 |
เมื่อวานนี้วันเกิดลูกสาวผม อายุ 2 ขวบแล้ว แต่ไม่ได้เป่าเทียนกับลูกและยังสร้างความมั่นคงให้กับลูกไม่ได้เลย
|
|
ผมคือใคร? ผมคือผู้ชายอายุ 26 ปี ทำงานกินเงินเดือน 15,000 บาท มีแฟนอายุ 28 ปีที่กำลังว่างงาน จึงมีสถานะเป็นแม่บ้าน มีลูกสาว 1 คน ซึ่งวันนี้เป็นวันที่เธอมีอายุครบ 2 ขวบพอดี แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ ต้องบอกว่าการมีลูก ทำให้ผมเป็นคนเข้มแข็งในการใช้ชีวิต
ผมเรียนจบปริญญาตรีในปี 2549 ด้วยเกรดที่สวยหรู แต่สาขาที่ผมจบมามันเฉพาะทางเกินไป และไม่เป็นที่ต้องการของตลาดเท่าไหร่ ผมตัดสินใจเรียนต่อปริญญาโทในปี 2550 โดยคาดหวังตำแหน่งทางวิชาการและการเป็นอาจารย์ แต่เหตุการณ์บางอย่างได้เปลี่ยนชีวิตผมตลอดกาล
เช้าของวันที่ 17 มีนาคม 2551 ผมพาแฟนไปตรวจที่โรงพยาบาลเล็กๆย่านรามคำแหง เพื่อหาสาเหตุของก้อนเนื้อที่วิ่งไปมาระหว่างช่องท้อง ตอนนั้นผมกับแฟนยังเข้าใจว่าอาจจะเป็นก้อนเนื้อธรรมดาที่สร้างความรำคาญ หรืออย่างร้ายก็คือ ก้อนเนื้อร้ายที่ต้องได้รับการรักษาโดยเร่งด่วน หลังจากตรวจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หมอให้ผมกับแฟนรอแล้วกลับมาฟังผลอีกทีช่วงบ่าย ผมกับแฟนไม่คิดอะไรตอนนั้นจริงๆ เรื่องมีเด็กก็ไม่คิดสักเท่าไหร่ เพราะผมมั่นใจในการนับหน้า 7 หลัง 7 ของผมที่ไม่เคยผิดพลาดมาเลยตลอด 4 -5 ที่ผ่านมา
แต่ทันทีที่ผมกลับไปฟังผลที่โรงพยาบาล ฟ้าก็ผ่าลงกลางใจของผมและแฟน เมื่อคุณหมอแจ้งว่า ไอ้ที่มันโป่งๆน่ะ เอ่อ...ท้องนะ ท้องได้ 4 เดือนแล้ว เออ...ฝากครรภ์ซะที่นี่เลยไหม...อ้า...ไป...ไปฝากครรภ์เลย แฟนผมทรุดนั่งบนเก้าอี้ ส่วนผมทรุดเอามือตะกายฝาพยุงตัวเองไว้ เราสองคนพูดอะไรไม่ออก พยาบาลรีบพยุงแฟนผมออกไปห้องตรวจเลือดอย่างรวดเร็วโดยมีผมเดินตามห่างๆพลางคิดไปว่าต่อไปจะเอายังไงดี
เย็นวันนั้น หลังจากเรากลับจากโรงพยาบาล ผมกับแฟนพูดอะไรกันไม่ออก กินอะไรไม่ลง นั่งหมดอาลัยตายอยาก เราทั้งสองคนสรุปกันว่า ยังไม่ต้องบอกเรื่องนี้ให้ใครทราบ เพราะไม่รู้ว่าเมื่อผู้ใหญ่ของฝ่ายใดรู้เรื่องขึ้นมาจะมีผลตอบรับมาเป็นอย่างไร เช่นเดียวกัน เพื่อนร่วมงาน คนรอบข้าง ต้องไม่มีใครรู้เรื่องนี้ แต่ที่แน่ๆเราตัดสินใจที่จะไม่ทำแท้งโดยเด็ดขาด ผมเกลียดคนที่ทำแท้งมาก เพราะผมเชื่อว่าถ้าเรามีปัญญาทำได้ ก็ต้องมีปัญญารับผิดชอบได้ การกล่าวอ้างว่าทำเพราะไม่พร้อม ผมถือว่าฟังไม่ขึ้น ผมมีเพื่อนผู้หญิงที่ผ่านการทำแท้งมาแล้ว เท่าที่รู้จักก็ 2 คน หน้าตาสวยด้วย ทั้งคู่อ้างว่าไม่พร้อมบ้าง โดนแฟนทิ้งบ้าง ผมว่ามันไม่ใช่ละ ผู้ชายเลวแล้วล่ะ ถ้าอยากคุมกำเนิดต้องคุมกำหนัด ผู้หญิงก็เหมือนกัน รู้ว่ามีโอกาสพลาด ก็ยังปล่อยให้เข้ามา ของแบบนี้ต้องโทษทั้งคู่ เพราะตบมือข้างเดียวมันไม่ดัง ซึ่งกรณีของผมก็เช่นกัน เกิดจากความผิดพลาดที่ไม่ยอมคุมให้ดี พอพลาดแล้วกินโพสตินอร์ตาม ปรากฏครั้งที่ซื้อมานั้นยี่ห้อต่างจากเดิม เป็นกล่องสีฟ้า ไม่ใช่สีน้ำตาลเหลือง ผมจึงสันนิษฐานว่ายานี้เอาไม่อยู่ ผมจึงสาปส่งร้านขายยาแบบเชนสโตร์ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ผมและแฟนยังคงกลับเข้าไปทำงานตามปกติ ผมปิดเรื่องนี้ไม่ให้คนในที่ทำงานทราบ เพราะกลัวคนสมน้ำหน้า สังคมในที่ทำงานเป็นสังคมปากว่าตาขยิบ แม้ปากจะบอกว่าการท้องก่อนแต่งไม่เป็นไร แต่ลับหลังไปแฟนผมโดนเละแน่ๆ ดังนั้นในระยะแรก จึงมีเพียงผมกับแฟนเท่านั้นที่รู้ เราทั้งสองต้องใช้ชีวิตอย่างหลบๆซ่อนๆอย่างน้อยก็ต้องให้แฟนผมได้รับการปรับตัวสักระยะเวลาหนึ่ง
มันเป็นเรื่องที่ทรมานมาก ตัวผมเองจบใหม่กำลังหางาน ซึ่งยังไม่สามารถหางานประจำได้เป็นหลักเป็นแหล่ง กินเงินเดือนที่ทำงานเก่า 6,000 บาท/เดือน พอมีพอใช้ไปวันๆ ส่วนแฟนผมทำงานได้ 5,000 บาท พอเอามารวมกันก็พอไหวอยู่ แฟนผมพอจะอดทนทำงานช่วยผมได้ แต่พอปลายเดือนเมษายน 2551 ท้องก็เริ่มโตขึ้นอย่างชัดเจน ผมบอกให้แฟนออกจากที่ทำงาน ให้แฟนอยู่บ้าน ผมจะทำงาน หางานพิเศษเอง ซึ่งปรากฎว่าผมรับงานโหลดจนส่งงานให้ลูกค้าเกือบไม่ทัน ส่วนแฟนอยู่บ้านเฉยๆก็เครียด พอจะออกจากบ้านก็กลัวจะเจอกับคนรู้จัก ตอนนั้น ผมเริ่มยืมเงินคนนั้นคนนี้มาบ้าง เพราะค่าใช้จ่ายเรื่องดูแลครรภ์เยอะขึ้น ผมพยายามเสริมเท่าที่จะเสริมได้ แต่รายจ่ายก็เพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน
ช่วงนั้นผมรอผลการบรรจุงานของที่ทำงานเก่าอย่างใจจดใจจ่อ ทางหน่วยงานส่งชื่อไปสามคน ท้ายที่สุด ได้รับการเสนอบรรจุเพียง 2 คนโดยที่ผมเป็นบุคคลที่มีรายชื่อสาบสูญ ผมยอมรับว่า วินาทีนั้น ผมรู้สึกช็อคมาก มันเหมือนความหวังสุดท้ายของผมสลายหายไปต่อหน้าต่อตา มีเพื่อนร่วมงานมากมายปลอบผมตามประสาสุภาพชน เพราะที่ทำงานของผม แรงในเรื่องของการเมืองภายในอยู่แล้ว หัวหน้าฝ่ายและหัวหน้าหน่วยก็รับรู้ดีว่าผมมีความลำบาก แต่ตอนนั้นไม่มีใครในที่ทำงานรู้ว่าแฟนผมที่ทำงานเดียวกันนั้นตั้งท้อง ที่ทำงานเปิดโอกาสให้ผมลางานไปสัมภาษณ์งานได้เป็นครั้งคราว แต่หลังจากผมลองดูในช่วงสองสัปดาห์แรก ผมบอกตามตรงว่าการวิ่งรอกสัมภาษณ์งานเป็นเรื่องที่แสนสาหัสมาก แถมคนที่นั่งสัมภาษณ์ด้วยกันเป็นคนที่มีประสบการณ์มาแล้วทั้งนั้น ผมไปสัมภาษณ์ในตอนเช้าและจะเข้าที่ทำงานในตอนเย็น เป็นแบบนี้อยู่ราวสองอาทิตย์
แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 53 16:44:46
แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 53 16:44:16
จากคุณ |
:
MoMo says
|
เขียนเมื่อ |
:
9 ส.ค. 53 04:10:50
|
|
|
|  |