|
ความคิดเห็นที่ 6 |
การฝึกพูด
โดย...อ.ศรีทนต์ บุญญานุกูล ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ความสามารถในการรับรู้ และเข้าใจคำพูดตลอดจนการพูดสื่อความหมาย เป็นปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นกับเด็กออทิสติก ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาการทางภาษา และการพูดเมื่อถึงวัยอันสมควร ก่อให้เกิดความวิตกกังวลแก่บรรดาบิดามารดา ผู้เกี่ยวข้อง และผู้ใกล้ชิดเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามจะต้องคำนึงถึงกระบวนการเรียนรู้ที่ทำให้เกิดความสามารถในการพูดสื่อความหมายของเด็กปกติเสีย ก่อน เด็กปกติจะเรียนรู้การพูดได้นั้นต้องเริ่มจากการได้ยิน ความสามารถในการจำแนกความแตกต่าง และเชื่อมโยงสัญญาณเสียงพูดนั้นๆ เข้ากับความหมายต่างๆที่สามารถรับรู้ได้จากประสาทสัมผัสทุกส่วนของร่างกาย แล้วจึงออกเสียงเลียนแบบตัวอย่างจนได้รับปฏกิริยาตอบสนองเป็นที่มั่นใจแล้วจึงสามารถออกเสียงพูดเองเมื่อต ้องการสื่อความหมายได้ถูกต้อง
ถ้อยคำที่คนปกติพูดสื่อความหมายกันนั้น จำแนกได้เป็น 3 ส่วนคือ
1.การออกเสียง (Phonation)
2.ความหมาย (Semantic)
3.ไวยากรณ์ (Syntax)
ประกอบกันเป็นคำพูดแทนสิ่งที่เป็นทั้งรูปธรรม และนามธรรม ทั้งผู้พูด และผู้ฟังจะต้องมีการเรียนรู้ระบบภาษาเดียวกันเป็นอย่างดีแล้ว จึงจะเกิดความเข้าใจตรงกัน ไม่เพียงแต่การแสดงออกด้วยการพูดเท่านั้น ผู้พูดยังแสดงสีหน้าท่าทางประกอบคำพูดอีกด้วย
เด็กออทิสติกไม่เพียงแต่จะมีความบกพร่องในด้านการรับรู้ความหมายของคำพูดแล้วยังไม่สามารถทำความเข้าใจสีห น้า ท่าทาง ที่ออกมาพร้อมกับคำพูดอีกด้วย ถึงแม้ว่าจะมีความสามารถออกเสียงและแสดงท่าทางเลียนแบบได้เหมือนตัวอย่างทุกประการ แต่ไม่มีความเข้าใจความหมายคำพูดนั้นๆเลย
พัฒนาการทางภาษา และการพูดของเด็กออทิสติก [Ruttenberg และ Wolf] ได้จัดระดับความสามารถของการพูด และการใช้ภาษาไว้ 10 ระดับ จากน้อยไปหามากที่สุดดังนี้
ระดับ การแสดงออก
1
- เงียบเฉย ไม่ออกเสียงใดๆ
- ส่งเสียงเมื่อมีความไม่สบายบ้าง - ร้องไห้บ้าง ไม่มาก 2 - ออกเสียงบ้าง แต่เป็นเสียงเดียวซ้ำๆ - ส่งเสียงเบาๆ ในคอ,ส่งเสียงดัง เค้นเสียงกรีดร้องเมื่อตื่นเต้นตกใจ คับข้องใจ หรือเมื่อพอใจ - ส่งเสียงอา อี มากขึ้น แต่เป็นเสียงที่มีระดับเดียวกันเสมอต้นเสมอปลาย 3 - เปลี่ยนความดัง และระดับเสียงได้มากขึ้น - ส่งเสียงเป็นทำนอง - ออกเสียงพยัญชนะ ค / ล / ก / บ / ประกอบสระอูได้ดี - ออกเสียงเป็นทำนองซ้ำๆ - ส่งเสียงอ้อแอ้ขณะอยู่ตามลำพัง - หัวเราะเองไม่มีสาเหตุ 4 - ส่งเสียงอ้อแอ้มากขึ้น - ออกเสียงพยางค์เปิด (พยัญชนะผสมสระ) เช่น มา ปู ปี จาฯลฯ บ่อยๆ 5 - เริ่มมีการออกเสียงวลีซ้ำๆ - ออกเสียงเลียนแบบตัวอย่างที่เคยได้ยินมาก่อน - เลียนแบบเสียงคำพูดบ่อยมากขึ้น - อาจจะเกิดที่ระดับอายุใดๆ ก็ได้ส่วนมากมักจะออกเสียงเป็นคำพูดเมื่ออายุประมาณ 5 ปี 6 - ส่งเสียงคำที่ไม่มีความหมายบ่อยมาก - ส่งเสียงคล้ายคำพูด แต่ฟังไม่ออกว่าเป็นภาษาอะไร แทนความหมายใดๆ 7 - เริ่มบอกชื่อ สิ่งของต่างๆ ที่ใช้บ่อยได้ถูก - บอกชื่อบุคคล สมาชิกในครอบครัวได้ถูก 8 - ออกเสียงเป็นประโยคที่ประกอบด้วยคำ 3 คำได้ถูก (ใช้ถูกความหมาย) - เรียกชื่อตนเองได้ถูกต้อง 9 - ใช้สรรพนามบุรุษที่ 1 แทนตัวเองได้ถูก และคล่อง 10 - ออกเสียงประโยคยาวๆ สื่อความหมาย และโต้ตอบได้ถูกต้อง
ความสามารถในการแสดงออกทางการพูดตามระดับต่างๆ นั้นสามารถกระตุ้นให้เกิดพัฒนาการมากขึ้นมาได้ทุกระดับ ไม่จำกัดอายุ และระยะเวลา ความสามารถในการพูดสื่อความหมายจะมีมากน้อยเพียงใดนั้น ส่วนหนึ่งก็ต้องอาศัยจำนวนคำศัพท์ที่เรียนรู้ และความสามารถในการเชื่อโยงความหมายให้เหมาะสมกับสถานการณ์
ลักษณะการเรียนรู้คำศัพท์ของเด็กออทิสติกต่างจากเด็กปกติพอสรุปได้ดังนี้
1.เรียนรู้คำศัพท์จำกัดเฉพาะในสถานการณ์ที่เริ่มต้นเรียนรู้เท่านั้น ไม่สามารถนำไปดัดแปลงให้เหมาะสมกับสถานการณ์อื่นได้ เช่น เด็กรู้จักช้อน ใช้ตักอาหาร เรียกได้ถูกต้อง เมื่อมาเห็นช้อนที่ใช้ในหน้าที่อื่น เช่น ช้อนชา ช้อนรองเท้า หรือ ช้อนอื่นที่มีลักษณะผิดแปลกจากช้อนตักอาหาร จะไม่เข้าใจและบอกไม่ได้
2.ไม่สามารถเชื่อมโยงคำศัพท์ที่เรียนรู้แล้วกับสิ่งอื่นที่มีลักษณะภายนอกเหมือนกันได้ถูกต้องเช่น เด็กรู้จัก \"บอล\" ที่เป็นลูกทรงกลม แต่เมื่อเห็นสิ่งอื่นที่มีลักษณะเดียวกัน แต่ขนาดต่างกัน เช่น ลูกโป่ง มะนาว แตงโม ไข่ ปิงปอง ฯลฯ ก็จะบอกว่า \"บอล\" เหมือนกัน
3.คิดคำศัพท์ใหม่มาแทนสิ่งที่ยังไม่รู้จักด้วยตนเอง ซึ่งไม่ตรงกับความหมายที่คนปกติทั่วๆไปเข้าใจ เช่น อู๊ด แปลว่า นิ้ว , ยำ แปลว่า นั่ง ฯลฯ
การกระตุ้นให้เกิดพัฒนาการทางภาษาและการพูด
1.จัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม ในห้องที่ใช้ฝึกจะต้องมีลักษณะดังนี้
- เงียบ ไม่มีเสียงรบกวน
- มีการแตกต่างน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
- เปลี่ยนแปลงได้ง่ายตามความเหมาะสม
2. ควบคุมพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ที่เด็กแสดงออก เช่น
- การไม่อยู่นิ่ง
- ทำลายสิ่งของ
- ทำร้ายตัวเอง
- ความสนใจสั้น
พฤติกรรม เหล่านี้เป็นอุปสรรค์ขัดขวางการเรียนรู้ของเด็ก ควรแก้ไขโดยจำกัดบริเวณ จัดให้มีโต๊ะกันเอาไว้ ถ้าหากมีอาการลุกลี้ลุกลนให้จับเด็กเอาไว้ หรืออุ้มเด็กไว้ ถ้าหากไม่ได้ผลควรปรึกษานักกิจกรรมบำบัด
3.กระตุ้นให้เกิดความสนใจต่อสิ่งที่มองเห็น การสบตา และสัมพันธภาพกับผู้อื่น
ความสนใจสามารถกระตุ้นได้ด้วยสิ่งที่มองเห็นด้วยตาได้ แล้วจึงเปลี่ยนมาเป็นการเลียนแบบ และการพูด อาจจะปฏิบัติได้โดยวางสิ่งที่เด็กชอบไว้ระดับตาเด็กแล้วเลื่อนไปในตำแหน่งต่างๆ ท้ายที่สุดจึงไว้ในระดับใบหน้าผู้ฝึก แล้วจึงส่งให้เด็ก หรือมองใบหน้าตนเองหน้ากระจกเงา ชี้ให้เห็นส่วนต่างๆของใบหน้า พร้อมกับออกเสียงให้ฟัง เมื่อเด็กมองตามแล้วจึงให้ชี้ส่วนต่างๆ ของตนเองและของผู้อื่นตามตัวอย่าง และคำบอก ถ้าเด็กไม่สนใจต้องพูดให้ดังมากขึ้น อาจจะเคาะโต๊ะ หรือเรียกชื่อเด็กดังๆ ให้รู้ตัวทุกครั้ง หรืออาจจะใช้ไฟฉายนำสายตา โดยติดรูปภาพแล้วฉายไฟให้ดูตามพร้อมกับออกเสียงให้ฟัง
4.เลียนแบบท่าทางการเคลื่อนไหวที่ไม่ใช่คำพูด
เป็นการส่งเสริมให้เกิดความสนใจผู้อื่น และสิ่งแวดล้อมได้เป็นอย่างดี โดยกระตุ้นให้เลียนแบบท่าทางการเคลื่อนไหวตามตัวอย่าง หรือเลียนแบบท่าทางของตุ๊กตาให้เคาะกลอง กระป๋อง ฆ้อง ตามตัวอย่าง แล้วเปลี่ยนเป็นเคาะตามคำบอกให้ถูกต้อง หรือเป่าขลุ่ย หลอด ฟองสบู่ ตามตัวอย่าง การเคลื่อนไหวเหล่านี้จะให้เลียนแบบการเคลื่อนไหวอวัยวะในการพูดให้คล่องมากขึ้น ตลอดจนกระตุ้นให้เกิดความสามารถรับรู้จากการฟังคำพูด และทำตามคำสั่งได้ถูกต้อง
5.ฝึกเล่นเสียง
- ออกเสียงที่เคยทำได้บ่อยมากขึ้น เพื่อให้สามารถควบคุมอวัยวะในการพูดได้คล่องมากขึ้น
- เล่นประกอบเสียง เช่น กระโดด จ๊ะเอ๋ เคลื่อนไหวประกอบเสียง
- ส่งเสียงตามของเล่น หรือส่งเสียงตามสัญญาณ
- ออกเสียงตามเครื่องดนตรี ให้เกิดความเพลิดเพลิน
6.ฝึกเลียนเสียงพูด
- ให้ออกเสียงพูดตามตัวอย่าง
- ออกเสียงที่ไม่มีความหมาย เช่น บา มา ดา ปา ปู ปี ฯลฯ
- เพิ่มจำนวนพยางค์ให้มากขึ้น (2-3 พยางค์) ติดต่อกันเช่น บาบา มามามา ฯลฯ
- ออกเสียงสลับกันให้มากขึ้น เช่น บาบูบี มาบาบี บีมาบี ฯลฯ
- สร้างคำใหม่ที่มีความหมายจากเสียงที่ฝึกไปแล้ว เช่น มา เป็น หมา ,บา เป็น บ้าน บอก ใบ้,มู เป็น หมูฯลฯ
7.ฝึกแสดงออกด้วยคำพูด
- ออกเสียงเรียกชื่อกิจกรรมต่างๆ ที่มีอยู่ให้ถูกต้อง
- เล่นเกมที่ต้องใช้คำพูดประกอบ จึงจะได้สิ่งที่ต้องการ(หลีกเลี่ยงเกมที่เด็กไม่ชอบ)
- ให้ออกเสียงบอกชื่อ สิ่งของ และส่วนต่างๆ ของร่างกาย
- บอกความต้องการของตนเอง
8.ออกเสียงพูดสื่อความหมาย
- ขยายจำนวนพูดจากคำ เป็นประโยคที่มีข้อความสมบูรณ์ เช่น หนม ->ขนม->ขอนม ครับ จนเป็นประโยค ผมอยากกินขนมครับ
- ถ้าตอบคำถามได้ให้ตอบคำถามด้วยประโยคสมบูรณ์ทุกครั้ง
- การกระตุ้นให้ออกเสียงเองเช่นนี้ ถ้าเด็กออกเสียงพูดเองไม่คล่อง ให้ออกเสียงนำเป็นบางส่วน แล้วเว้นไว้ให้เด็กออกเสียงต่อให้สมบูรณ์ เมื่อสังเกตว่าเด็กออกเสียงคล่องบ้างแล้วจึวลดการออกเสียงนำลงจนเด็กออกเสียงเองได้ครบ ประโยคที่สมบูรณ์นั้นมีลักษณะใกล้เคียงกับภาษาเขียน เป็นการกระตุ้นให้เกิดความคุ้นเคยกับการอ่าน และทำความเข้าใจภาษาเขียนได้ง่ายมากขึ้น
- บางครั้งเด็กออกเสียงตามโดยไม่เข้าใจความหมายให้หยุดเฉยไว้ก่อน อธิบายให้เกิดความเข้าใจใหม่ เริ่มฝึกวิธีเดิม จนสามารถออกเสียงได้คล่องอีกรอบหนึ่ง
การกระตุ้นพัฒนาการทางภาษา และการพูดต้องอาศัยความวิริยะ อุตสาหะ ของผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ทั้งพ่อ แม่ ผู้ปกครอง ผู้ใกล้ชิด อย่างมากมาย ไม่มีการกำหนดเวลาว่าจะใช้เวลานานเท่าใดจึงจะได้ผล และไม่มีข้อกำหนดว่าต้องเป็นปกติทุกประการ ขอเพียงแต่ให้มีพัฒนาการมากขึ้นกว่าเท่าที่เห็นอยู่ และใกล้เคียงสภาพปกติให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถึงแม้จะนานเท่าใดก็ตาม แต่อย่าได้หยุดการปฏิบัติการเพื่อการกระตุ้นเด็ก ขอให้ปฏิบัติอย่างต่อเนื่องจะเกิดผลดีขึ้นแน่นอน เด็กกลุ่มนี้หากได้รับการกระตุ้นพัฒนาการก่อนอายุ 5 ปี ส่วนใหญ่จะมีโอกาสพัฒนาการทางภาษา และการพูดได้เร็วมากขึ้น.
จากคุณ |
:
แม่ก้อย
|
เขียนเมื่อ |
:
14 ธ.ค. 52 19:45:27
|
|
|
|
|