|
ความคิดเห็นที่ 15 |
|
ตอบจากประสบการณ์นะคะ ลูกสาวก็เป็นออทิสติค (ผู้เชี่ยวชาญมองว่าเข้าข่ายแอสเพอร์เกอร์มากกว่า แต่เค้าจะไม่เทสท์แอสเพอร์เกอร์จนกว่าจะอยู่5th grade) เล่าอย่างย่อๆนะคะ
รู้สึกแปลกตั้งแต่ในท้อง ถ้าลูบๆตามส่วนที่ยื่นผ่านพุงจะดึงหลบทันที เหมือนตกใจด้วย แต่ถ้ากดแรงๆจะชอบมาก จะยื่นส่วนนั้นให้กดลูบแรงๆ
แรกเกิด ปกติทุกอย่าง แต่ประหลาดหนึ่งอย่างคือ ไม่ชอบให้จับมือเลย
สอง ถึง ห้าเดือน ปกติทุกอย่าง ยิ้มได้ อ้อแอ้ นั่งไว
หกเดือน ถึง หนึ่งขวบ หยุดอ้อแอ้ ยิ้มยากขึ้น ติดเต้า ไม่เอาขวด นอนเริ่มยาก ตื่นทุกชั่วโมง ไม่ชอบผ้าห่มอย่างแรง (สัมผัสเบาเป็นอะไรที่เด็กกลุ่มนี้มีปัญหามาก) ไม่ยอมคลาน ไม่สนใจสิ่งล่อ แต่จะชอบนั่งสำรวจของใช้ ถ้าแยกเป็นชิ้นส่วนได้จะทำ ชิ้นส่วนเล็กๆ เส้นผม เครื่องเล่นดีวีดี เครื่องใช้ไฟฟ้า
ขวบขึ้นไป ไม่ชี้นิ้ว บ๊ายบายได้แต่จะหันฝ่ามือเข้าหาตัวเอง ไม่ออกเสียงเลย จะเอาอะไรก็จะเดินไปหยิบเอง
สิบสี่เดือนเริ่มใช้ภาษามือเป็น คราวนี้เธอก็ใช้มืออย่างเดียว ภายในสามเดือนเธอได้ภาษามือเป็นร้อยท่า สนใจคนน้อยลง ชอบหมกมุ่นกับเครื่องใช้ไฟฟ้าเช่นดีวีดี ทีวี
ขวบครึ่ง เริ่มหมกมุ่นกับหนังสือมากขึ้น จะชอบเรื่องตัวเลข อักษร สี รูปทรงมาก นั่งอ่านหนังสือไม่สนใจเสียงเรียก ไม่ชอบเจอผู้คน บางทีถ้าแขกมา เธอจะหลบเข้าเต๊นท์ ไม่ขอยุ่งด้วยเลย กินก็ยาก จะกินแต่อาหารเหมือนเดิมทุกวัน
ยี่สิบเดือน พาไปบำบัดพูด พบว่าหูน้ำหนวก เลยทำให้หมอไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่าเป็นออทิสติค ต้องรับการผ่าหูใส่ท่อระบายน้ำในหู บวกกับการบำบัดการพูดไปสักพักก่อน ประกอบกับได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาลในเขต ที่ส่งครูมาช่วยดึงพัฒนาการ
สองขวบพาไปพบpediatric neurologistเฉพาะทางด้านออทิสติค(ที่อเมริกานะคะ) หมอลงความเห็นว่าไม่ใช่ เพราะเทสท์แล้ว สามารถเล่นของเล่นเหมือนทั่วไป ทำตามคำสั่งได้หมด ไม่มีนั่งเรียงของ สามารถเล่นสมมุติได้เหมือนทั่วไป ให้มองตาก็จะมองตามคำสั่งได้
สองขวบถึงสองขวบครึ่ง ผ่าหูรอบสองรอบสาม เพื่อความมั่นใจว่าได้ยินชัด
สองขวบครึ่งกว่าๆ เริ่มพูดได้ ณ ตอนนั้นเลยค้นพบว่า ลูกสามารถอ่านหนังสือออกเองได้ หนึ่งในคำที่ลูกอ่านออกคือmetamorphosis congregation (อันนี้ครูที่โรงเรียนบอกมาว่าลูกสาวหยิบใบปลิวที่ตกที่พื้นขึ้นมาอ่านให้ครูฟัง) หรือจะเอาตัวหนังสือมาเรียงกันเป็นคำมั่วๆ เธอก็จะสามารถบอกได้ว่าคำนี้อ่านว่าอะไร ลักษณะการพูดจะเหมือนเลียนแบบทุกอย่าง เช่น bye, Tara(ชื่อของเธอ) เธอจะตอบว่าbye Tara หรือถามว่าhow are you? จะก๊อบปี้how are you?เป๊ะๆ
สามขวบ พูดได้แต่จะเหมือนอ่านทุกอย่าง ทุกอย่างจะต้องเป็นสคริปท์มาจากทีวี หรือหนังสือ หรือป้ายโฆษณาฯลฯ จะหมกมุ่นกับการอ่าน และจะจำได้ทุกคำ จะเอาอะไร แทนที่จะพูดขอ เธอจะบอกยี่ห้อที่เขียนบนกล่อง ช่วงนั้นต้องคอยตามอ่านป้าย และยี่ห้อ เพราะจะได้รู้ว่าพูดถึงอะไร ...ส่วนเรื่องการมองตา เริ่มเห็นชัดว่าเวลาเธอคุยกับใครจะหลบสายตา แต่ไม่ใช่ไม่มองตาเลย จะไม่มองเฉพาะเวลาคุยกับใคร
สามขวบครึ่ง นักวจีบำบัดเทสท์ทักษะการใช้ภาษา ปรากฏว่าผ่านฉลุย ได้คะแนนเกินเฉลี่ยทั่วไป แต่พอนอกเทสท์ คือต้องไปพูดเข้าสังคมเข้าจริงๆ เธอจะพูดแปลกๆ เริ่มเป็นสคริปท์ที่ชัดเจน หยิบเอาสคริปท์อันนั้นมาแปะอันนี้
เกือบสี่ขวบ นักวจีบำบัดอีกท่านสงสัยว่าจะเป็นpragmatic language disorder นั่นคือ ปัญหาของการใช้ภาษา ไม่ใช่ว่าพูดไม่ได้ หรือจับใจความไม่ได้ แต่พูดออกมาลักษณะที่ใช้คำที่แปลก ไม่เข้ากับสถานการณ์ ซึ่งเป็นอาการเด่นของเด็กออทิสติคชนิดที่เรียกว่าAsperger syndrome จึงทำการเทสท์ พบว่าเข้าข่ายAsperger
สามขวบกับสิบเดือน ไปพบแพทย์เชี่ยวชาญทางพัฒนาการเด็ก เพื่อทำการเทสท์ ผลยืนยันว่าเข้าข่ายออทิสติค แพทย์ส่งต่อให้child psychologist ทำการเทสท์อีกรอบ ทางอเมริกาหรืออาจจะเป็นทางเขตที่ดิฉันอยู่ก็ไม่ทราบ เค้ามีกฏว่าจะบอกได้ว่าเด็กเป็นออทิสติค ต้องได้รับการยืนยันจาก หนึ่ง นักวจีบำบัด สอง แพทย์เฉพาะทาง สามทางโรงเรียนซึ่งจะมีนักจิตวิทยาในเด็กที่ประจำอยู่ในเขตการศึกษานั้นเป็นผู้ทำการเทสท์
ผลออกมาก็ยืนยันตรงกันทั้งสามฝ่ายว่าเข้าข่ายออทิสติค
เวลาผ่านไปหลังจากที่รับทราบว่าเป็นออทิสติค ก็ได้รับบำบัดอย่างเข้มข้น ...ตอนนี้ลูกสาวห้าขวบแล้ว กำลังจะเข้าkindergarten ทางโรงเรียนเพิ่งบอกว่าจะให้ลูกสาวเข้าโรงเรียนปกติ เรียนกับเด็กปกติทั่วไป เพราะเธอใกล้เคียงกับเด็กปกติแล้ว
หากพาเธอไปพบคนอื่น จะไม่มีใครดูออกว่าเป็นออทิสติคเลย เธอเรียนรู้ที่จะปรับปรุงตัวเอง แต่ไม่ใช่ว่ารักษาหายเพราะมันไม่มีทางหาย เหมือนกับคนถนัดซ้าย จะให้รักษาเพื่อเป็นถนัดขวามันก็ไม่ได้ อย่างไรเสีย เธอก็ยังจะคิดเหมือนเด็กออทิสติค เพียงแต่เธอเข้าใจในเรื่องของความแตกต่างของแต่ละบุคคลมากขึ้น ณ ตอนนี้เธอทราบว่าเธอเป็นออทิสติค จึงแตกต่างจากคนอื่น เธอเข้าใจว่าคนอื่นจึงไม่สามารถเข้าใจเธอได้ในบางเหตุการณ์ เช่น อยู่บ้าน เธอจะมีลำดับในกิจวัตรที่ยากที่จะเปลี่ยน แต่เธอรู้ว่าลำดับแบบนี้จะไปใช้กับนอกบ้านไม่ได้ เพราะเขาจะไม่เข้าใจเธอ เป็นต้น
ดิฉันอยากจะบอกว่าอ่านในความเห็นข้างบน พอจะเข้าใจว่าพ่อแม่จะกลัวกันมาก แต่จริงๆแล้วออทิสติคไม่ใช่โรคที่น่ากลัวน่ารังเกียจ ดิฉันภูมิใจในตัวลูกมากๆ ความที่เธอเป็นออทิสติคมันมีข้อดีที่ตามมาที่น่าภูมิใจอีกมากมาย ไม่ว่าจะเรื่องการเรียนที่นำเด็กทั่วไป เรื่องการอยู่ในระเบียบไม่มีนอกเส้น เรื่องของความลึกซึ้งในความคิด และท้ายสุดเรื่องของความเข้าใจในความแตกต่างของคน ...มีวันนึงลูกสาวกลับมาจากโรงเรียน เธอบอกดิฉันว่าเธอว่าเพื่อนในห้องเธอคนนึงเป็นออทิสติคแน่ๆ เธอตอบได้เพราะเธอเข้าใจเขา เธอรู้ดีว่าออทิสติคมันเป็นยังไง
ไม่ต้องกังวลไปถ้าลูกใครเข้าข่ายออทิสติคอยู่ งานวิจัยออกมามากมายที่ยืนยันว่าการบำบัดในปฐมวัย(แรกเกิดถึงห้าขวบ) มีส่วนช่วยในการปรับตัวเข้ากับสังคมได้มาก ดิฉันเป็นห่วงแต่พ่อแม่ที่ปฏิเสธ ไม่อยากให้ลูกได้รับlabelนี้ หารู้ไม่ว่าการไม่ยอมรับ มันเป็นการตัดโอกาสลูกดีๆนี่เอง ฝากไว้เท่านี้ค่ะ
จากคุณ |
:
kanu_memphis
|
เขียนเมื่อ |
:
21 ก.พ. 53 10:26:17
|
|
|
|
|