ทำอย่างไรดีนะ เมื่อฉันต้องเป็น Single Mom
เมื่อพูดถึง Single Mom หรือคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว
ผู้ที่ต้องเลี้ยงลูกตามลำพังเพียงคนเดียว
มีหลายคนอาจคิดว่าช่างเป็นภาระที่หนักอึ้ง และเป็นช่วงชีวิตที่สับสน
หลายคนไม่อยากประสบพบเจอ แต่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ดังนั้นเรามาเตรียมรับมือกับสถานภาพใหม่
และชีวิตที่กำลังจะเปลี่ยนไปกันดีกว่า
ปรับความคิดและจิตใจ
สิ่งที่เราควรจะควบคุมให้ได้ก่อนก็คือ ความคิดและจิตใจของเรานั่นเอง เพราะเมื่อเรามีจิตใจที่นิ่ง และสงบ
ก็จะทำให้เราสามารถที่จะรับมือกับปัญหาและสิ่งต่าง ๆ
ที่ตามมาได้เป็นอย่างดีค่ะ โดยแบ่งออกเป็น
1. มีสติ
การห้ามความคิดตัวเองนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก
เผลอนิดเดียวก็คิดไปได้เรื่อย ๆ แต่เราควรจะพยายามนึกให้ได้
นึกให้ออกและนึกให้ทันว่านี่เรากำลังคิดเรื่อยเปื่อย เปล่าประโยชน์จริง ๆ
การรู้ทันนี้ช่วยให้เราสามารถหยุดคิดลงได้ชั่วคราว
ซึ่งการรู้ว่าตัวเองกำลังจะคิดจะพูดหรือจะทำอะไรนั้น
เราเรียกว่าการมี "สติ"
2. สร้างความคิดเชิงบวก
ปรับเปลี่ยนทัศนะคติของตัวเองให้คิดเชิงบวก
อย่างที่ทราบมาแล้ว เมื่อเวลาเปลี่ยน
สิ่งต่าง ๆ รอบตัวของเราก็เปลี่ยนไป มีทั้งด้านดีและไม่ดี
แต่หากเรายอมรับในด้านไม่ดี แล้วนำมาปรับเปลี่ยนยอมรับ
คิดในแง่บวก
ก็จะทำให้เรามีความสุขต่อการเผชิญปัญหาที่เกิดขึ้นได้
3. รู้จักปล่อยวาง
อย่ากังวลกับเรื่องเล็กน้อย ไม่เก็บเรื่องต่าง ๆ มาคิดจนมากเกินไป
ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ
ต้องปล่อยวางบ้างอย่ายึดติดกับสิ่งต่าง ๆ มากเกินไป
--------------------------------------------------------------
เปลี่ยนการดำเนินชีวิต
เมื่อก่อนการใช้ชีวิตอาจจะเป็นไปอย่างเรียบง่าย สบาย
มีครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา รู้สึกอบอุ่น และมั่นคงปลอดภัยมากกว่าทุกวันนี้
แต่ในเมื่อชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น
เราก็จำเป็นต้องยอมรับถึงสิ่งเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
และกล้าที่จะเผชิญกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงเพื่อที่จะดำเนินชีวิตต่อไป
1. บอกความจริง
ยอมรับความจริงที่จะเกิดขึ้นกับสภาพครอบครัวในปัจจุบัน
โดยอย่าพยายามหลอกลูกว่า พ่อไปทำงาน พ่อไปทำธุระ
หรืออื่น ๆ อีกมากมาย
เพียงเพื่อปัดความรำคาญ หรือไม่รู้จะอธิบายกับลูกอย่างไร
เพราะเด็กๆ สามารถรับรู้ได้ดี และรู้ด้วยว่าแม่ปิดบังอะไรอยู่
ถ้าลูกเดินเข้ามาถามว่า พ่อหนูไปไหน
ก็ตอบลูกด้วยคำตอบง่าย ๆ ที่คิดว่าลูกพอจะเข้าใจ
หลีกเลี่ยงการต่อว่าหรือตำหนิอดีตสามี
และย้ำเสมอว่าแม้จะแยกกันอยู่แต่ทั้งพ่อและแม่ก็รักลูก
เพราะเมื่อลูกเข้าใจว่าพ่อไปไหน
เขาก็จะสามารถตอบคำถามคนอื่นที่ถามถึงพ่อของเขาได้อย่างมั่นใจ
2. กล้าเผชิญหน้ากับความจริง
เมื่อเราต้องเผชิญหน้ากับคนในสังคมที่รู้จักทั้งเราและอดีตสามี
อย่ากลัวคำถาม ควรตอบไปตามตรง โดยเฉพาะต่อหน้าลูก
และอย่ากังวลว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร
เพราะในทุกวันนี้สังคมไทย
มีการยอมรับครอบครัวพ่อ-แม่เลี้ยงเดี่ยวได้มากขึ้นแล้ว
3. ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน
เลิกยึดติดกับอดีต ถึงแม้ว่าจะไม่มีคุณพ่อมาเป็นผู้นำครอบครัว
แต่เราก็สามารถที่จะฝ่าฝันอุปสรรคเหล่านี้ให้ผ่านพ้นไปด้วยดีได้
หากเรายอมรับและพร้อมที่จะดำเนินชีวิตให้ก้าวต่อไปข้างหน้า
มาให้ความสนใจในการทำชีวิตครอบครัวที่เหลืออยู่
ให้ลูกน้อยของเรามีความสุขกันดีกว่า
4. รับผิดชอบต่อภาระที่หนักอึ้ง
เพราะเมื่อก่อนเราอาจจะมีอดีตสามีคอยช่วยเหลือ
จัดการกับภาระต่าง ๆ ของครอบครัว แต่ต่อจากนี้ไป
ภาระหน้าที่และความรับผิดชอบต่าง ๆ จะตกมาอยู่ที่เราเพียงคนเดียว
ดังนั้นจำเป็นอย่างยิ่ง
ที่เราต้องมีการบริหารจัดการกับสิ่งต่าง ๆ อย่างชาญฉลาด
เช่น ขอความช่วยเหลือจากคนอื่นบ้างเมื่อจำเป็น
มอบหมายหน้าที่ภายในบ้านให้ลูกทำตามความสามารถ ฯลฯ
แต่ต้องไม่เป็นสิ่งที่เคร่งครัด หรือเป็นการสร้างกฎระเบียบจนเกินไป
เพราะเราก็ต้องการความผ่อนคลาย
ลูกก็อยากสนุกตามประสาเด็กเหมือนกัน
5. รู้จักดูแลตัวเอง
เพราะเราจะดูแลลูกได้ดีแค่ไหน
ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราดูแลตัวเองได้ดีแค่ไหนเหมือนกัน
ถึงแม้ว่าคุณจะมีภาระมากมาย
แต่ก็ควรให้ความสนใจกับสุขภาพอนามัยของตัวเองบ้าง
รู้จักพักผ่อน
และหากิจกรรมต่าง ๆ ทำเพื่อให้ตัวคุณเองคลายความเครียดลงบ้าง
6. หาผู้ช่วย
การเลี้ยงดูแลลูกคนเดียวนั้นไม่ใช้เรื่องง่ายเลย
ผู้ช่วยที่ไว้ใจได้ และเข้าใจจึงมีความสำคัญสำหรับคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว
ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ญาติพี่น้อง เพื่อนสนิท เครือข่ายคนที่มีประสบการณ์เหมือนกัน
อย่ากลัวที่จะเอ่ยปากบอกใคร
เพราะว่าคนเหล่านั้นอาจจะช่วยเหลือคุณได้มากกว่าคิดครับ
ในการเป็น Single Mom
คุณแม่จะต้องประคองอารมณ์ของตัวเองให้เข้มแข็ง แช่มชื่น และมั่นใจ พร้อมที่จะปกป้องลูก คือเป็นทั้งพ่อและแม่พร้อมกันในตัวของคุณแม่
ดูแลลูกอย่างสายกลาง คือไม่รักและตามใจลูกจนเกินไป
ไม่ปกป้อง หรือประคบประหงมจนเกินไป
ไม่ควรดูและอย่างวิตกกังวลจนเกินไป
ไม่จุกจิกและเจ้าระเบียบกับลูกมากจนเกินไป
และไม่ควรปฏิเสธหรือลงโทษลูกมากจนเกินไป
และถ้าเราสามารถดูแลลูกให้เค้าสามารถช่วยเหลือตัวเองได้
คุณเองก็ไม่ต้องกลัวว่าลูกจะเป็นปัญหาแต่อย่างใด
หากคุณรู้สึกเหนื่อย หรือท้อแท้
ลองหันไปมองสิ่งต่าง ๆ ที่ทำมาสิครับ
ทั้งเลี้ยงลูก ดูแลบ้าน ทำงานนอกบ้าน
แล้วยังมีอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายที่ Single Mom อย่างเราทำ​ได้
และเมื่อเวลาลูกโตขึ้นประสบความสำเร็จตามที่คาดหมาย
คนที่เป็นคุณแม่ก็จะมีความภาคภูมิใจเป็นที่สุด
ที่แม้จะเป็นพลังของแม่คนเดียว
ฉันก็สามารถเลี้ยงและดูแลลูกได้เป็นอย่างดี
http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9510000132214
=========================================
แวร์ โซว...Single mum คนเก่ง
ส่งต่อเคล็ดลับออมเงินของตัวเองให้ลูก
แวร์จะใช้ประสบการณ์จากตัวเองที่คุณพ่อคุณแม่เคยสอนเรา
มาสอนลูกอีกทีหนึ่ง
เช่นเมื่อเรานำเงินไปจ่ายค่าอะไรก็ตามแต่ ก็จะให้ลูกรู้ลูกเห็นด้วย
หรือเวลานำเงินไปฝากธนาคารก็จะให้ลูกรับรู้ด้วยว่า นี่คือเงินของเขา
แม่เก็บไว้ให้เป็นทุนการศึกษา หรือค่าใช้จ่าย
ซึ่ง น้องคนดี จะเข้าใจในสิ่งที่แม่ทำให้นั่นเอง
ได้เวลากันแล้วหรือยังที่เราจะเริ่มตัดสินใจ
จัดสรรวางแผนในการลงทุนยิ่งในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเช่นนี้
ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยต่ำ
รวมถึงตลาดหุ้นเองก็ตกอยู่ในภาวะผันผวน
จากผลกระทบของปัจจัยทางด้านต่างๆ
อีกทั้งราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอีกด้วย
ดังนั้น เราควรที่จะเริ่มวางแผนการออมเงินได้แล้วตั้งแต่วันนี้
เพื่อจะมีสตางค์เก็บไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน
เช่นเดียวกับคุณแม่ลูกหนึ่งอย่าง แวร์ โซว
ที่ใครหลายคนต่างต้องยกนิ้วให้เธอเป็นยอดคุณแม่
และวันนี้เธอจะมาเผยเคล็ดลับและเทคนิคการเลี้ยง น้องคนดี
ลูกสาววัยกำลังซน ในเรื่องของการออมเงิน
ว่าเธอมีวิธีการสอนอย่างไร
ผ่านทางคอลัมน์ เจาะพอร์ตคนดัง เราลองมาฟังเธอเล่าให้ฟังกันเลย....
"แวร์" เล่าว่าจากภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น
จะเห็นได้ว่ามีคนหาอาชีพเสริมทำกันมากขึ้น
ผู้คนต่างออกมาขายของหรือออกมาทำธุรกิจกันมากขึ้นเช่นกัน
แต่ในทางตรงกันข้าม กับมีผู้มาใช้บริการหรือซื้อสินค้าน้อยลง
ซึ่งจะเห็นได้จากสิ่งใกล้ ๆ ตัว เช่น
ร้านขายเสื้อผ้าที่แวร์ขายอยู่ที่เมเจอร์รัชโยธินนั้น
มีคนเข้ามาขายของเป็นจำนวนมาก
ในขณะที่มีคนซื้อน้อยมาก
เพราะหลายคนยังไม่ค่อยกล้าตัดสินใจในการซื้อมากนักเหมือนในสมัยก่อน
เหตุเพราะภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น
ทำให้หลายคนต่างรัดเข็มขัดกันไม่ค่อยกล้าซื้อของ
ที่ตนเองคิดว่ามันสิ้นเปลือง
จึงมีแต่ผู้คนที่มาเดินดูของและไม่ค่อยกล้าตัดสินใจซื้อ
และภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในบ้านเรา
ทำให้ตัวแวร์เอง ต้องใช้จ่ายอย่างระมัดระวังมากขึ้น
เนื่องจากว่าเรามีลูกที่ต้องเลี้ยงดู ไม่ใช่ตัวคนเดียวเหมือนแต่ก่อน
อีกทั้งต้องเลี้ยงน้องคนดีเพียงลำพัง
ดังนั้นการจะจับจ่ายใช้สอยอะไรก็ต้องประหยัดมากขึ้น
ซึ่งทุกครั้งที่จะใช้จ่ายอะไรก็ตามเราจะให้ลูกเห็นเสมอว่า
เราใช้จ่ายอะไรไปและก็สอนให้เขารู้คุณค่าของเงิน
โดยจะบอกลูกอยู่ตลอดเวลาว่าแม่ใช้เงินทำอะไรบ้าง
เพื่อใครก็เพื่อลูกนั้นเอง ซึ่งลูกก็จะเข้าใจว่าตอนนี้แม่มีเงิน
ไม่มีเงินอย่างไร เขาก็จะไม่ดื้อไม่สนไม่อ้อนของในสิ่งที่ฟุ่มเฟือย
แวร์จะใช้ประสบการณ์จากตัวเอง
ที่คุณพ่อคุณแม่เคยสอนเรามาสอนลูกอีกทีหนึ่ง
เช่นเมื่อเรานำเงินไปจ่ายค่าอะไรก็ตามแต่ก็จะให้ลูกรู้ลูกเห็นด้วย
หรือเวลานำเงินไปฝากธนาคารก็จะให้ลูกรับรู้ด้วยว่า
นี่คือเงินของเขาแม่เก็บไว้ให้เป็นทุนการศึกษา หรือค่าใช้จ่าย
ซึ่ง น้องคนดี ก็จะเข้าใจในสิ่งที่แม่ทำให้นั่นเอง
เธอเล่าต่อว่า นอกจากธุรกิจร้านขายเสื้อผ้าแล้ว
แวร์ยังมีโครงการทำธุรกิจอีกหลายอย่าง
แต่ด้วยสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ทำให้ต้องมีการชะลอตัวลงไปก่อน
ทั้งนี้ในการทำธุรกิจของแวร์จะเป็นเงินหมุนเวียนที่มีอยู่ในบัญชี
เป็นการนำเงินมาต่อเงิน โดยไม่มีการไปกู้หนี้ยืมสิ้นทั้งสิ้น
เพราะว่าเรามองแล้วว่าการกู้เงินมาทำธุรกิจนั้น
มันเหมือนเป็นดาบสองคมนั้นเอง
ซึ่งถ้าเราทำแล้วไม่ประสบความสำเร็จ
เราก็ต้องเป็นหนี้ไม่มีเงินใช้เจ้าหนี้อีกมันก็ไม่ดี
ดังนั้นแวร์จึงค่อย ๆ เก็บสตางค์
มีใช้เท่าไหร่ก็แค่นั้นไม่ค่อยฟุ่มเฟือย
โดยจะใช้จ่ายอย่างระมัดระวังมากขึ้น
การออมเงินมีประโยชน์มากมายอยู่แล้ว มีมากกกว่าเสีย
เพราะถ้าเรามีเงินเก็บไว้ใช้ในอนาคตแล้ว
ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินเราไม่มีงานทำ หรือเจ็บป่วยขึ้นมา
หรือลูกอาจจะมีเหตุจำเป็นที่ต้องใช้สตางค์
เงินตรงนี้จะสามารถนำออกมาใช้ได้ทันที
โดยไม่ต้องไปรบกวนใครให้เดือดร้อน
จากการทำงานทั้งในวงการบันเทิงและธุรกิจส่วนตัวแล้ว
ย่อมเครียดเป็นธรรมดา
ดังนั้นเมื่อว่างจากการทำงานเมื่อไหร่แวร์กับน้องคนดี
จะหาหนังตลก ๆ มาดูกันในบ้านเพื่อเป็นการผ่อนคลายความตรึงเครียด
หรืออาจจะหากิจกรรมทำกับลูกที่บ้านสองคน
เช่นอาจจะหาเมนูอาหารแปลก ๆ มาลองทำกันบ้าง
หรือถ้ามีเวลาว่างมาก ๆ ในช่วงวันหยุดยาว ๆ
แวร์ก็จะพาน้องคนดีไปเที่ยวนอกสถานที่บ้างอย่าง ทะเล เป็นต้น
สุดท้าย "แวร์"บอกว่า
จากเศรษฐกิจที่ไม่ดีเช่นนี้
อย่างแรกเลยเราต้องรู้จักตัวเองก่อนว่า
เรามีรายได้เท่าไหร่ มีรายจ่ายเท่าไหร่
และต้องมีการจดบันทึกรายรับรายจ่ายเพื่อที่จะได้รู้ว่า
ในแต่ละเดือนนั้นเราจะมีเงินเหลือเก็บเท่าไหร่
และสิ่งสำคัญสิ่งที่เป็นของฟุ่มเฟือยในตอนนี้ก็ต้องงดไปก่อน
เพราะจากภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นอะไรก็เป็นสิ่งไม่แน่นอน
มีหลายคนจำนวนมากที่ตกงาน
ซึ่งคนที่มีงานทำอยู่ก็ไม่ควรที่จะประมาท
http://www.manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9520000060399
จากคุณ :
Learn and Live
- [
8 มิ.ย. 52 19:24:28
]