....อ้อมกอดของพ่อแม่ คือ ....ยา.... ที่ดีที่สุด ในวันที่เราป่วย
|
|
เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาได้กลับไปเยี่ยมน้องๆที่อำเภอสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่เคยไปทำค่ายอาสาเมื่อปลายปีที่แล้ว การเดินทางค่อนข้างลำบาก เพราะเข้าช่วงหน้าฝน ถนนเละ ประกอบกับหนทางที่ลาดชัน ทำให้เวลาที่ใช้เดินทางมากกว่าครั้งก่อนค่อนข้างมาก
ระยะเวลาในการเดินทางจากกรุงเทพสู่อำเภอสบเมยประมาณ 13 ชั่วโมงเราก็ขึ้นถึงโรงเรียน
โรงนอนของโรงเรียน วันนี้ทำไมดูเงียบเหงา ไม่มีเด็กวิ่งหยอกล้อเล่นเหมือนกันครั้งก่อน คำถามที่เกิดขึ้นในใจตอนนั้น
ผมค่อยๆเดินเลาะดูรอบๆโรงนอน สาดส่องสายตาผ่านกระจกที่บางแผ่นเว้นว่างไว้ บางแผ่นมีรอยร้าว สิ่งที่พบเจอเบื้องหน้าคือ เด็กตัวเล็กตัวน้อยนอนห่มผ้าคลุมโปง บ้างก็นั่งทำหน้าไม่สู้ดีนักบนเตียงนอน แววตาหลายๆคู่มันดูหดหู่นัก
ผมไม่ได้พูดคุยกับน้องๆเลยในตอนนั้น ค่อยๆถอนตัวออกจากหน้าต่างมุ่งตรงสู่ห้องพักครูที่อยู่ห้องติดกัน
เสียงไอเล็ดลอดออกมาจากห้องที่ถูกเปิดประตูไว้ ครูกำลังนั่งตรวจงานเด็กๆ พลางนั่งไอคลอไปด้วย เมื่อครูเห็นผมจึงละมือจากงานที่ทำ กล่าวทักทาย ไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบกันพอสมควร
ทุกอย่างจึงกระจ่างหมดในทันที เข้าช่วงหน้าฝนของทุกปี เด็กบนดอยจะป่วยกันมาก ทั้งมาละเรีย ทั้งไข้เลือดออก ไข้หวัด เมื่อคนหนึ่งเป็น ก็จะติดต่อกันยกใหญ่ ไม่เว้นแม้กระทั่งครูก็พาลติดจากเด็กไปด้วย
หน้าฝนทีไร อะไรมันก็ดูแย่ไปหมด ผมยังแย่เลย เสียงครูกล่าวกับผม บางวันครูต้องหยุดสอนเพื่อมาคอยเฝ้าเด็กอย่างใกล้ชิด เพราะเด็กชั้น ป 1 ป 2 ยังเล็กมากดูแลตัวเองไม่ได้เลย
เป็นไข้ทีนึงก็ร้องหาแต่พ่อแม่ อยากกลับบ้าน ไม่ยอมกินข้าวกินปลา ครูก็ทำอะไรไม่ได้มาก ได้แค่ประคับประคองไม่ให้มันหนักมากไปกว่านี้ ครั้นจะเดินไปส่งเด็กที่บ้าน ก็เดินข้ามเขาไปหลายชั่วโมง มีบางครั้งต้องให้เด็กโตๆที่โรงนอนเดินกันพาไปส่งเด็กที่บ้าน ซึ่งครูบอกมันไม่ใช่ทางออกที่ดีเลย เพราะบ้านของเด็กอยู่ห่างไกล ต้องเข้าป่าไปอีก หากเกิดอะไรขึ้นมาไม่ทันหามอแน่ๆ ครูเลยเลือกที่จะฝืนใจเด็ก เอาตัวไว้ที่หอพักและดูแลเอง
บางคนที่เป็นหนักจริงๆ ครูต้องขับรถลงดอยพาเข้าเมืองเพื่อหาหมอ สภาพเด็กเล็กๆสองคนนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์กอดเอวครูแน่นหลับตาพริ้มยังตราตรึงผมอย่างดี
รถมอเตอร์ไซค์วิ่งฝ่าสายฝนร่วมสองชั่วโมง ก่อนจะถึงตัวเมือง นี่ยังไม่รวมเวลาที่ต้องรอคอยหมออีกทั้งวัน ถ้าลงจากบนดอยมาหาหมอในตอนเช้า กว่าจะกลับถึงโรงเรียนก็ค่ำพอดี เพราะหมอมีคนเดียว
ผมออกจากห้องพักของครูหลังจากได้พูดคุยกันพอประมาณ เพื่อให้ครูได้ทำงานต่อ ผมเข้ามาให้โรงนอนของเด็ก ค่อยๆนั่งมองผ่านมุ้งเล็กๆ ที่คลุมตัวเด็กอยู่ ผมใจไม่ค่อยดีเท่าไหร่ในตอนนั้น และถามตัวเองว่า
ตอนเด็กๆขนาดนี้ เรามีพ่อแม่ดูแลอย่างใกล้ชิดเมื่อตอนเราป่วย พ่อแม่กอดเรา ซื้อของเล่นให้เราที่เราอยากได้ ตามใจเราทุกอย่าง
แต่เด็กหลายๆคนที่ผมเห็นข้างหน้าในตอนนี้
เขาไม่มีโอกาสแม้จะได้อยู่ในอ้อมกอดของพ่อแม่ ในวันที่ร่างกายก่อนแอ สภาพจิตใจก็เช่นกัน มันแย่ลงไปพร้อมๆกับสภาพร่างกาย
ผมก็คงจะทำได้ดีที่สุดแค่เพียงเอามือไปสัมผัสที่หน้าผาก น้องสะดุ้งตื่น หันมามองหน้า ก่อนจะคลายกังวล เพราะเราก็เคยเห็นหน้ากันมาบ้างแล้ว
ดีขึ้นหรือยังครับ ผมค่อยถามน้อง แต่ไม่มีสัญญานตอบกลับ น้องเพียงแค่พยักหน้าเบาๆ
กินข้าว กินยาหรือยัง เดี๋ยวพี่ป้อนเอาไหม น้องก็ได้แต่ส่ายหน้า
อยากกินขนมไหม พี่เอาขนมมาฝาก เหมือนน้องจะนิ่งไป งั้นพักผ่อนนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่จะมาเยี่ยมใหม่ ผมพูดประโยคนี้จบก่อนจะถอนตัวออกจากเตียงนอน
ผมคงพูดอะไรไม่ได้มากกว่านี้แล้ว สภาพตัวเองตอนนั้นรู้สึกหดหู่จริงๆ ในใจตอนนั้นผมร้องไห้ไปแล้ว สงสารน้องๆ และตัวเองก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย
หลังจากกลับมาทบทวนเรื่องราวอะไรหลายอย่างที่กรุงเทพ ผมเลยตัดสินใจเขียนมันขึ้นมา เพียงเพื่ออยากให้รู้ว่า
ในซอกหลืบนึงของประเทศไทย ที่เรียกว่าชายขอบ ยังมีเด็กอีกมากมายที่ประสบพบเจอกับสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
หากมีโอกาส มีกำลังเพียงพอที่ตนเองไม่เดือดร้อน มองไปทางนั้นบ้างนะครับ ขึ้นไปให้กำลังใจเด็กๆ ขึ้นไปช่วยกันเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป แม้จะไม่ใช่ทั้งหมด แต่เพียงแค่ส่วนนึงก็ยังดีครับ
ขอบคุณครับ
จากคุณ |
:
natashi
|
เขียนเมื่อ |
:
30 ส.ค. 53 08:28:39
|
|
|
|