|
ความคิดเห็นที่ 37 |
ตอนนี้ตรวจสกรีนออกมาบอกว่าคุณมี่มีภาวะเสี่ยงกับการเป็นเบาหวานแต่ก็ยังไม่ได้ฟันธงว่าจะเป็นเบาหวานนะคะ คงต้องรอดูผลจากการทำglucose tolerance test ก่อนซึ่งผลออกมาอาจจะไม่เป็นก็ได้ค่ะ
แต่หากเป็นก็อย่าลืมถามคุณหมอดูนะคะว่าเป็นเบาหวาน(diabetes mellitus)หรือเป็นเบาหวานที่เกิดในช่วงตั้งครรภ์(gestational diabetes) แต่จากค่าน้ำตาลในเลือดที่วัดออกมาได้ที่คุณมีบอก 162 mg/dL นั้นโอกาสที่คุณมี่จะเป็นเบาหวาน(diabetes mellitus)นั้นคงน้อยค่ะ แต่อาจจะเป็นเบาหวานที่เกิดในช่วงตั้งครรภ์(gestational diabetes)มากกว่าเพราะหากค่าน้ำตาลในเลือดจากการทำ Glucose screening test มากกว่า 200 mg/dL ทางการแพทย์จะถือว่าเป็นเบาหวานเลยไม่ต้องทำ glucose tolerance test ต่อ แต่หากค่าน้ำตาลในเลือดจากการทำGlucose screening test อยู่ระหว่าง 140-160 มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็น เบาหวานที่เกิดในช่วงตั้งครรภ์ จึงต้องทำ glucose tolerance test อย่างที่คุณมี่กำลังจะไปทำนั่นล่ะค่ะ
ตอนนี้สิ่งที่ทำได้มากที่สุดคือ คิดว่าทุกปัญหามีทางออก เอาความกังวลเรื่องกลัวว่าจะเป็นเบาหวานมาจัดการกับพฤติกรรมการกินของเราใหม่ดีกว่าค่ะ ยิ่งคุณมี่มีญาติใกล้ชิดซึ่งก็คือคุณแม่เป็นเบาหวานด้วยแล้ว ยิ่งต้องระวังเรื่องอาหารการกินมากกว่าคนปกติ
จริงๆแล้วอาหารแทบทุกชนิดก็มีน้ำตาลนะคะ เพียงแต่ว่าเราต้องทานอาหารที่มีน้ำตาลในปริมาณที่ร่างกายสามารถกำจัดได้
อย่างเราอยู่ที่แคนาดานี่เราก็หาอาหารไทยทานยากค่ะ แต่เราทำอาหารกินเองแทบทุกวันเพราะเราไม่ชอบทานอาหารฝรั่ง มันไม่ถูกปาก แต่อาหารฝรั่งบางประเภทก็ดีกับคนท้องนะคะอย่างพาสต้ามีทซอสเป็นต้น
และดีหน่อยที่ว่าแม้เมืองที่เราอยู่จะเป็นเมืองเล็กแต่ก็มี เอเชี่ยน โกรสเซอรี่ ให้สามารถหาเครื่องปรุงของอาหารไทยได้ ร้านอาหารไทยก็มีพอสมควรทำอร่อยด้วย แต่ให้ไปนั่งกินทุกวันคงไม่ไหวเพราะจานนึงก็ไม่ถูกเลย จริงๆคุณมี่อยู่อเมริกานี่ ร้านเอเชี่ยน โกรสเซอรี่นี่ก็เยอะนะคะ น่าจะหาของมาทำอาหารไทยได้ง่าย
อยู่ที่นี่อย่างข้าวนี่เราทานข้าวกล้องทุกวันเลยค่ะ เราทานตั้งแต่สมัยเราอยู่เมืองไทยแล้วพอมาอยู่นี่เราก็ทานข้าวกล้องแต่ดีหน่อยตรงที่หาซื้อได้สะดวกทั้งในซุปเปอร์มาเกตของฝรั่งและเอเชีย
ส่วนผักและผลไม้เราทำฟรุตสลัดทานทุกวันเลยค่ะหลังอาหารเช้า-เย็น บังเอิญเป็นคนที่ไม่ชอบทานของหวานเท่าไหร่เพราะกลัวฟันผุค่ะ ผลไม้ที่ชอบมากเป็นพิเศษคือ persimmon เหมามาหมดทั้งซุปเปอร์สโตร์เลยจนพนักงานในซุปเปอร์หัวเราะ จำหน้าได้เลยคนนี้ ... อิอิ เพราะเป็นผลไม้ที่หวานกรอบอร่อยมาก โดยเฉพาะหากเป็น Product of South Africa
เราว่าผลไม้ที่นี่หลายชนิดก็อร่อยกว่าที่เมืองไทยนะ อย่างองุ่น กับ ส้มนี่จะอร่อยมาก ของหวานก็ทานบ้างเป็นบางครั้ง แต่จะเป็นคนที่ทานผลไม่เก่งมากๆ ตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็กโน่นเลย
ส่วนผักก็เป็นอาหารที่เราขาดไม่ได้เลยทุกวัน เมนูอาหารบนโต๊ะของเราทุกวันจะต้องมีผักเป็นส่วนประกอบเพราะผักมีเส้นใยทำให้ท้องไม่ผูก และเป็นแหล่งของกรดโฟลิคด้วย
ตอนเช้าก็ทานกล้วยหอมวันละสองลูก บวกซีเรียลกับนม กล้วยหอมเป็นอะไรที่เราชอบมากเพราะเป็นผลไม้ที่ควบคุมความดันได้ดี ไม่มีวันไหนเลยที่เราจะไม่กินกล้วย คนท้องนอกจากจะต้องระวังเรื่องเบาหวานแล้ว ความดันสูงก็ต้องระวังด้วย เพราะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดครรภ์เป็นพิษด้วย
อาหารจานปลาก็เป็นอาหารที่เราชอบมาก ก่อนท้องเราทานปลาแทบทุกวันเพราะเป็นอาหารที่คอเรสเตอรอลต่ำ อยู่ที่นี่หาทานปลาได้ง่ายพอๆกับเนื้อหมู เนื้อวัวเพราะอยู่ติดทะเล แต่ปลาที่ทานจะเป็นปลาทะเลส่วนใหญ่ปลาน้ำจืดก็มีบ้างแต่ไม่บ่อยนัก และมักจะแพง
แต่พอท้องเราก็ทานปลาอาทิตย์ละสองครั้งเท่านั้นเพราะแม้ว่าปลาทะเลจะมีโอเมกก้าทรีอยู่มากแต่เนื่องจากมีสารปรอทปนเปื้อนด้วย ก็ทำให้ต้องจำกัดเป็นอาทิตย์ละสองครั้งเท่านั้น ปลาส่วนใหญ่ที่เราทานจะเป็นปลาที่มีLOWEST MERCURY อย่าง Salmon, Tilapia, Sardines, Haddock, Herring, Perch (ocean) เป็นต้น และก็พวก red snapper จริงๆอยากทานพวกปลาเล็กปลาน้อย ปลาดุกย่าง ปลาช่อนมากแต่ไม่มีให้ทาน เลยต้องอดกานนนต่อไป..
ทุกวันนี้เราก็ทำอาหารไทย+อาหารจีน+อาหารอิสาณ ทานทุกวันสลับกันไปค่ะ เพราะกินแล้วเจริญอาหารกว่าอาหารฝรั่งเยอะเลย ได้เส้นใยและครบห้าหมู่ด้วย
หากคุณรี่ทานนมไม่ได้ก็ลองทานน้ำส้ม ของทรอปิคานา หรือ ยี่ห้ออะไรก็ได้ที่เค้าติดป้ายว่า ใส่แคลเซียมเข้าไปดูสิคะ เพราะน้ำผลไม้แบบนี้เค้าทำมาให้สำหรับคนที่ไม่ชอบดื่มนมวัวอยู่แล้ว
ส่วนนมที่เราทานจะเป็น skim milk และ lactose free ทั้งหมดเพราะทานแล้วท้องไม่เสีย น้ำตาลน้อยและไม่มีไขมัน
ช่วงนี้คุณมี่คงต้องงดทานอาหารที่หวานลงไปหน่อยแล้วล่ะค่ะ จะตามใจปากเหมือนแต่ก่อนคงไม่ได้ เพราะจะไม่เป็นผลดีกับตัวคุณมี่และน้องปิ้นมุกเอง
โดยส่วนตัวเราแนะนำให้ทานอาหารตามปกตินะคะ อย่าไปอด เพราะจริงๆแล้วอาหารแทบทุกชนิดก็มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบ เพียงแต่ว่าเราต้องทานอาหารที่มีน้ำตาลในปริมาณที่ร่างกายสามารถกำจัดได้ ดังนั้นเวลาจะซื้ออาหารแต่ละอย่างมาทานคงต้องดูที่ Nutrition Fact ข้างกล่องทุกครั้งหรือเปิดดูในอินเตอร์เนต เพราะจะได้รู้ว่ามีปริมาณน้ำตาลอยู่กี่กรัมในอาหารแต่ละประเภท หรือไม่ก็ลองปรึกษา dietitian ดูค่ะ
และขอให้โชคดีกับการทำ glucose tolerance test นะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ
จากคุณ |
:
Bunnie
|
เขียนเมื่อ |
:
25 ก.ค. 52 10:26:01
|
|
|
|
|