่ในนี้ ผมเองก็แนะนำตามประสบการณ์ที่ผมเจอในรพ.  ได้สัมผัสกับคนไข้เยอะแยะที่มีปัญหาเกี่ยวกับหนังหุ้มปลาย  และได้คุยกับหลายคนที่ทำแล้ว บอกว่าดี  ก็เลยอยากจะทำเป็นบอรด์กับบล๊อกนี้ออกมาครับ จากคุณ : สาลิกาโบยบิน - [ 12 เม.ย. 52 11:19:52 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เราให้ขลิบตั้งแต่แรกเกิดค่ะ หมอเด็กที่เชี่ยวชาญเป็นคนทำให้ค่ะ จากคุณ : Close To Heaven - [ 12 เม.ย. 52 11:40:26 ]

ความคิดเห็นที่ 24 เคยเห็นการขลิบเด็กเล็กๆ หลายครั้ง หลายคน จึงไม่เห็นด้วยกับการขลิบค่ะ  เด็กเจ็บแน่ๆ และน่าจะมีผลไม่ดีกับจิตใจเด็ก บางเคสมีการติดเชื้อด้วย (แม้ว่าทำใน ร.พ. หมอเ่ก่งๆ ก็ตาม) และทุกเคส  ต้องดูแลแผลตรงที่ถูกขลิบกันเป็นอาทิตย์ๆ ค่ะ ส่วนตัวคิดว่า  รอให้ลูกโต (เช่นอายุ ๑๘ ขึ้นไป) แล้วลูกก็จะเลือกเองได้  ว่าอยากขลิบ หรือไม่ และน่าจะทำเมื่อไร วิจัยมากมายที่ออกมาบอกว่า  การขลิบดี  ถ้าไปดูข้อมูลต่อ จะเห็นว่า  ผู้วิจัยหลายคนเกิดและเติบโตมาในสังคม ที่มีธรรมเนียมขลิบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้วค่ะ ถ้าไม่ได้มีความเชื่อเรื่องธรรมเนียม  ศาสนา หรือสังคม หมอ (ที่เป็นหมอเด็กของลูกเราที่อเมริกา) ไม่แนะนำให้ขลิบค่ะ จากคุณ : ต้นจั่น - [ 12 เม.ย. 52 17:17:12 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ^ ^ ^ เห็นด้วยกับข้างบนค่ะ "วิจัยมากมายที่ออกมาบอกว่า  การขลิบดี  ถ้าไปดูข้อมูลต่อ จะเห็นว่า  ผู้วิจัยหลายคนเกิดและเติบโตมาในสังคม ที่มีธรรมเนียมขลิบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้วค่ะ ถ้าไม่ได้มีความเชื่อเรื่องธรรมเนียม  ศาสนา หรือสังคม หมอ (ที่เป็นหมอเด็กของลูกเราที่อเมริกา) ไม่แนะนำให้ขลิบค่ะ " จากคุณ : Pimnattada - [ วันมหาสงกรานต์ (13) 10:01:43 ]

ความคิดเห็นที่ 26 http://anew.exteen.com/20040818/for-gentlemen พอดีไปเจอลิ้งค์จากกูเกิ้ลเรื่องการขริบค่ะ ลองอ่านดูค่ะ ส่วนเราก้อว่าจะให้ลูกชายขริบแน่นอน เพราะเรื่องความสะอาด เห็นด้วยกะสามี พวกเราอยู่อเมริกาไม่ได้เป็นยิวหรือนับถืออิสลามหรอกค่ะ และตัวเค้าก้อขริบ มาตั้งแต่เกิด หมอบางท่านที่นี่ก้อเห็นด้วยกับการขริบ เกี่ยวกับเรื่องความสะอาดและลดการติดต่อทางเพศสัมพันธ์ค่ะ จากคุณ : เด็กหัวโต - [ วันมหาสงกรานต์ (13) 13:41:46 A:24.240.30.234 X: TicketID:199210 ]