ว่าด้วยเรื่องเมียน้อย
ประสบการณ์จริงที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ในทุกครอบครัว
กับการมาถึงของบุคคลที่สามที่มีอิทธิพลมากพอจะพลิกสถานการณ์
ของครอบครัวให้ล้มคว่ำลงได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ในครอบครัวที่มีความ "ห่างเหิน"
และ "ความตึงเครียด" เป็นบรรยากาศหลักของบ้าน
ครอบครัวที่ทีมงานมีโอกาสได้พูดคุยในครั้งนี้
เป็นครอบครัวของคุณประสงค์ - คุณพิมลวรรณ (ขอสงวนนามสกุล)
เจ้าของธุรกิจค้าปลีกทางภาคตะวันออก
ซึ่งในวันที่เอ่ยปากเล่าถึงประสบการณ์ในอดีตนี้
เป็นวันที่พายุพัดผ่านครอบครัวของคุณประสงค์ไปแล้วเรียบร้อย
และสมาชิกในบ้านกำลังอยู่ระหว่างการก่อร่างสร้างครอบครัวขึ้นมาใหม่
ซึ่งอาจมีบางส่วนต้องปะผุใจ ทำสีใหม่กันบ้าง
ต้นตอของพายุที่คุณประสงค์เอ่ยปากยอมรับว่า
เป็นความผิดของเขาเองก็คือ
การปล่อยให้มีผู้หญิงอีกคนเข้ามาในชีวิต
โดยผู้หญิงคนนั้นคือพี่เลี้ยงของลูกที่ทำหน้าที่ทุกอย่าง
ตั้งแต่ป้อนข้าวป้อนน้ำให้กับลูก ๆ กวาดบ้านถูบ้าน ซักผ้า
ขณะที่ภรรยาต้องออกไปทำงานนอกบ้าน
ในช่วงเศรษฐกิจดี กิจการก็รุ่งเรือง มีลูกค้ามากมาย
ช่วงนั้นเป็นช่วงที่บ้านเราใช้เงินมือเติบมาก
ไปทานข้าวนอกบ้านกันประจำ เปลี่ยนรถใหม่
ลูก ๆ อยากได้อะไรซื้อให้ ไม่เคยขัดใจ ครอบครัวก็ดูจะมีความสุข
แต่พอเศรษฐกิจตกต่ำ เราต้องปลดลูกจ้างออก
กิจการก็ทำเองคนเดียวเท่าที่ไหว รายได้มันก็ลดลง
ส่วนภรรยาที่ทำงานนอกบ้านอยู่แล้ว
ก็บังเอิญต้องแบ่งเงินส่วนหนึ่งไปศึกษาต่อ
ซึ่งนอกจากจะดึงรายได้ของครอบครัวไปบางส่วน
ยังดึงเวลาที่เคยมีให้กับครอบครัวไปด้วย
ผลที่ตามมาคือ
ความห่างเหินของสามีภรรยา และ
ความตึงเครียดของบ้านเรื่องเงินไม่พอใช้
กลายเป็นความไม่เข้าใจที่สามารถปะทุขึ้นได้เรื่อย ๆ
ทันทีที่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจุดประเด็น
ความที่เราสองคนสามีภรรยาเป็นคนมีการศึกษาดีกันทั้งคู่
ที่ผ่านมา
เราก็เลยเอาแต่เรียน เอาแต่ทำงาน
ทักษะเรื่องการดูแลกัน ดูแลครอบครัว ดูแลลูกเลยไม่มี
หรือเรียกว่าไม่ค่อยจะเข้าใจความรู้สึกของคนอื่น
เมื่อเจอปัญหา ต่างคนก็ต่างเก่ง ต่างคนต่างไม่ยอมกัน
มันก็เลยทะเลาะกันบ่อยขึ้น ๆ
จนตอนหลัง ๆ ต้องนอนแยกห้อง
ผลที่ตามมาหลังจากนั้นคือ
เสาเรือใหญ่ของบ้านยอมรับว่า เขาเองก็ต้องการที่พึ่งทางใจ
นั่นจึงทำให้บุคคลที่เคยเป็นแค่พี่เลี้ยงลูกในบ้าน
เข้ามามีบทบาทแทรกกลางระหว่างคนสองคนได้
ความใกล้ชิดเป็นส่วนหนึ่ง
เพราะกิจการของเราอยู่ที่บ้าน บางทีเราเหนื่อย ๆ มา
พี่เลี้ยงเด็กคนนี้เขาก็เอาน้ำเย็นมาให้ หรือมาคอยดูแล
ซึ่งเขาเองยอมรับว่า
เคยนำไปเปรียบเทียบ
กับภรรยาที่ไม่ค่อยได้ดูแลเขาเท่าที่ควรเช่นกัน
วันที่พายุแตะพื้น
ครอบครัวที่อยู่ในบรรยากาศตึงเครียดครอบครัวนี้มาถึงจุดแตกหัก
เมื่อวันหนึ่ง คุณพิมลวรรณกลับมาบ้านก่อนเวลาปกติ
วันนั้นมีเหตุต้องกลับบ้านเร็วกว่าปกติ
แต่พอกลับมา ก็พบว่าบ้านเงียบ
เดินขึ้นมาชั้นสองก็ได้ยินเสียงกุกกัก ๆ อยู่ในห้อง
แล้วก็เสียงคนคุยกันหงุงหงิง
ตอนนั้นมือเย็นมาก
พยายามตั้งสติ
มือก็ควานหากุญแจห้อง หาให้ถูกดอก จะได้ไขทีเดียวไม่พลาด
ซึ่งหาไปมือก็สั่นไป
พอไขประตูเข้าไป ภาพที่พบก็เป็นอย่างที่คิดไว้
ซึ่งสำหรับผู้หญิงทุกคน มันเป็นช่วงเวลาที่สติแตกมาก ๆ
ยอมรับว่าเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายมาก
มันทั้งโกรธ ทั้งเกลียด ทั้งขยะแขยงสามี
มีอะไรใกล้มือเราทุ่มใส่เขาไปก่อน โวยวาย เสียงดัง
นาทีนั้น
อะไรก็เอาไม่อยู่แล้ว
ส่วนพี่เลี้ยงลูกคนนั้น เราไล่เขาออกไปในแทบจะวินาทีนั้นเลย
---------------------------------------------------------------------------
ด้านลูก ๆ ทั้งสามคน
เมื่อพบกับความแตกสลายของครอบครัว
สิ่งที่เด็กได้รับจึงหนีไม่พ้นความเจ็บปวด
ตอนนั้น
การเป็นพ่อไม่ได้มีค่าอะไรอีกเลยในสายตาลูก
จากที่ลูกเคยรักเรา เล่นกับเรา
วันหนึ่งเขากลับบอกว่า เขาเกลียดพ่อ
คำ ๆ นี้ทำให้หัวใจคนเป็นพ่อเจ็บปวดมาก
นาทีนั้นเราเลยได้คิด ว่าเราอยากได้โอกาสจากลูก
อีกสักครั้งก็ยังดี
อยากให้เขามองเราเป็นพ่อเหมือนเดิม
ไม่ใช่มองด้วยสายตาเจ็บปวดแบบนี้
นานนับเดือน
กว่าที่บรรยากาศในบ้านจะคลายความตึงเครียดลง
แต่ก็ยังไม่วายที่จะมีชนวนปะทุความขัดแย้งเป็นระยะ ๆ
เหตุจากบาดแผลฝังใจของภรรยาที่ยากจะลบเลือน
ตอนนั้น ความรู้สึกเกลียดชัง หรือแค้น มันยังมีอยู่
มันเลยทำให้เราคอยแต่จะประชดประชัน
และเล่นเกมการเมืองกับสามี
พยายามทำให้ลูกเข้าข้างเรา เห็นใจเรา
เหมือนแย่งลูกกัน ว่าลูกจะอยู่ฝ่ายใคร พ่อหรือแม่
ต่างคนต่างพยายามชี้จุดไม่ดีของกันและกันให้ลูกเห็น
ซึ่งจริง ๆ แล้วมันไม่มีประโยชน์เลย
---------------------------------------------------------------------------
แต่เมื่อเวลาผ่านไป
สองสามีภรรยาได้มีเวลาย้อนมองความผิดพลาดของตนเอง
ตลอดจนบาดแผลในใจที่ลูก ๆ ได้รับ
จึงทำให้คนสองคน
เริ่มได้สติกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง
---------------------------------------------------------------------------
ละครไม่ สอนใจ เสมอไป
แม้ชีวิตในละคร
จะเต็มไปด้วยฉากทะเลาะเบาะแว้ง หรือมีเนื้อหารุนแรง
แต่ฉากสุดท้ายของละคร
พระเอกนางเอกมักจะลงเอยอย่างมีความสุข
แต่ในชีวิตจริง ไม่เสมอไปที่จะเป็นเช่นนั้น
ตัวละครจะกรี๊ดกร๊าดแค่ไหนก็ได้ จะร้ายเพียงใดก็ได้
แต่เราต้องไม่นำมาใช้ในชีวิตจริง
เพราะเมื่อไรที่เราเอ่ยคำหยาบ
คำประชดประชัน หรือทำพฤติกรรมโวยวายเลียนแบบในละคร
ชีวิตครอบครัวเราพร้อมจะพังลงได้ในทันที
คุณพิมลวรรณยอมรับ
มันไม่เหมือนในละคร
ที่ผู้หญิงเล่นตัวได้ มีผู้ชายมาง้อ
ในชีวิตจริง
เราก็ผิดเองที่ไม่ค่อยได้มีเวลาดูแลสามี
มันต้องเข้าใจกัน ทั้งสองฝ่าย
ไม่ใช่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมาเข้าใจ หรือมาอดทนอยู่ฝ่ายเดียว
เราเองก็บกพร่องในหน้าที่หลาย ๆ อย่าง ที่ไม่ได้ดูแลสามีเท่าที่ควร
ตอนที่เกิดเรื่อง
เราใช้อารมณ์กันทั้งสองฝ่าย และพร้อมจะแตกหัก
แต่ก็มีผู้ใหญ่หลายคนให้สติ
ให้คำแนะนำในการใช้ชีวิตคู่ เช่น
ความในอย่านำออก ความนอกอย่านำเข้า
ไม่ต้องเอาเรื่องของคนในบ้านไปเล่าให้คนข้างนอกฟัง
เพราะเขาก็เล่าต่อกันไปสนุกปาก
แต่คนของเราเวลาไปเจอคนอื่นจะทำหน้าอย่างไร
จะมีหน้ามีตาในสังคมได้ไหม
แล้วก็อย่าพูดจาทำร้ายจิตใจกัน
คำหยาบ
คำประชดประชันต้องเลิก
และหันมาคุยกันจริง ๆ จัง ๆ
พยายามทิ้งความเกลียดชัง ทิ้งความขยะแขยงออกไป
ข้อสุดท้ายคือ
ถ้าไม่ถึงที่สุดจริง ๆ อย่าท้าเลิก
ด้านคุณประสงค์สามีเอง
ก็ออกมายอมรับความผิดพลาดด้วยเช่นกัน
สิ่งที่อยากได้กลับคืนมาคือโอกาสจากลูก ๆ และภรรยา
อยากทำครอบครัวให้ดีเหมือนเดิม
ความผิดพลาดมันอาจเกิดขึ้นได้
แต่หลังจากนั้นคนที่ทำผิดพลาดส่วนมาก
อยากขอโอกาสในการแก้ตัวใหม่
เพราะเราอยากได้ กำลังใจ
อยากให้คนในครอบครัวกลับมาอยู่ร่วมกัน
รักกันเหมือนเดิม อีกครั้งหนึ่ง
จากคุณ :
Learn and Live
- [
1 มิ.ย. 52 17:04:11
]