<<<< Single Mom ด้วยน้ำมือของกฎหมาย >>> เอาบทความมาให้อ่านปิดท้ายเดือนกันยายนคะ ^^
|
|
โดย สมชาย ปรีชาศิลปกุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ปรากกฏการณ์ของ Single Mom หรือแม่เลี้ยงเดี่ยวกำลังขยายตัวอย่างกว้างขวางในสังคมไทย จะพบว่ามีเด็กไทยจำนวนมากที่เติบโตขึ้นมาภายใต้ครอบครัวที่มีพ่อหรือแม่ เพียงคนเดียวเป็นผู้เลี้ยงดู และครอบครัวประเภทนี้มักจะเป็นครอบครัวในรูปแบบของแม่เลี้ยงเดี่ยวเป็นส่วนใหญ่
ดังจะเห็นได้จากข่าวตามสื่อมวลชนซึ่งมีภาพของแม่เลี้ยงเดี่ยวปรากฏ อย่างบ่อยครั้ง ซึ่งลักษณะ ของการเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวอาจเป็นผลมาจากการหย่าร้างระหว่างสามี ภรรยา การแยกกันอยู่ หรือการปฏิเสธความรับผิดชอบของทางฝ่ายชายต่อเด็กที่ถือกำเนิดขึ้นมา ร่วมถึงการทอดทิ้งไป อย่างไม่ไยดีของทางฝ่ายผู้เป็นบิดาของเด็ก
ปฏิเสธไม่ได้ว่า สภาวะครอบครัวแบบเลี้ยงเดี่ยวมีการเพิ่มมากขึ้นในด้านหนึ่งอาจเป็นผลจาก ความเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคมที่เปิดกว้างมากขึ้นในการตัดสินใจต่อการใช้ชีวิตคู่ระหว่าง ชายกับหญิง อันไม่จำเป็นอดทนใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันไปตราบจน "ถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร" เฉกเช่นที่ เคยมีการอบรมกันมาในอดีต สถิติการหย่าร้างระหว่างสามีภรรยาที่สูงมากขึ้นเป็นสิ่งที่สะท้อน ถึงความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม ลำพังความเปลี่ยนแปลงในทางสังคมอาจไม่เพียงพอต่อการอธิบายถึงความเปลี่ยน แปลงนี้ได้อย่างรอบด้าน ในอีกด้านหนึ่งระบบกฎหมายของไทยก็มีส่วนสำคัญก็ต่อการขยายตัว ของแม่เลี้ยง เดี่ยวให้เกิดขึ้น
ในความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงและบุตรที่ถือกำเนิดขึ้นตามระบบกฎหมาย ครอบครัวของไทย แม้จะได้มีกำหนดสิทธิหน้าที่และความรับผิดชอบของฝ่ายชายเอาไว้ในฐานะที่เป็น ส่วนหนึ่ง ของครอบครัวที่ต้องเข้ามาร่วมรับผิดชอบต่อการเลี้ยงดูทั้งภรรยาและ บุตร แต่ภาระหน้าที่ ดังกล่าวนี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง ได้มีการจดทะเบียนสมรส หรือกล่าว อีกนัยหนึ่งคือ ต้องมีการแต่งงานที่ถูกต้องตามกฎหมายเกิดขึ้น จึงจะทำให้เกิดหน้าที่ของฝ่ายชาย ตามกฎหมายขึ้น
หากหญิงชายไม่ได้มีการแต่งงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย จะถือว่าระหว่างหญิงชายคู่นั้น ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ ในทางกฎหมาย ไม่เพียงแต่ฝ่ายชายไม่ต้องมีความรับผิดชอบต่อหญิง ในฐานะของสามีเท่านั้น หากยังรวมถึงไม่มีภาระหน้าที่ทางกฎหมายต่อเด็กที่ถือกำเนิดขึ้นมา หากหญิงต้องการให้ฝ่ายชายรับผิดชอบในฐานะที่เป็นพ่อของเด็กก็ต้องใช้กระบวน การทางกฎหมาย ดำเนินการฟ้องร้อง เพื่อให้ฝ่ายชายเป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายของเด็กก่อน
การใช้กระบวนการทางกฎหมายจึงเป็นเครื่องมือสำคัญประการหนึ่ง แม้จะดูเหมือนไม่มีความยุ่งยาก ต่อการฟ้องคดีเพื่อให้เกิดการรับรองเด็กเป็นบุตร นอกจากการพิสูจน์ให้ได้ว่าเด็กที่ถือกำเนิดขึ้นมา เป็นบุตรของตนกับชายคนดัง กล่าว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหากทางฝ่ายหญิงชนะคดีแล้ว จะทำให้ทุกอย่างดำเนินไป อย่างราบรื่น ในความเป็นจริงยังมีขั้นตอนและกระบวนการอีกมากมาย ที่ต้องเผชิญต่อไป เฉกเช่นเดียวกับหญิงที่ได้จดทะเบียนสมรสกับชายอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ในกรณีที่หญิงชายมีการจดทะเบียนสมรสกันถูกต้องตามกฎหมาย หากมีการหย่าร้างเกิดขึ้น ไม่ว่าจะด้วยความสมัครใจหรือการฟ้องร้องในกรณีที่ ไม่เต็มใจจะหย่าร้าง โดยทั่วไปจะถือว่า ฝ่ายชายมีหน้าที่ในการให้การอุปการะเลี้ยงดูบุตรในฐานะที่ เป็นบิดาของเด็กคนดังกล่าว กรณีนี้สำหรับทางฝ่ายหญิงไม่จำเป็นต้องฟ้องร้องให้เกิดสถานะของการเป็นบิดา ที่ชอบด้วย กฎหมายแต่อย่างใด
แต่ความยุ่งยากในการฟ้องร้องเพื่อให้ฝ่ายชายเข้ามาร่วมรับผิดชอบใน ค่าอุปการะเลี้ยงดู ไม่ว่าจะเป็นหญิงที่ได้จดทะเบียนสมรสกับชายหรือไม่ ล้วนต่างต้องเผชิญกับปัญหาร่วมกัน ในกระบวนการทางกฎหมายทั้งสิ้น
เนื่องจากในการฟ้องร้องคดีเพื่อให้ฝ่ายชายเกิดความรับผิดชอบที่ ชัดเจนโดยเฉพาะเรื่องค่า อุปการะเลี้ยงบุตร แม้ศาลจะได้มีคำตัดสินให้ทางฝ่ายหญิงได้รับค่าเลี้ยงดูจากชายโดยกำหนดเป็น จำนวนที่แน่นอนในแต่ละเดือน ในทางปฏิบัติจริงในหลายคดีพบว่าในระยะแรกนั้นทางฝ่ายชาย จะจ่ายตามที่ได้มีคำพิพากษาเอาไว้ แต่เมื่อไปช่วงเวลาหนึ่งแทบทั้งหมดทางฝ่ายชายจะยุติ การจ่ายค่าเลี้ยงดูให้ กับทางฝ่ายหญิง ซึ่งอาจเป็นระยะเวลาสั้นยาวแตกต่างกัน
ไม่ว่าการเบี้ยวค่าเลี้ยงดูให้กับบุตรที่หญิงเป็นคนเลี้ยงดูนั้นจะ เกิดขึ้นด้วยเหตุผลอันใด แต่ก็ทำให้ หญิงต้องเผชิญกับความยากลำบากอย่างแน่นอน ต้องไม่ลืมความจริงประการหนึ่งว่า เมื่อทางฝ่ายหญิง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้รับเลี้ยงดูบุตรด้วยตนเองภายหลังชีวิต คู่ยุติลง จะมีความยากลำบากในการ ประกอบอาชีพมากกว่าบุคคลทั่วไป เฉพาะอย่างยิ่งในยามที่เด็กยังมีอายุน้อยต้องการการประคบประหงม อย่างใกล้ชิด จากผู้เลี้ยงดูทำให้มีข้อจำกัดในการแสวงหาอาชีพการงาน
ถ้าต้องการให้ฝ่ายปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือข้อตกลงในการจ่ายค่า อุปการะเลี้ยงดูตามที่ได้ตกลงเอาไว้ หนทางในทางกฎหมายจะเกิดขึ้นก็ได้ด้วยการฟ้องร้องคดีอีกครั้งว่า ฝ่ายชายไม่ปฏิบัติตามภาระหน้าที่ ที่ได้กำหนดกันเอาไว้
หากภายหลังจากการฟ้องคดีไปเรียบร้อยและทางฝ่ายชายได้ชำระค่าเลี้ยงดู ตามที่ได้กำหนดเอาไว้ เรียบร้อยแล้ว ต่อมาอีกสามเดือนทางฝ่ายชายก็ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวอีก ทางฝ่ายหญิง ก็ต้องใช้กระบวนการทางกฎหมายเป็นเครื่องมืออีก หากถึงที่สุดทางฝ่ายชายแพ้คดีก็ต้องใช้มาตรการ บังคับคดี ซึ่งก็มีความยุ่งยากที่ต้องใช้ระยะเวลายาวนาน รวมถึงขั้นตอนในการติดต่อและติดตาม กับทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกอย่างยึดเยื้อกว่าที่จะสามารถบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลง หรือคำพิพากษาที่ได้ตัดสิน เอาไว้
ทั้งหมดนี้ไม่ได้มีหลักประกันอะไรแม้แต่น้อยว่าการดำเนินการ ทางกฎหมายแล้วจะทำให้หญิง ได้รับสิทธิประโยชน์ตามที่ตนเองเรียกร้อง หากแพ้คดีขึ้นมาไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ทำให้ต้องแบกรับ ภาระเหล่านั้นทั้งหมด ไว้บนบ่าของตน
ที่กล่าวมาเป็นบางส่วนเสี้ยวของระบบกฎหมายไทย เมื่อฝ่ายหญิงตกอยู่ในสถานะแม่เลี้ยงเดี่ยว และต้องการเรียกร้องสิทธิจากฝ่ายชายที่เป็นบิดาของเด็กจะเห็นได้ว่ามีกระบวนการและขั้นตอนต่างๆ ที่สลับซับซ้อนซึ่งล้วนแต่ต้องใช้เวลา ค่าใช้จ่าย ความเสียใจ ความทุกข์ร้อน ฯลฯ
จึงไม่เป็นที่ประหลาดใจแต่อย่างใดที่ผู้หญิงจำนวนมาก (โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ไม่มีฐานะทางเศรษฐกิจดีพอ) จะเลือกแบกรับภาระต่างๆ ไว้เพียงผู้เดียวมากกว่าการพึ่งพาหรือการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ ในการเยียวยาวความเดือดร้อน ที่ตนเองได้รับ
บทความนี้ไม่ต้องการเรียกร้องให้เกิดความพยายามในการรักษาครอบครัว อุดมคติแบบพ่อ-แม่-ลูกเอาไว้ เพราะถึงที่สุดแล้วถ้าการแยกทางกันเป็นสิ่งที่ตอบสนองต่อการมีชีวิตอยู่ของ แต่ละฝ่ายได้ดีกว่าทั้งคู่ ก็ควรเลือกเส้นทางดังกล่าว มากกว่าที่จะต้องกล้ำกลืนฝืนทนอยู่ด้วยกันอย่างไม่มีความสุข
แต่บทความนี้ต้องการเรียกร้องให้เกิดความรับผิดชอบของฝ่ายที่มีกำลัง ความสามารถทางเศรษฐกิจ และด้านอื่นที่ดีกว่าในการเข้ามาร่วมแบกรับเด็กที่เกิดขึ้นจากหญิงชายคู่นั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในแง่จากทางด้านกฎหมายอันเป็นสิ่งที่มักไม่ค่อยถูกกล่าว ถึงมากเท่าใด
ภาวะแม่เลี้ยงเดี่ยวอาจเป็นปรากฏการณ์ "ปกติธรรมดา" มากขึ้นในสังคมไทยปัจจุบันและในอนาคต อันใกล้ข้างหน้า แต่ความปกตินี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะว่าความเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับการมีชีวิตคู่ แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ระบบกฎหมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบกฎหมายของไทยมีส่วนอย่างสำคัญ ในการทำให้เกิดและรวมไปถึงการซ้ำเติมให้ปัญหานี้ตกไปบนบ่าของผู้หญิงเพียงด้านเดียว
ในขณะที่ฝ่ายชายซึ่งเป็นส่วนหนึ่งและส่วนที่สำคัญต่อการทำให้เกิดปัญหานี้สามารถพ้นไป จากความรับผิดชอบได้อย่างง่ายดาย
. . .
แก้ไขเมื่อ 30 ก.ย. 53 11:05:02
จากคุณ |
:
เซเลบบ้านนา
|
เขียนเมื่อ |
:
30 ก.ย. 53 10:57:18
|
|
|
|