"นิทาน" เรื่องเล่าเล็กน้อยในบ้านที่พ่อแม่บางคนมองเป็น
เพียงเรื่องหลอกเด็ก
ความลึกซึ้งของนิทาน ไม่ได้เป็นเพียงประตูสู่ "โลกจินตนาการ"
แต่ยังเป็นสื่อการเรียนรู้ที่เปี่ยมด้วยความสุข
เป็นเครื่องมือกล่อมเกลาความคิดและจิตวิญญาณที่แยบยล
เป็นสะพานเชื่อมสายใยรักระหว่างพ่อแม่กับลูก
และเป็นประตูที่แง้มพาลูกน้อยสู่โลกใบใหญ่อย่างเข้าใจ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...
สิ้นเสียงดังกล่าว ม่านแห่งโลกจินตนาการของผู้ฟังตัวจิ๋ว
กำลังเปิดออกทีละน้อยๆ ในโลกใบนี้ราชสีห์เจ้าป่ากับเพื่อนหนูตัวน้อย
โลดแล่นด้วยกันอย่างสนุกสนาน
ในโลกใบนี้ยังมีสัตว์ในเทพนิยายอย่างมังกรไฟหรือพญานาค
เป็นตัวเอกของเรื่อง
ในโลกใบนี้มีแม่มดใจร้าย ซึ่งท้ายที่สุดก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับเจ้าชาย
และสุดท้ายเจ้าชายกับเจ้าหญิงก็แต่งงานอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
จบเรื่องเล่า หากผู้ฟังตัวน้อยยังไม่หลับฝันหวานไปเสียก่อน
วลีปิดท้ายการผจญภัยในโลกนิทานประจำค่ำคืนนั้น มักจะมีว่า
"นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า..."
นิทานเป็นวรรณกรรมที่เก่าแก่ที่สุดของโลกรูปแบบหนึ่ง
นิทานอาจมีกำเนิดพร้อมๆ กับการเกิดขึ้นของครอบครัวมนุษยชาติ
แรกเริ่มอาจเป็นเรื่องจริงที่เล่าสู่กันฟังโดยมีการเสริมแต่ง
ให้มีความมหัศจรรย์และสนุกขึ้นจนห่างไกลจากเค้าเรื่องจริง
นิทานจึงเป็นเรื่องเล่าจากจินตนาการสืบต่อกันมา
นอกจากนิทานอีสป
ที่เชื่อกันว่าเป็นที่รู้จักของเด็กและผู้ใหญ่ทั่วโลกมากที่สุด
ยังมีเทพนิยายกริมม์และนิทานการ์ตูนจากวอลท์ดิสนีย์
ที่ได้รับความนิยมจากเด็กและพ่อแม่คนไทย เป็นอย่างมาก
ขณะที่ทั่วโลกมีนิทานอีสปสั่งสอนศีลธรรมอย่างแยบคาย
คนไทยก็ยังมีนิทานชาดกสั่งสอนคุณธรรมอย่างตรงไปตรงมา
ขณะที่เทพนิยายกริมม์ของคนทั่วโลกมีเรื่องราวของ
"ซิน เดอเรลล่า" สาวน้อยอาภัพที่พบกับความโชคดีในตอนท้ายสุด
อันเนื่องมาจากความดีของเธอ
นิทานพื้นบ้านของไทยก็มีเรื่องราวของนางเอื้อยใน "ปลาบู่ทอง"
นิทานพื้นบ้านของไทยหลายต่อหลายเรื่องเป็นตำนานของท้องถิ่น
ที่เล่าสืบทอดกันมานานนับร้อยนับพันปี
ส่วนใหญ่เป็นการอธิบายความเชื่ออันเป็นที่มาของวัฒนธรรมประเพณี
และกำเนิดของสถานที่สำคัญในท้องถิ่น
รวมถึงเป็นชุดความคิดที่อธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ
และความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตต่างๆ บนรากฐานความคิดของคนโบราณ
ซึ่งบ่อยครั้ง มักแฝงซึ่ง "โบราณอุบาย"
หรือภูมิปัญญาของบรรพบุรษในการให้คติแง่คิดกับอนุชนรุ่นหลัง
การเล่านิทานพื้นบ้านไทย
จึงเป็นหนทางในการเรียนรู้รากเหง้าทางความคิดของคนรุ่นก่อน
และเป็นอีกแนวทางในการ รักษาความเชื่อ ทัศนคติ วิถีชีวิต
และวัฒนธรรมของสังคมไทยให้สืบทอดต่อไป
แต่ไม่ว่าจะเป็นนิทานสัญชาติใด
หัวใจสำคัญของนิทานก็คือส่งเสริมให้เด็กได้ใช้ "จินตนาการ"
"อยากให้เด็กฉลาดก็เล่านิทานให้ฟัง
อยากให้ฉลาดขึ้นไปอีกก็เล่านิทานมากขึ้นอีกเท่านั้นเอง"
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
เคยให้คำแนะนำนี้กับคุณแม่ท่านหนึ่งที่อยากให้ลูกกลายเป็นอัจฉริยะ
ในแต่ละคืนที่นิทานจบลงพร้อมกับหน้าที่ส่งผู้ฟังตัวจิ๋วให้นอนหลับฝันดี
ทว่าต่อมจินตนาการของหนูน้อยยังไม่จบ เส้นใย ประสาทในสมอง
โดยเฉพาะซีกขวากำลังขยายตัว
ผลวิจัยทางการแพทย์ยืนยันว่า
การเล่านิทานเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการกระตุ้นเซลล์สมอง
และเสริมสร้างความฉลาด (Quotient) รอบด้านให้กับลูกน้อย
เด็กที่ได้ฟังนิทานจึงมักมีเส้นใยสมองมากกว่าเด็กคนอื่น
นั่นหมายถึงความสามารถในการคิดเชื่อมโยงหาเหตุผลและแก้ปัญหา
ก็ย่อมมากกว่าเด็กคนอื่น
แต่ทั้งนี้ การเล่านิทานจะได้ผลสูงสุด
กับเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาจนถึง 6 ขวบ เท่านั้น
ดังนั้นหากพ่อแม่เริ่มเล่านิทานให้ลูกน้อยฟังก่อนวัย 6 ขวบ
โอกาสที่ลูกจะกลายเป็นเด็กอัจฉริยะในด้านต่างๆ ก็มีมากขึ้น
แต่หากช้ากว่าวัยนี้แล้วก็อาจจะสายเกินไป
จึงไม่ใช่เรื่องที่กล่าวหากันจนเกินไปนักที่จะพูดว่า
พ่อแม่ที่ไม่เล่านิทานให้ลูกในช่วงวัยนี้ฟังเท่ากับ
กำลังตัดโอกาสความเป็นอัจฉริยะ (Quotient) ของลูกรัก
นักวิชาการด้านพัฒนาการเด็กหลายประเทศยังเห็นตรงกันว่า
นิทานอาจจะเป็นสื่อชนิดเดียวในยามนี้ที่สามารถสื่อกับเด็กเล็กได้ดีที่สุด นิทานถือเป็นสะพานที่สำคัญและ สวยงาม
ที่พ่อแม่สามารถใช้เชื่อมสู่โลกของลูกน้อยได้อย่างแนบเนียน
และเป็นเครื่องมือปลูกฝังคุณธรรมและจิตใจอันอ่อนโยน
ให้กับลูกน้อยได้อย่างแยบยล
แต่ไม่ว่าจะเป็นนิทานเรื่องใดของชนชาติไหน
นิทานที่ถือว่าดีที่สุดสำหรับลูกน้อยก็คือนิทานที่มีพ่อแม่เป็นผู้เล่า
"จริงๆ แล้ว แง่งามของการเล่านิทานคือ
การที่พ่อแม่ได้มีโอกาสปฏิสัมพันธ์และโต้ตอบกับลูกน้อย
โดยไม่จำเป็นต้องเล่าจากหนังสือ
อาจแต่งขึ้นเองจากจินตนาการของผู้เป็นพ่อแม่
และโยนคำถามให้ผู้ฟังตัวน้อยช่วยจินตนาการต่อเติม
นิทานประจำบ้านเรื่องนี้ด้วยก็ยิ่งดี"
แก้ไขเมื่อ 07 ก.ค. 52 18:49:01
จากคุณ :
Learn and Live
- [
วันอาสาฬหบูชา 18:48:25
]