Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เลี้ยงลูกโดยให้ธรรมชาติสอน.... ให้เราเป็นผู้ดูแล...  

จริง ๆ ก็ไม่เคยคิดตั้งกระทู้ทำนองนี้ค่ะ  เพราะคิดว่ามันแตกต่างกับวิธีการเลี้ยงดูสมัยใหม่  ซึ่งต้องมีระเบียบแบบแผน  ระวังโน่น นี่มาก  แต่ที่มาตั้งกระทู้เพราะเชื่อว่า ยังมีค่ะ ไม่น้อยทีเดียวสำหรับแม่ ๆ ที่อยากเลี้ยงลูกแบบธรรมชาติ  แต่ไม่กล้าขัดกับตำราหรือคำแนะนำหมอที่ได้แนะนำมา  จึงอยู่ในทำนองที่กล้า ๆ กลัว ๆ


แต่จะมา confirm ค่ะ ไม่ต้องกลัวการเลี้ยงลูกแบบธรรมชาติว่าจะทำให้ลูกเจ็บ ป่วย หรือเป็นนั่นนี่ สารพัดโรค  ตรงกันข้ามคนที่เลี้ยงลูกแบบธรรมชาตินี่แหล่ะค่ะ  สุขภาพจิตคุณแม่ดี  สุขภาพกายคุณลูกดี  เพราะโดยธรรมชาติสิ่งที่มีชีวิตทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาในโลกนี้  สามารถปรับตัว และมีชีวิตยืนอยู่ได้ด้วยตัวเองค่ะ  ไม่ใช่เกิดมาต้องเลี้ยงแบบอนามัย สะอาดมาก นั่น นี่ ก็ไม่ได้ เดี๋ยวติดเชื้อนั้น เชื้อนี้  นี่แหล่ะค่ะ ถ้าเลี้ยงแบบนั้น  โดยมีเหตุผลที่น่าฟังว่า เพราะสิ่งแวดล้อมตอนนี้มันสกปรก มันไม่เหมือนสมัยก่อน จึงต้องระมัดระวังให้สะอาด ให้อนามัยมาก ๆ นั่นแหล่ะจะได้พบหมอกันบ่อย ๆ แน่นอนค่ะ  หรือไม่ก็เป็นภูมิแพ้กันแน่นอน


เพราะร่างกายของเราถ้าไม่เคยสกปรกเลย  ร่างกายจะสร้างภูมิต้านทานหรือภูมิคุ้มกันออกมาได้อย่างไร  ดังนั้นอะไรที่ดูแล้ว มันไม่ได้สกปรกไปซะจนเกินเหตุ ก็ไม่ต้องไปห้ามลูกนักหรอกค่ะ  ปล่อยให้เขาคลานไปโน่นนี่ จะอมอะไรบ้างคงไปตามดูกันได้ไม่หมด  ถ้าห้ามไปหมดซะทุกอย่าง เลี้ยงลูกแบบสะอาดสุด ๆ ทุกอย่างต้องฆ่าเชื้อกันไปหมด ไม่นานหรอกค่ะ เมื่อลูกต้องออกไปรับสภาพความจริงนอกบ้านที่ไม่ได้สะอาด ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อ ลูกจะเจ็บป่วยง่าย จะเป็นภูมิแพ้  เพราะร่างกายไม่เคยได้สร้างภูมิคุ้มกันอะไรเลย  อย่าลืมค่ะ ธรรมชาติเป็นสิ่งสกปรก  และธรรมชาติจะไม่ปรับตัวหามนุษย์  มนุษย์ต่างหากต้องเป็นฝ่ายปรับเข้าหาธรรมชาติให้ได้ จะอยู่แบบสวนทางกับธรรมชาติเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ


การปล่อยให้ลูกถอดรองเท้าเดินบ้าง (ถ้ามองแล้วว่าไม่มีเศษแก้ว หรือสิ่งของอันตรายตรง ๆ นั้น)  จะทำให้ร่างกายแข็งแรงค่ะ เช่นตอนเช้า ๆ รับอรุโณทัย ที่พื้นสนามหญ้าจะมีน้ำค้างบนยอดหญ้า ให้ลูกถอดรองเท้าแล้วพาเดินค่ะ รับกระไอดิน  จะทำให้ร่างกายได้ปรับธาตุร้อน ธาตุเย็น ทำให้ร่างกายแข็งแรงค่ะ เวลามีอากาศเปลี่ยนแปลง ร้อน หนาว ลูกจะได้ไม่เจ็บไม่ป่วยง่าย  ไม่ใช่อากาศเปลี่ยนทีก็เป็นภูมิแพ้ที


ในสมัยโบราณ(สมัยพุทธกาล) คนที่เขาเป็นเรื้อนแขนกุดขากุด  เขารักษาด้วยวิธีขุดหลุมใหญ่ แล้วเอาคนเป็นเรื้อนเขาไปฝังเลยค่ะ เหลือแค่คอเอาไว้ ฝังไว้ 10 ปี หายจากโรคเรื้อนเลย  หายหมายความว่าไม่กุดไม่ด้วนต่อ  เพราะในดินมีธาตุที่เป็นประโยชน์ค่ะ


หรือในสมัยพุทธกาล พุทธะ ให้ภิกษุเดินจงกรมก่อนแสงอรุโณทัยขึ้น โดยถอดรองเท้า เพื่อรับประโยชน์จากไอดินเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง  


ให้ลูกสัมผัสดินทรายบ้างค่ะ  ไม่ต้องกลัวความสกปรก  ถ้าร่างกายไม่รู้จักสิ่งสกปรก จะรู้จักสิ่งสะอาดได้อย่างไร  จะรู้ได้อย่างไรว่าถึงเวลาต้องผลิตสารออกมาสู้ ออกมาต่อต้านกับเชื้อโรคแล้ว  สังเกตุไหมคะ เด็กสมัยนี้เจ็บป่วยบ่อย ยอมรับไหมคะ  โรงพยาบาลเอกชนรวย ๆ กันทั้งแหล่ะ หุ้นของ รพ.ขึ้นเอาขึ้นเอา แพงเอา แพงเอา ผลประกอบการดีขึ้น ดีขึ้น ทุกปี ทุกปี  เด็กจะล้นโรงพยาบาลอยู่แล้วค่ะ  นิดหน่อยต้องนอนโรงพยาบาล ไม่ได้พูดเล่นหรือประชดนะคะ นี่เรื่องจริงค่ะ บางทีโดนยุงกัด หรือมดกัดหลาย ๆ ตัว จะมีอาการตัวรุม รุม ร้อน ๆ พอเข้า รพ.ที หมอก็เหลือเกิน จับนอนอย่างน้อย 1 คืน   ก็เป็นแบบนี้แหล่ะค่ะ  แล้วก็จะเป็นเรื่อย ๆ เมื่อได้เข้า รพ.รับยานั้นยานี้ ร่างกายก็เคยชิน เจ็บป่วยทีเลยสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเองไม่ได้ ต้องรอรับยาอย่างเดียว แบบนี้ไม่ไหวค่ะ เหนื่อยตายทั้งแม่ทั้งลูก


สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่เลี้ยงลูกตั้งแต่วัยคลาน อยากฝากไว้ค่ะ

ฝากไว้นะคะ  สำหรับคำ ๆ นึง..............     " ให้ธรรมชาติเป็นผู้สอน.....ให้พ่อแม่เป็นผู้ดูแล "  คำ  ๆ นี้ ความหมายยังไง  จะเล่าให้ฟังด้วยประสบการณ์ที่เลี้ยงลูกสาวอายุ 1 ขวบกับ 2 เดือนค่ะ  


ตั้งแต่เริ่มคลาน.....อย่ากลัวว่าลูกจะคลานไปหยิบจับ นั่น นี่ เข้าปากแล้วสกปรกอย่างนั้นอย่างนี้  บางคนถึงขนาดไม่ให้ลูกคลานเพราะพื้นแข็งบ้าง  เพราะกลัวเข่าด้านบ้าง  ..... ปล่อยให้ลูกคลานเถอะค่ะ  เพราะการคลานจะทำให้ร่างกายช่วงไหล่ ช่วงอก แข็งแรง  ได้คิดแก้ปัญหาด้วยตนเอง  และการคลานจะเป็นพื้นฐานของการตั้งไข่ด้วย   เพราะการคลานผู้ใหญ่อย่างเรา ๆ ก็จะเห็นเป็นเรื่องแค่คลาน  แต่สำหรับเด็กมันคือประสบการณ์ในโลกในชีวิตของเขาที่น่าตื่นเต้น น่าแก้ปัญหาด้วยตัวเองนะคะ  จะเล่าเรื่องเล็ก ๆ แต่ผลที่ได้  มันไม่เล็กให้ฟังค่ะ  


วดี(ชื่อลูกสาวค่ะ)  ยายพาวดีไปที่สวนสาธารณะของหมู่บ้าน  วดีคลานไปกับพื้นซีเมนบ้าง  พื้นสนามหญ้าบ้าง  พื้นทรายล้างบ้าง (ดูที่ไม่คมนะคะ)  ที่จะเล่าให้ฟังก็คือที่สนามหญ้าผืนใหญ่มีลักษณะเทลาดลงไปประมาณ 45 องศา  ยายเห็นว่า  วดีเขาอยากคลานเล่น เพราะเขากำลังสนุกมาก ๆ และยายก็มองเห็นแล้วว่า  ถ้าวดีคลานลงไปหัวทิ่มแน่ ๆ  เพราะพื้นที่ลาดขนาดนั้น ถ้าไม่คุมระดับของความเร็วในการคลาน หัวดิ่งแน่ค่ะ  ซึ่งแน่นอน เด็กอายุแค่นี้ไม่สามารถควบคุมความเร็วของตัวเองได้แน่นอน  แต่ยายก็ไม่ช่วยค่ะ  ไม่ช่วยและไม่ห้าม  ปล่อยให้วดีคลาน


วดีเขาคลานลงไปจริง ๆ แต่เขาเปลี่ยนเป็นเอาเท้าทั้ง 2 ข้างวางบนพื้นหญ้า นึกออกไหมคะ  ก้นจะโด่ง ๆ มือ 2 ข้างก็สัมผัสที่หญ้าเหมือนลักษณะคลาน  แต่ฝ่าเท้าวางบนพื้นแทนหัวเข่าและก้นโด่ง  

ตรงนี้ !!!!!    เชื่อไหมคะ  ถ้าเป็นพ่อแม่คนอื่น วิ่งไปอุ้มลูกขึ้นแน่นอน ไม่ให้คลานต่อ เพราะเดี๋ยวหัวทิ่ม ม้วนหน้าลงไปกลิ้งโค่โล่แน่  หรือไม่ก็อุ้มเขาไปสู่จุดหมายคืออุ้มลงมาวางที่พื้นหญ้าที่ราบด้านล่างอย่างที่เขาต้องการ   ....... แต่ของวดียายไม่ห้ามค่ะ ปล่อยให้ทำ และคอยดูว่าเขาจะคลานลงไปได้ไหม    ผลค่ะ  .....  วดีอุทานออกมา โอ๊ะ โอ๊ะ  แล้วรู้ไหมคะ เขาทำยังไง   ฟังนะ


วดีไม่ได้หยุดคิดอะไรเลย  นี่แหล่ะค่ะ  สำคัญตรงนี้   การไม่ได้หยุดคิดนี่แหล่ะคือ  ธรรมชาติสอนค่ะ สอนด้วยสัญชาติญาณ  ทันทีทันใดวดีหยุดคลาน แล้วเปลี่ยนเป็นเอาขาทั้ง 2 ข้างขยับเดินแบบขาปูค่ะ  นึกออกไหมคะ  คือค่อย ๆ ขยับไปทางซ้ายที ทางขวาที ค่อย ๆ ลงไปทางขวาง เพื่อหัวตัวเองจะได้ไม่ทิ่มและกลิ้งโค่โล่ลงไป สำเร็จค่ะ เขาคลานลงสนามหญ้านั้นได้โดยหัวไม่ทิ่มและตัวไม่กลิ้งลงไป แต่ค่อย ๆ ลงไปด้วยการเดินแบบปู  เห็นไหมคะ ถ้าคุณปล่อยให้ลูกได้ตัดสินใจ ได้คิดเองบ้าง  ลูกเขาทำได้ค่ะ  แต่ผู้ใหญ่มักช่วยค่ะ ช่วยนั่น นี่ เพราะกลัวเขาบาดเจ็บ  นั่นคือสิ่งที่ทำให้เขาไม่ได้แก้ปัญหาด้วยตัวเองต่างหาก


เมื่อลูกกำลังหัดเดิน หรือตั้งไข่   คุณพ่อคุณแม่ อย่ากลัวหรืออย่าระวังให้ลูกจนมากเกินไปนะคะ  ยังไง......  


เด็กเมื่อเริ่มตั้งไข่ได้  นั่นคือธรรมชาติจะกำหนดให้ร่างกายยืดขึ้นตั้งฉากกับพื้น  แรก ๆ ก็ยังตั้งฉากได้ไม่ดีนัก เซบ้าง ถลาบ้าง  ปล่อยและคอยดูไป เมื่อเริ่มยืนได้ตรง  เริ่มก้าวขา  ก้าวแรกได้  การเดินของลูกจะค่อย ๆ พัฒนาไป เริ่มจากก้าวแรกที่ก้าวได้ช้า ๆ ค่อยเป็นค่อยไป  ไปจนก้าวที่สอง ก้าวที่สาม ก้าวที่สี่  คุณปล่อยให้ลูกเดินไปเลยค่ะ


อย่า ! คอยวิ่งตามลูก แล้วไปจับลูก กลัวว่าลูกจะเซ จะล้ม  ไม่ต้องกลัวค่ะ  ต้องปล่อยให้ล้มบ้าง  เพราะการล้มของลูก บอกให้รู้ระดับการทรงตัว ว่ายังไม่ดี  ดังนั้นต้องฝึกให้ลูกทรงตัวให้ได้ค่ะ  เขาจะล้มบ้างก็ไม่ต้องไปกลัวว่าปากจะแตก คิ้วจะแหก  ไม่ต้องกลัวค่ะ  มันจะเจ็บบ้าง ปวดบ้าง เรื่องธรรมดา ๆ ค่ะ  (โตไป ไปเล่นกับเพื่อน เจ็บกว่านี้อีกค่ะ)  หรือไม่ก็แก้ปัญหาด้วยเวลาฝึกเดินก็ให้เดินในที่ที่พื้นไม่ใช่เป็นแบบทรายล้าง หรือให้เป็นพื้นธรรมดา ล้มลงไปจะได้ไม่ต้องเจ็บมาก แต่อย่าเป็นพื้นนิ่ม ๆ นะคะ เพราะมีผลต่อการทรงตัว


และเวลาที่ลูกล้ม คุณก็อย่าทำหน้าตาตื่นตกอกตกใจ หรือทำเสียงดังโวยวายรีบวิ่งไปอุ้ม อย่าทำแบบนั้นค่ะ ไม่งั้นนะคะ เขาเห็นคุณมีทีท่าแบบนั้น เขาจะร้องไห้เลย เพราะเขาตกใจ และคิดว่าเป็นเหตุการณ์ที่รุนแรง    รู้แหล่ะค่ะว่ารัก  แต่รักให้ถูกทาง  เมื่อลูกล้ม ปล่อยให้ล้มแล้วบอกลูกด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ว่า  "ลุก ลูก ลุก"  หรือชื่อลูก ยังไงก็ได้ที่สำคัญต้องเสียงเรียบเหมือนเป็นเรื่องธรรมด้า... ธรรมดา ไม่มีอะไรเลย  แล้วยื่นมือให้จับในครั้งแรก เพราะเขาอาจะจะยังลุกไม่เป็น  ให้เขาลุกขึ้น ปล่อยให้ทรงตัวเพื่อเดินก้าวต่อไป  แล้วพอครั้งต่อไปนะคะ ถ้าเขาล้มเขาจะลุกเองได้


เพราะถ้าคุณไม่ปล่อยให้ลูกล้มเลย  พอลูกหัดเดิน เซหน่อย วิ่งเข้าไปพยุง  เซหน่อย วิ่งเข้าไปรับ เซหน่อย วิ่งเข้าไปจับแขนชูขึ้นฟ้าทั้งสองข้างแล้วพาก้าวเดิน  ..........ระบบการทรงตัวของลูกจะไม่ดีค่ะ  เขาจะเดินในที่แคบ หรือในที่ชันได้ไม่ดี เพราะทรงตัวไม่อยู่  อีกหน่อยนะ  วิ่งไปเจอพื้นที่ไม่เสมอกัน สูงบ้าง ต่ำบ้าง  ก็จะล้ม เพราะทรงตัวไม่ได้    แล้วเวลาถ้าเขาเดินแล้วล้มเอง ที่อยู่นอกสายตาเรา  เขาจะนั่งร้องไห้ ไม่ยอมลุก จนกว่าจะมีคนมาอุ้ม  อยากให้ลูกเป็นแบบนั้นหรือคะ  เพราะเขาลุกเองไม่ได้ เคยมีแต่คนมาประคองให้ลุกขึ้น  แล้วคุณจะอยู่กับลูกได้ 24 ชม.หรือไม่ ตามปรนนิบัติได้ 24 ชม.หรือไม่  เพราะบางครั้งมันก็มี  ที่เขาอยู่เล่นของเขาเองตามลำพัง


และยังมีข้อเสียในทางอ้อมก็คือ  สร้างนิสัยโยเย  เอาแต่ใจ ให้กับลูก  พอไม่มีใครเขาไปโอ๋ เข้าไปอุ้ม ก็จะร้องเพื่อเรียกร้องให้มีคนมาประคับประคอง  อีกหน่อยก็กลายเป็นเด็กไม่น่ารัก เบบี๋ทำอะไรก็น่ารักหมดแหล่ะค่ะ พอเริ่มขึ้นอนุบาลถ้าเป็นแบบนี้บ่อย ๆ เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่ปวดศรีษะแน่นอน เพราะเด็กวัยขนาดนี้เริ่มหมดความน่ารักแล้ว เพราะเขามีความเป็นตัวเป็นตนของเขาขึ้นมา ทำอะไรด้วยเจตนาแท้ของตัวเอง ไม่เหมือนเบบี๋ ที่ทำอะไรยังทำด้วยใจธรรมชาติ ไม่มีเจตนาแฝงก็เลยดูบริสุทธิ์ ดูน่ารักน่าทะนุถนอม  ทีนี้... พอคุณโมโหหมดความอดทน คุณก็จะตีเขา  ทั้ง ๆ ที่เขาไม่รู้ตัวเลยว่าเขาทำผิดอะไร  เพราะตั้งแต่เกิดมา นั่งร้องก็มีแต่เข้ามาอุ้ม ทำอะไรก็มีแต่คอยประคับประคอง  ทำให้เด็กสับสน ยิ่งมีพฤติกรรมโยเย เรียกร้องใหญ่เลย  ก็ยิ่งทำให้น่ารำคาญ ไปกันใหญ่เลยทีนี้  จากลูกเราที่น่ารัก  แต่ถ้าเราเลี้ยงผิด เรานั่นแหล่ะคือผู้ทำร้ายเขาค่ะ


เด็กทุกคนฉลาดค่ะ  โดยเฉพาะเด็กวัยยังไม่ถึง 3 ขวบ  เขาฉลาดกว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่อีก เพราะเขามีธรรมชาติคอยสอน โดยที่ผู้ใหญ่อย่างเรา ๆไม่รู้เลย  เพราะฉะนั้น เวลาเลี้ยงลูกวัยหนึ่งขวบ  ปล่อยให้ลูกได้แก้ไขปัญหาเองนะคะ  ใจเย็นดูเขาค่ะ ว่าเขาจะทำยังไง ถ้าเราไม่บอก  ไม่ต้องรีบช่วยทำให้สำเร็จผลโดยฝึมือเรา  แต่ให้มองและคิดอย่างสนุก ๆ ว่า เอ้า ดูซิแล้วจะทำยังไง  เมื่อเขาทำได้ครั้งแรก  ต่อไปเขาจะมีวิธีคิดที่ดีขึ้น ละเอียดขึ้น ดีขึ้นไปอีกเรื่อย ๆ นั่นเป็นการสอนปัญญาให้ลูกด้วยค่ะ  ทำให้เขาใช้ปัญญาในการแก้ไขปัญหา  ทำให้เขาเป็นผู้ใหญ่  ไม่ใช่อะไรๆ ก็ร้องเหมือนเด็กเลย แบบนั้นไม่ดีแน่ ๆ โตไปหมดความน่ารักค่ะ

ฝากไว้นะคะ เรื่องนิดเดียว เรื่องเล็ก ๆ ถ้ามองข้ามมันสร้างเรื่องใหญ่ให้เราได้ค่ะ

จากคุณ : Jo_Smart
เขียนเมื่อ : 19 ต.ค. 52 00:05:35




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com