Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
*** ทำไมถึงแต่งงาน? เมื่อไหร่ที่เรียกว่าพร้อม? ***  

ไม่นึกเลยว่าจะได้มาตั้งคำถามประมาณนี้ในห้องชานเรือนนะคะ แต่ก่อนเคยอ่านของคนอื่นมาตลอดเลย ที่มาปรึกษาปัญหาแนวนี้ แล้วก็ได้พ่อๆแม่ๆ น้าๆลุงๆผู้มีประสบการณ์ประจำห้องมาตอบให้ หลายๆกระทู้ที่เคยอ่านมาได้ข้อคิดดีมากเลยค่ะ เอาไปใช้ก็หลายอย่างอยู่ จนวันนี้ถึงตาตัวเองบ้าง ก็เลยมาถามให้ได้ความคิดแจ่มๆอีก เพราะตอนนี้เราก็อายุ 20 กลางๆแล้ว ก็คิดว่าไม่เร็วไปที่จะคิดเรื่องพวกนี้ และเราก็มีคนที่มั่นใจในกันและกันแล้วด้วย แต่เราเหมือนจะไม่แน่ใจเท่าไหร่ ว่าจะตัดสินใจยังไงดี กลัวว่ามันจะเร็วไป กลัวว่าความเปลี่ยนแปลงมันจะใหญ่ซะจนจัดการกับชีวิตตัวเองไม่ถูกน่ะค่ะ

เราไม่แน่ใจว่าเวลาที่คนเราจะแต่งงานมันต้องประกอบด้วยอะไรบ้าง เพราะหลายคนก็คิดกันไปหลายอย่าง บางคนก็ว่าจะต้องรออะไร ขอแค่อายุเหมาะสมและรักกันมากพอ ก็ไม่น่าที่จะมัวรออะไรแล้ว แต่บางคนก็บอกว่าควรจะมีความพร้อมก่อน ทั้งการเงิน ทั้งฐานะในระดับนึง จะได้เตรียมรับกับการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่มีปัญหา จริงๆเราเข้าใจว่าเรื่องแบบนี้มันก็ต่างคนต่างความคิดค่ะ แล้วแต่ว่าคู่ไหนจะตัดสินใจกันยังไง ไม่ใช่ว่าใครจะทำเลียนแบบตามใครได้ ถ้าถามใจเราตอนนี้ (และเค้าด้วย) ทางความรู้สึกก็คิดว่า
พร้อมแล้วค่ะ ไม่มีอะไรที่ลังเลใจกับคนๆนี้อีก แต่ยังติดที่ความพร้อมด้านเงินอยู่ กลัวว่าถ้าตัดสินใจอะไรไวไปในขณะที่เรายังไม่พร้อมพอ มันจะเกิดปัญหาตามมาทีหลังค่ะ

ความจริงตอนนี้เราเรียนโทอยู่ต่างประเทศ เหลืออีกไม่ถึงปีดีก็จะจบแล้ว แรกสุดตั้งใจว่าจะหางานทำที่นี่ต่อ ถ้าหาไม่ได้จริงๆค่อยกลับไทย ส่วนแฟนเราก็ทำงาน แต่ก็กำลังจะมีแผนไปเรียนต่อเอกเหมือนกัน (ได้ทุน) ไม่น่าจะเกินสิ้นปีนี้ ดูๆไปก็เหมือนว่ายังไม่ต้องรีบร้อนอะไรก็ได้ใช่ไม๊คะ อาจจะมองว่าถ้าคิดว่ามั่นคงกันจริงๆแล้วก็ไม่น่ามีปัญหา รอให้เรียนจบก่อนก็ได้ หรืออาจจะแค่หมั้นไว้ก่อน แต่พูดไปก็เหมือนน้ำเน่าหรือเว่อร์ เพราะเราไม่อยากจะต้องรออะไรกันอีกแล้วน่ะค่ะ อยากมีชีวิตที่อยู่ด้วยกันแล้ว เราก็คุยกับเค้า
ตลอดนะเรื่องนี้ บางทีก็เหมือนพูดทีเล่นทีจริง เพราะก็อยู่ไกลกันด้วย ในใจน่ะคิดจริงจัง แต่ด้วยความที่ไกลกัน จะจัดการอะไรแบบให้เป็นรูปธรรมมันก็ลำบาก เลยเหมือนวางแผนไปพลางๆ คุยไปเล่นๆยังไงบอกไม่ถูก

ที่คุยไว้คือ ถ้าเราจบกลับไปก็อยากแต่งงานกันเลย และถ้าเค้าได้ทุน ก็คงจะไปอยู่ด้วยกัน ก็ตั้งใจกันไว้ว่าพอทุนที่ว่าเนี่ยออกมา ได้เห็นรายละเอียดที่แน่นอน แล้วเราค่อยมาตัดสินใจกันอีกทีว่าจะเอายังไงดี จะได้คุยกับผู้ใหญ่ให้เป็นเรื่องเป็นราวซะที ทีนี้เลยวนกลับมาถึงจุดที่ว่าถ้าจะต้องคุยจริงๆมันจะยังไง ปัญหาอีกอย่างคือทั้งเราและเค้าเป็นลูกคนเดียวทั้งคู่ แต่ไม่สนิทกับพ่อแม่ ชอบคิดอะไรเองคนเดียว ตัดสินใจเอง โลกส่วนตัวสูง มีอะไรไม่ค่อยปรึกษาใครเท่าไหร่ อย่างมากก็ปรึกษากันเองสองคน เพราะงั้นไอ่เรื่องทั้ง
หมดที่ว่ามาเนี่ย ก็ยังไม่ได้ปรึกษาผู้ใหญ่เลย ไม่รู้จะเริ่มคุยยังไงด้วย อีกอย่างก็คือเท่าที่รู้ๆ ความคิดของเรากับผู้ใหญ่ก็มักไม่ค่อยสอดคล้องกันซะด้วยสิ (เฉพาะฝ่ายเรานะคะฝ่ายแฟนยังไม่รู้ แต่ดูเค้าไม่ค่อยมองเป็นปัญหาเลย ออกแนวมั่นใจว่าทุกอย่างจะไปได้สวย)

จะพูดให้เห็นภาพชัดเจนก็คือว่า อย่างที่บอกอะค่ะว่าเราพร้อมแค่ทางใจ แต่การเงินยังไม่พร้อมเท่าไหร่ ถ้าเป็นผู้ใหญ่หัวสมัยใหม่หน่อย ก็จะไม่เน้นจัดงาน เน้นความพร้อมทางใจเป็นหลัก แค่ลูกหลานรักกันมีความสุขก็จบแล้ว ประมาณนี้ เรื่องเงินก็ตกไป หรือเผลอๆผู้ใหญ่จะจัดการให้หมดด้วยซ้ำ ตามแต่ฐานะจะอำนวย แต่ทางฝ่ายเราออกแนวผู้ดีเก่า หัวโบราณ เลยจะเคร่งเรื่องธรรมเนียมพิธีกันอยู่ ส่วนแม่เราก็อยากให้จัดงานเลี้ยงเพราะลูกๆเพื่อนเค้าก็จัดทั้งนั้น ทางพ่อเราคงออกแนวง่ายๆได้ ไม่น่าเรื่องมาก แต่แม่คงไม่
ยอม เพราะทั้งพ่อเราและพ่อแฟนเป็นพวกคนมีสีทั้งคู่ จะมาทำง่ายๆงุบงิบ ก็คงดูไม่ดี (ในสายตาแม่และคนบางจำพวก) เราก็เลยไม่รู้จะเริ่มจะปรึกษาอะไรยังไงเลย ไอ่จะให้พูดแค่ว่าก็รักกัน อยากอยู่ด้วยกันแบบเปิดเผย เรื่องจัดงานเรื่องอะไรไม่ได้สนใจ ก็คงถูกด่าย่อยยับเป็นแน่ เพราะเราเคยพูดไว้นานแล้วว่าเราไม่ชอบงานใหญ่ๆ ไม่ชอบอะไรที่ต้องเป็นพิธีรึตองมากๆ ไม่อยากใส่ชุดอะไรแบบที่เค้าใส่ๆกันในงานด้วยซ้ำ (ชีวิตนี้ใส่ยูนิฟอร์มมาราว 20 ปี มากเกินพอแล้ว)

เราเองยอมรับว่าแย่ค่ะ เป็นลูกผู้หญิงคนเดียวแท้ๆ แทนที่จะสนิทกับแม่ มีอะไรคุยกันได้เปิดใจตามประสาสาวๆ แต่กลับเปล่าเลย มิหนำซ้ำกลับรู้สึกว่าเวลาที่อยู่ต่อหน้าแม่ เราต้องมิดเม้มความเป็นตัวของตัวเองไว้ซะอีก เพราะรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่เค้าไม่มีวันรับได้ และเราก็ไม่รู้จะเปลี่ยนตัวเองยังไงด้วย (มันคือเรื่องของทัศนคติ ค่านิยม และรสนิยมบางอย่างน่ะค่ะ) พวกเรื่องรักๆเรื่องหัวใจเนี่ย แทบไม่เคยเล่าเลยค่ะ ทั้งๆที่เราเป็นคนเซนซิทีฟมาก มีมุมอ่อนไหวมาก ภายใต้ท่าทีที่แอบแรง หรือดูแข็งกร้าว เรื่องพวกนี้ไม่กล้าที่จะเล่าเลยค่ะ ไม่รู้จะเริ่มยังไงดี กระดากปากยังไงบอกไม่ถูก กลัวเค้าจะหาว่าบ้าบอ อ่อนไหว ไร้สาระ เพ้อฝัน (เพราะแม่ดูเป็นคนแข็งๆเฉยๆกับเรื่องแนวนี้) แต่ตั้งแต่เรามาเรียนต่อไกลบ้านนี่ก็พยายามเปิดเข้าหากันมากขึ้น มีอะไรก็เล่าให้เค้าฟังมากขึ้น ถึงจะไม่สามารถเล่าได้หมดเปลือกเหมือนแม่ลูกคู่อื่นๆ แต่ก็นับว่าดีกว่าเมื่อก่อนมากพอควรเลย ก็คุยกันว่าถ้าเราจบแล้วจะอะไรยังไงต่อ จะหางานที่ไหนยังไง เท่าที่ทำได้ตอนนี้เลยเกริ่นๆกับแม่ไว้ทำนองว่า เดี๋ยวรอหลังเมษา (คือช่วงที่รายละเอียดทุนของแฟนจะออกมา) คงเห็นภาพอะไรชัดเจนขึ้น แล้วเราค่อยมาว่ากันอีกที ก็แบบตามที่ตกลงกับแฟนไว้น่ะแหละค่ะ แต่แม่คงยังไม่เอะใจว่าจะเลยไปไกลถึงเรื่องแต่งงานอะไรขนาดนั้นมั้ง คงคิดว่าเรื่องงานเราอย่างเดียว เราตั้งใจว่าจะบอกด้วยตัวเอง แต่ถ้าไม่รู้จะพูดยังไงก็จะเอากระทู้นี้ให้แม่อ่านซะเลย (ช่วยเซฟเข้าคลังด้วยนะคะ)

ความจริงเคยปรึกษาเพื่อนนะคะ เพื่อนเราบอกว่าอย่าไปกลัวผู้ใหญ่ ให้คุยไปเลยจะได้รู้ว่าผลมันจะเป็นไง เผื่อโชคดีผู้ใหญ่นึกครึ้มจัดการอะไรให้หมดเลย (หมายถึงเรื่องเงินๆทองๆ) เรากับแฟนก็สบายไป หรือถ้าผู้ใหญ่เคร่งจริงๆจะได้เตรียมตัวถูก ตั้งหน้าตั้งตาเก็บเงินต่อไป เพื่อนเราที่ว่านี่ก็มีแฟนแล้วเหมือนกัน แล้วมันก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมดูเรารีบร้อนอยากใช้ชีวิตด้วยกันเหลือเกิน มันไม่ค่อยเข้าใจ นี่ก็เลยเป็นอีกจุดที่ทำให้เราต้องเบรกความคิดตัวเองว่าเราคิดอะไรเร็วไปหรือเปล่า เพราะเพื่อนเราก็มาเรียนต่อ
เหมือนๆเรานี่แหละ ประเทศเดียวกันเลย แถมแฟนมันก็อยู่ในวัยที่พร้อมแล้วในเรื่องการเงิน (ก็ไม่รู้ว่าจริงๆพร้อมมากแค่ไหน แต่ก็ทำงานมาสิบปีได้) ยังดูไม่รีบร้อน หรือคิดอะไรมากเท่าคู่เราเลย (แต่จริงๆเรากับแฟนเป็นอะไรแบบนี้ทั้งคู่อยู่แล้ว ตั้งแต่คบกันใหม่ๆด้วยซ้ำ)

เราเองเคยมีแฟนมาก็หลายคนอยู่นะคะ แต่ไม่เคยมีคนไหนที่ทำให้เรารู้สึกอยากแต่งงานด้วยเท่าครั้งนี้เลย บางคนไม่สามารถทำให้รู้สึกได้เลยด้วยซ้ำ (หรืออาจจะเพราะเรายังเด็กมาก ณ ตอนนั้น) แต่ก็ไม่ใช่ไม่รักนะ บางคนเราก็อยากแต่งด้วย แต่กลับมองเห็นความไม่พร้อมอยู่ตลอดเวลา เราเลยพยายามจะรอให้พร้อมก่อน เพราะไม่อยากใช้ชีวิตคู่ไปแบบเจอปัญหานั่นนี่ กลัวว่าจะทำให้ทะเลาะกัน จนต้องเลิกกันไปสักวัน ก็รอให้พร้อมมาเรื่อยๆ สุดท้ายเลิกกันไปเองด้วยสาเหตุอื่น ก็มามีคนนี้นี่แหละค่ะ ที่เราอยากแต่งด้วย ทั้งๆที่รู้แก่ใจว่ายังไม่พร้อมเท่าไหร่เลย แต่ไม่อยากจะรออะไรอีกแล้ว รู้สึกเหมือนว่าขอแค่ได้แต่งก็พอ จากนั้นจะเกิดอะไรก็พร้อมที่จะทนสู้ไปด้วยกัน เห็นความต่างทางความรู้สึกไม๊คะ นี่เป็นอีกสาเหตุนึงที่เราคิดว่าไม่น่าจะต้องรออะไรอีก ถ้าเรามีความรู้สึกแบบที่ว่านี้ มันน่าจะเพียงพอแล้ว

สรุปคำถามคืออะไรเนี่ย ฮ่าๆ ก็คืออยากให้พ่อๆแม่ๆช่วยเล่าเรื่องตัวเองหน่อยค่ะ ว่าตอนที่ตัดสินใจแต่งงานเนี่ย เริ่มต้นกันที่ตรงไหน อะไรยังไง เริ่มคุยกันเองก่อนยังไง เริ่มเข้าหาผู้ใหญ่ตอนไหน แล้วยังจะเรื่องเงินๆทองๆที่พูดลำบากอีก หรือถ้ามีข้อคิด ข้อเตือนสติอะไรก็แนะนำได้เลยค่ะ ไม่ต้องเกรงใจ เพราะเราก็กลัวว่าเราจะตัดสินใจไวไปเหมือนกัน กลัวว่ามีแต่ความรักอย่างเดียวมันจะยังไม่พอสำหรับสร้างชีวิตคู่ หรือบางคนอาจจะบอกว่าแล้วมันต้องมีอะไรมากกว่านี้อีกเหรอ เราก็บอกไม่ถูกค่ะ ใจนึงเราก็คิดนะว่าแล้วมันยังต้องการอะไรมากกว่านี้อีก อีกใจนึงก็คิดว่าถ้าพร้อมอย่างน้อยมันก็จะดีกว่า แต่กว่าจะพร้อมก็คงอีกนาน นานจนรอไม่ไหว ... เฮ้อ

เอ้า สรุปคำถามให้แบบดีๆอีกทีก็ได้ค่ะ (เพราะคิดได้พอดี อิอิ)
1. จากที่อ่านมาทั้งหมด คิดว่าสถานการณ์ของเราถือว่าพร้อมหรือยังคะในสายตาของคุณๆ วัดจากประสบการณ์ตรง หรือคนรอบตัว
2. ถ้าคิดว่าพร้อมแล้ว โอเคแล้ว เราควรจะพูดกับผู้ใหญ่ยังไงให้เค้าโอเคด้วยคะ ให้เค้ามั่นใจในตัวพวกเราว่าจะไปรอด
3. ถ้าคิดว่าเราควรรอต่อไปอีก ให้พร้อมกว่านี้ มีอะไรจะแนะนำเพิ่มไม๊คะ ให้เราใจเย็นลง หรือแนะนำการเก็บเงิน ฮ่ะๆ

สุดท้ายจริงๆแล้ว ก็ขอบคุณทุกคนมากที่สละเวลาอ่านปัญหาที่เราพล่ามมาซะยาว และที่ระดมสมองมาตอบกันนะคะ ขอให้ชีวิตครอบครัวมีความสุขกันทุกคนเลย ส่วนใครที่ยังไม่มีคู่ก็ขอให้เจอไวๆด้วย อิอิ

ปล. เรากับแฟนรุ่นเดียวกันนะคะ แต่แฟนแก่เดือนกว่า 8 เดือน

จากคุณ : เทเลทับขี้
เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 53 07:54:24




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com