|
ความคิดเห็นที่ 31 |
เกดบอกให้แวะมาตอบที่ทู้ จะพยายามนะ แต่เรื่องนี้เราว่ามันคุยได้ยาวเลยแหละ
เท้าความก่อนแล้วกัน มันจะเกี่ยวอะไรมั้ยไม่รู้นะ
เราเองโตมากับครอบครัวที่น่ารัก ป๊อกกี้ตามใจตลอด ลูกอยากได้อะไรก็ได้ทันที เพราะฉะนั้นเราจะไม่ค่อยรู้สึกเห็นคุณค่าของเงินหรือของของชิ้นนั้นๆ หม่ามี้เราจะแนวเข้มๆแต่ก็คือแล้วแต่ป๊อกกี้เรื่องซื้อโน่น นี่ นั่นให้ลูก ส่วนคุณสามี ประมาณว่าตรงกันข้ามกับเรา เค้าเล่าว่าของเล่นเค้านับชิ้นได้เลย เค้าจำได้ทุกชิ้นเพราะว่าได้เล่นกับของเล่นทุกชิ้นอย่างคุ้มค่า
พอมีลูกเอง (ตั้งสามคน) เราก็คุยกับคุณสามีก่อนเลยว่าเราอยากจะให้ลูกเป็นไปในทิศทางไหน พอมาดูแบ็คกราวนด์ของเราสองคน ก็ได้คำตอบที่ว่าถ้ามันอยู่จุดตรงกลางได้จะแบบโอเคมากๆ
ตอนนี้ลูกสามคน วัย 7 5 และ 3 ขวบ เราเลี้ยงเค้าไม่ได้แตกต่างอะไรกันมากมาย ณ จุดนี้ขอเล่าประมาณตั้งแต่ช่วงวัยอนุบาลแล้วกัน
เรื่องเสื้อผ้า ของใช้ต่างๆ ถ้าเราเลือกให้ลูกเอง เราจะไม่ซื้อของแบรนด์เนม อย่างเสื้อผ้าเราก็ไม่ค่อยซื้อตามห้างเพราะเรารู้สึกว่าไม่น่าตื่นเต้น ไปเดินตลาดนัดสนุกกว่า ได้ของถูกและดูไม่ซ้ำใครอีกด้วย เราชอบเสื้อผ้าสีเรียบๆ ไม่มีลวดลายก็จะยิ่งดี ในขณะที่คุณสามีอยากให้ลูกสาวใส่เสื้อผ้ามีสีสันจี๊ดจ๊าดสมวัย 5555 ซึ่งก็หาได้ตามตลาดนัด ตอนไปต่างประเทศ เราจะออกไป charity shops ทุกวัน เสื้อผ้ามือสองที่ดูใหม่มีเพียบ ราคาก็ถูกอย่างกับให้เปล่า บางทีก็มีญาติๆส่งเสื้อผ้ามาให้เด็กๆตื่นเต้น เราก็แฮ้ปปี้ ไม่ต้องควักกระเป๋าเลย ส่วนของใช้ทั่วๆไป เช่น เครื่องเขียนต่างๆ เราก็ซื้อพวกการ์ตูนที่ลูกชอบบ้าง เช่น เจ้าหญิง มิคกี้เมาส์ บลาบลา แต่โดนส่วนใหญ่จะซื้อแบบที่ไม่มีลายการ์ตูนแล้วบอกลูกว่าอันนี้ของเรา เราแบ่งให้ลูกใช้ได้ อิอิ เพราะฉะนั้นเด็กบ้านนี้ก็จะไม่เกี่ยงว่าต้องเป็นตัวนั้นตัวนี้ ถึงจะหยิบมาใช้้
เรื่อง gadgets ต่างๆ ลูกเรามีโอกาสได้สัมผัสคอมพิวเตอร์น้อยมาก ทั้งๆที่ลูกเห็นแม่ใช้ทั้งวันทั้งคืน จะทำได้ก็เฉพาะช่วงพ่อแม่เผลอเท่านั้น คุณสามีไม่อยากให้ลูกแตะคอมฯก่อนมัธยมด้วยซ้ำ เพราะเค้ากลัวว่าลูกจะติด(เหมือนเรา) เค้าอยากให้ลูกรักการอ่านก่อนที่จะรักสิ่งอื่นๆ เพราะฉะนั้นคนที่รู้จักและสนิทกับครอบครัวเราจะซื้อหนังสือให้เด็กๆอยู่เรื่อยๆ แทนที่จะเป็นขนมหวานหรือของเล่น และเราเองในฐานะแม่ ถึงแม้จะไม่ได้ติดหนังสือแบบพ่อ แต่เราก็มีช่วงเวลาให้ลูกได้เห็นว่าเราอ่านหนังสืออยู่บ่อยๆนะ เราเปิด youtube ให้ลูกดูบ้าง เพราะลูกชอบเพลงประกอบภาพยนตร์หลายเรื่องของดิสนีย์ หรือบางทีก็พาคนโตมาดูตอนที่เรา google หาอะไรบางอย่างที่เค้าสงสัยซึ่งหาไม่เจอในหนังสือที่เราพอจะมีอยู่
โทรทัศน์ สำหรับเราถือว่าลูกเราได้ดูน้อยมากๆ โซอี้จะเป็นเด็กที่ปฏิเสธทีวี เช่น ดูอันนี้กับแม่มั้ย ตั้งแต่เด็กๆประมาณเกือบๆสองขวบ (ตอนแม่ท้องแก่) เธอจะบอกว่า no แล้วก็หยิบหนังสือมายื่นให้เราแทน เฮ่อ.. ส่วนณิฌ่าชอบดูดีวีดีหนังครอบครัวสมัยก่อน เช่น willy wonka and the chocolate factory, mary poppins, chitty chitty bang bang อยู่พักนึง น่าจะประมาณสามขวบ ซึ่งเรารับได้เพราะเราดูกับเค้าด้วยตลอด มันไม่มีเนื้อเรื่องให้น่ากังวลใจอ่ะ แต่ก็ยังไม่ดูทีวีแบบช่องต่างๆไรงี้ ส่วนเมซี่ชอบ true spark บางเรื่องซึ่งเราก็โอเค เพราะมันไม่ได้ยาวๆอ่ะ แค่ประมาณครึ่งชั่วโมง พอจบเรื่องที่ชอบก็ไปหาของเล่นหรือหนังสือแทน แต่ถ้าเห็นพ่อหยิบหนังสือก็ไม่อยู่หน้าจอที่มีเรื่องโปรดเหมือนกัน วิ่งไปเกาะพ่อซะงั้น
ส่วนของเล่นส่วนใหญ่ที่บ้านจะไม่เป็นพวกที่มีแสงสีเสียงเท่าไหร่นัก จะเยอะก็ตุ๊กตา board games, cards, จิ๊กซอว์ เลโก้ cooking toys อะไรประมาณนี้ นอกนั้นก็เห็นจะเป็นหนังสือนี่แหละ ซึ่งลูกๆก็ตื่นเต้นกันมาก สนุกกับหนังสือได้พอๆกับของเล่นเลยทีเดียว แต่ถึงกระนั้น ลูกเราก็รู้จัก iphone, ipod, ipad, PSP, Nintendo DS นะ เพราะเห็นพี่ๆที่ออฟฟิศพ่อเล่นกันให้พรึ่บ แต่ลูกไม่เคยขอให้ซื้อให้ อย่างมือถือ คนโตมักจะเล่าให้ฟังว่าเพื่อนรุ่นเธอที่ไปเรียนภาษาที่ออฟฟิศพ่อมีมือถืออย่างงั้นอย่างงี้ แต่ไม่เคยขอให้ซื้อให้
เรื่องเรียน
เราคิดว่าเราโชคดีที่ได้เจอ รร นี้ อาจจะไม่ใช่ รร ในฝันแต่คือที่นี่ก็ใกล้เคียงมากที่สุดแล้ว รร เป็นแนววิถีพุทธ บ้านเราไม่ได้นับถือพุทธกัน แต่เราก็ไม่ขัดที่ลูกจะทำกิจกรรมใดๆกับทาง รร เพราะเราถือว่าลูกไม่ได้เสียอะไร เค้ามีโอกาสได้เห็นได้ทำ ซึ่งนั่นเป็นการเปิดโลกทัศน์ให้ลูกต่างหาก ที่ชอบ รร นี้เพราะได้อยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราและสามีต้องการมากที่สุดสำหรับลูก จริงๆแค่ รร มีสภาพแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติเราก็ดีใจแล้ว แต่ที่นี่เค้ามีวิชาจิตใกล้ชิดธรรมชาติ ทำให้เด็กได้รู้จักธรรมชาติลึกเข้าไปอีก (แต่พอมององค์รวมแล้ว มันไม่ใช่แค่ธรรมชาติไง มันรวมไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งรู้จักตัวเองได้ดีขึ้น) ซึ่งเราเชื่อว่ามันจะเป็นหนทางที่จะทำให้ลูกเราติดดินมากที่สุด แบบกินเป็นอยู่เป็น อะไรประมาณนี้ ประกอบกับแนวทางปัจจุบัน รร เอาวอลดอร์ฟเข้ามาใช้ด้วย ทำให้มีหลายๆอย่างที่เราในฐานะผู้ปกครองต้องให้ความร่วมมือกับทาง รร เช่น ไม่ให้ลูกรับสื่อที่เป็นเทคโนโลยีเป็นประจำ ไม่สวมใส่หรือใช้สิ่งของที่เป็นรูปการ์ตูนซึ่งมาจากสื่อโทรทัศน์ ฯลฯ ซึ่งอันนี้เราชอบ ด้วยความที่ชอบเสื้อผ้าแบบเรียบๆ เพราะรู้สึกว่าเสื้อผ้าลายการ์ตูนมันเกร่อซะ ไม่อยากให้ลูกเป็นหนึ่งในผู้บริโภคของประมาณนี้
นอกจากนี้เราก็ชอบที่ รร ให้เด็กๆได้ออกนอกสถานที่บ่อยๆ โดยแต่ละสถานที่ที่ไปก็ไม่ซ้ำกับ รร อื่นๆ ที่เราเห็นประจำก็คงเป็น พิพิธภัณฑ์เด็ก พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ เขาดิน ฯลฯ แต่ รร นี้พาเด็กไป ยกตัวอย่างเช่น สดๆร้อนๆ พิพิธภัณฑ์กายวิภาคคองดอนที่ศิริราช เพื่อไปเรียนรู้อวัยวะต่างๆจากอาจารย์ใหญ่ ประมาณว่าได้เห็นของจริง ซึ่งเราแปลกใจว่าเด็กๆเค้าไม่มีที่ท่าอื่นใดเลยนอกจากสนอกสนใจที่จะดูและฟังคนที่บรรยายสิ่งที่พวกเค้ากำลังดู กลับเป็นผู้ใหญ่อย่างเราซะอีกที่เกิดอาการคลื่นไส้ ฯลฯ ถ้าเราไม่ได้ไปเห็นด้วยตาตัวเองเราก็คงไม่เชื่อตอนที่ครูเล่าให้ฟังว่าเด็กกระตือรือร้นขนาดไหน ปลื้มใจที่เห็นลูกเราเป็นเด็กแถวหน้า ตั้งใจดูตั้งใจฟังได้ขนาดนั้น
การบ้านที่ รร ให้เด็กเป็นการบ้านครอบครัวสัปดาห์ละครั้ง พ่อแม่ต้องมีส่วนร่วมทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นงานชิ้นเล็กหรือประดิษฐ์สิ่งของต่างๆ บางทีลูกกระตือรือร้นจะทำส่งครู แต่กลับเป็นเราเองที่อิดออดไม่อยากทำ
นอกเหนือจากนี้แล้ว เด็กๆบ้านเราอาจจะเป็นหนึ่งในครอบครัวส่วนน้อยมั้งที่ไม่ได้ให้ลูกๆไปเรียนเสริมอื่นๆ เช่น ดนตรี กีฬา ศิลปะ ภาษา จริงๆแล้วเราอยากให้ลูกเรียนพวกนี้มากๆ เรารู้สึกว่ามันน่าจะช่วยอะไรลูกได้บ้างในการใช้ชีวิต ดนตรีอาจทำให้ลูกเป็นคนสุนทรีย์ กีฬาอาจช่วยให้ลูกเป็นคนมีวินัย ศิลปะจะช่วยเปิดจินตนาการของลูก แต่ทั้งหมดนี้ที่เราคิดเรากลับคิดว่าเราทำให้ลูกได้ครบโดยไม่ต้องพาลูกไปเรียน ณ ตอนนี้ ลูกอาจจะเล่นเปียโนได้ไม่เก่งเท่าเพื่อน อาจจะวาดรูปไม่ได้ดีแบบเพื่อน แต่ถ้าลูกมีความสุขกับสิ่งที่กำลังได้ทำกับพ่อแม่อยู่ เราก็ว่ามันก็ไม่เลวนะ (ทั้งหมดนี้ไม่นับรวมของเมซี่ที่เราแพลนไว้สำหรับปีหน้า อิอิ คือมันคนละเรื่องกันแล้วแหละ)
แต่พอมาถึงช่วงประถม ก็โฮมสคูลแล้ว วันก่อนมีคุณยายชี้มาที่โซอี้แล้วถามเราว่า "คนนี้ไม่เรียนหนังสือเหรอคะ?" เราก็แบบเออนะ เค้ามีสิทธิ์คิดแหละว่าโซอี้ไม่ได้เรียนหนังสือเพียงแค่เพราะเธอใส่ชุดไพรเวทและมารับน้องก่อนเวลา รร ทั่วไปเลิก แต่เราก็ตะขิดตะขวงใจอยู่มากว่า มีคนแบบนี้เยอะมั้ยที่มองว่าเราเป็นแม่ที่แย่ขนาดว่าไม่ให้ลูกได้มีการศึกษา? คือมันจะเป็นไปได้มากขนาดไหนที่พ่อของเด็กจบ ป เอก โดยได้รับทุนการศึกษาตลอดมาตั้งแต่ ป ตรี และแม่ของเด็กที่จบ ป โทจะปล่อยปละละเลยลูกตัวเองได้ขนาดนั้น? อย่างไรก็ดี พอโฮมสคูลกันแล้ว โอกาสที่ลูกจะได้ใกล้ชิดธรรมชาติก็คงไม่เหมือนเดิมแบบตอนอยู่ที่ รร แต่เราก็จะพยายามทำให้ดีที่สุด ต่อยอดให้ลูกจาก รร นี้อ่ะแหละ
ยังไม่อยากมองไปถึงตอนที่ลูกต้องย้ายไปประจำที่สก็อตแลนด์ว่าเค้าจะเป็นยังไงบ้าง แต่ดูจากหลานๆที่ไปเรียนก็ติดดินกันทุกคนนะ แล้วก็รักการอ่านเป็นที่สุด
ประมาณนี้แหละ ครอบครัวเลี้ยงลูกสวนกระแสของเรา เปรี้ยวปะ? อิอิ
ป.ล. กลับมาเพิ่มเติมเรื่องการดูทีวี
แก้ไขเมื่อ 11 ก.ค. 53 23:20:51
แก้ไขเมื่อ 11 ก.ค. 53 23:18:22
จากคุณ |
:
ShiEri
|
เขียนเมื่อ |
:
11 ก.ค. 53 23:08:02
|
|
|
|
|