Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
โรคซึมเศร้าหายด้วยตัวเองได้นะคะ อยากเล่าจริงๆ  

วันนี้ดิฉันได้เจอะเจอกับบางเรื่องที่ทำให้ดิฉันรู้สึกอยากเล่าถึงอดีตตัวเองขึ้นมาค่ะ อดีตของดิฉัน ครั้งหนึ่งเคยเป็นโรคซึมเศร้าที่ค่อนข้างหนักเหมือนกัน ถึงวันนี้ดิฉันอาจจะยังไม่มีความรู้ที่ถูกต้องต่อโรคนี้มากนัก แต่ประสบการณ์ก็ทำให้ดิฉันเชื่อว่า ถ้าเรายังพอมีสติรู้ตัวอยู่ เราสามารถจัดการกับภาวะซึมเศร้าได้ด้วยตัวเอง เพราะหลายคนที่รับยาจากแพทย์ก็มีที่เกิดอาการติดยา ดังนั้นการแก้ปัญหาโรคนี้ น่าจะพึ่งตัวเองด้วยนะคะ ไม่ใช่ยาอย่างเดียว และเดี๋ยวนี้มีคนเป็นโรคซึมเศร้ากันเยอะ น่าเป็นห่วงมากๆ

สำหรับกรณีของดิฉันเองก็ต้องบอกว่าโชคดีที่เราเป็นคนสังเกตตัวเองตลอดและพยายามหาทางแก้ด้วยถึงหายมาได้ แต่ก่อนจะเล่าถึงวิธีรักษาตัวเอง จะขอเล่าที่มาของอาการป่วยใจของดิฉันก่อนนะคะ

เมื่อปี 48' ดิฉันกำลังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยชั้นปีที่ 2 ตอนนั้นอายุเพิ่ง 20 เอง ประสบการณ์ยังอ่อนด้อยมากกับชีวิต พอเจอกับปัญหาที่เรารับมือไม่ได้เลยเกิดปัญหากับสุขภาพจิตเข้าจังๆ เลยค่ะ เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า ดิฉันได้พบรักครั้งแรกในช่วงเวลานั้นค่ะ แต่ช่างเป็นความรักที่ไม่สมควรเอาซะเลย เพราะมันคือความรักระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ค่ะ เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยที่ดิฉันเรียนอยู่นี่แหละค่ะ เป็นอาจารย์ประจำภาควิชาด้วย ซึ่งทีแรกดิฉันรู้สึกประทับใจอาจารย์ท่านนี้มากเพราะความเก่งในวิชาความรู้ ภายหลังเรียนกับท่านมา 1 ปี ก็มีความรู้สึกที่พิเศษต่อกัน ถึงอายุเราจะต่างกันมากแต่ก็ไม่เป็นอุปสรรค พอปี 2 เทอม 2 อาจารย์เริ่มไปมาหาสู่ที่บ้านดิฉัน คุณแม่ดิฉันก็ไม่ได้ตำหนิอะไร เพราะอาจารย์ดูเป็นคนดีน่าคบหา แต่ในมหาลัยฯ เราไม่เปิดเผยให้ใครรู้เลยนะคะ อาจารย์ขอไว้แม้แต่เพื่อนสนิทดิฉันก็ไม่ให้รู้ รอให้เรียนจบก่อนค่อยว่ากัน ดิฉันก็เห็นด้วยในตอนนั้นค่ะ

แต่จริงๆ ระหว่างการคบหาของเรายังมีปัญหาอยู่อย่างค่ะ นั่นคือ อาจารย์มีคนที่คบหามาก่อนดิฉันแล้ว

เรื่องนี้ไม่ได้บอกให้คุณแม่ดิฉันทราบ ส่วนตัวดิฉัน ถ้าดิฉันจะบอกว่าไม่รู้เรื่องแฟนที่อาจารย์คบหาอยู่ อันนั้นก็เอาความดีเข้าตัวเกินไป เพียงแต่ด้วยความที่เรายังเด็ก และประเมินสถานการณ์ไม่เป็นเลยจึงเชื่อทันทีที่อาจารย์บอกว่า "เขาไม่ได้รักผู้หญิงคนนั้นเลย" ยังขำตัวเองนะคะ ดูละครมาก็มาก ไม่รู้ว่าเชื่อไปได้ยังไง

แล้วก็ไม่ใช่แค่อาจารย์ที่บอกอย่างนั้น เพื่อนๆ อาจารย์หลายคนก็คอยมาบอกดิฉันว่า เขาคบกันเพราะตอนนั้นอาจารย์อกหัก เคว้งคว้าง ผู้หญิงคนนั้นก็มาตื้อทุกวัน แล้วด้วยความงี่เง่า ตาบอดของเรา ก็เชื่ออาจารย์สนิทใจเลยว่าเขากำลังจะเลิกกันอยู่ ทีแรกเราสงสารผู้หญิงคนนั้นมากเลยนะคะ กลัวบาปการเป็นมือที่ 3 แต่อาจารย์และเพื่อนๆ เขาก็ยืนยันว่าเราไม่ใช่มือที่ 3 จนเรากล้าที่จะคบหากัน ด้วยความปลื้มอาจารย์เป็นทุนเดิมเอาซะมากๆ ก็เลยกล้าที่จะรออาจารย์ เพราะเขาขอให้เรา "รอ" การจากกันด้วยดีของเขาทั้งคู่ แต่ทุกวันนี้หรอคะ คนที่เขารอให้จากไปด้วยดีกลับกลายเป็นดิฉันแทน เพราะเขาพบว่าที่แท้เขารักผู้หญิงคนนั้น เจ็บปวดนะคะจะบอกให้

แต่ไม่เป็นดิฉันก็คงเดาไม่ถูกที่ว่าเจ็บน่ะ มันขนาดไหน ดิฉันเคยยกร้องไห้จนมองอะไรไม่เห็น ยกมือไหว้ขอร้องอาจารย์ก่อนหน้านี้ว่า ช่วยบอกดิฉันทีได้ไหมว่ากำลังเล่นสนุกอะไรกับชีวิตดิฉันอยู่ จิตใจดิฉันไม่ไหวแล้วขอให้เขาช่วยตัดสินใจทีว่าจะเลือกใคร แต่เขาไม่เลือกค่ะ ดิฉันถึงกับเดินร้องไห้กลับบ้านไปเลย ระยะทางไม่ต้องพูดเพราะใช้เวลาตั้งแต่เช้ายัน 2 ทุ่ม มันบ้ามากและไม่ควรทำเลย

คุณแม่พอเริ่มรู้เรื่องก็เสียใจมาก แล้วบอกดิฉันว่ามันคงเป็นกรรม คุณแม่ก็พาดิฉันไปวัด ไปปฏิบัติธรรม ดิฉันก็ห่างการติดต่อกับอาจารย์ พอเรียนจบก็ไม่ไปรับปริญญา ไม่เจอะเจอใครทั้งสิ้น เก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่บ้าน ก่อนนอนก็ร้องไห้ เช้ามาพอรู้สึกตัวตื่นก็รู้สึกเสียใจร้องไห้อีก หูเริ่มแว่วว่าได้ยินเสียงโทรศัพท์ไม่ก็เสียงรถอาจารย์มาหาบ้าง กลางคืนก็ฝันร้ายจนสะดุ้งตื่นบ่อยๆ  สรุปว่าอาการซึมเศร้าถามหา มีคิดฆ่าตัวตายแต่ยังไม่ถึงขั้นลงมือ ได้ไปพบจิตแพทย์ครั้งหนึ่งแต่ก็รู้สึกไม่ช่วยอะไร ได้แต่ยาที่ทำให้หลับได้ทั้งวัน ตอนหลังเลยแก้ปัญหาด้วยตัวเอง เริ่มจากปัญหาที่เรารู้ว่ามันคืออะไรก่อนนะคะ

เริ่มจากขั้นที่ 1     ห่างจาก "ตัวปัญหา"  ก่อนค่ะ  รู้ว่าใครเป็นปัญหาก็ห่างออกมา หักซิมมือถือทิ้ง เปลี่ยนอีเมล์ใหม่ และหลีกเลี่ยงการพบเจอพูดคุยเรื่องเดิมๆ ที่หาทางแก้ไม่ได้ อย่าไปหวังว่าเขาติดต่อมาเพื่อจะแก้ปัญหา ถ้ามันแก้ได้จริงสักวันเราจะรู้เอง แต่ตอนนี้ต้องให้ตัวเองตั้งหลักก่อน


ขั้นที่ 2     เริ่มจากทำความรู้จักตัวเองให้มากขึ้น เพื่อจะโยงไปสู่สาเหตุปัญหา เช่น ดิฉันพบว่า.... ***ตัวเองเป็นคนขาดความรักจากพ่อ พอเจออาจารย์ที่เป็นคนสุขุม อบอุ่น และมีบุคลิกแทนที่สิ่งที่ดิฉันขาดไปจึงรู้สึกว่าเติมเต็มชีวิตดิฉันได้มาก ดังนั้นดิฉันต้องแก้ปัญหาส่วนนี้ ด้วยการ "เข้าใจตัวเองก่อน" และค่อยๆ หาทางจัดการกับความต้องการลึกๆ นี้


ขั้นตอนที่ 3 หันเหความสนใจออกจากตัวเอง และตัวปัญหาบ้าง
หันไปรับฟังปัญหาคนอื่น อย่างดิฉันใช้วิธีการไปอ่านปัญหาชีวิตคนอื่นตามเว็บบอร์ดในอินเตอร์เน็ตแล้วก็ช่วยตอบปัญหาให้เขาคลายเศร้า บ้างก็ดูหนังชีวิต หรือคนสู้ชีวิตที่มาออกรายการต่างๆ ต้องทำแบบนี้อย่างต่อเนื่องนะคะ ดิฉันเองบางทีฝันร้ายตอนตี 3 ยังต้องลุกมาเปิดคอมฯ เพื่อฟังนิทานธรรมะ ไม่ก็ตอบปัญหาให้คนที่โชคร้ายเหมือนกัน(มีเยอะมากค่ะ ตอบไม่หวาดไม่ไหว) มันช่วยได้จริงๆ ค่ะ เราจะเห็นว่าคนอื่นที่เจอเหมือนเรามีเยอะ แถมรู้สึกดีที่ได้ช่วยคนอื่น ชีวิตมันมีคุณค่าขึ้นทันทีนะคะ


ขั้นตอนที่ 4        "ยอมรับความเสียใจที่เกิดขึ้น" รู้ไหมคะว่าข้อนี้สำคัญมากเลย ตอนที่ดิฉันเป็นซึมเศร้าหนักๆ หูแว่ว อยากตาย นั่นเพราะดิฉันไม่ยอมรับความเสียใจที่เกิดขึ้น พอจะร้องไห้ก็จะคอยฝืนบอกตัวเองให้หยุดๆ แต่วิธีนั้นแก้ไม่ได้เลย ตอนหลังดิฉันปล่อยเลยค่ะ อยากจะร้องไห้ร้องไป เหนื่อยก็หยุด แล้วเดินไปมองกระจกยิ้มให้ตัวเอง บอกตัวเองว่าวันนี้ร้องไห้เยอะแล้ว อยากร้องก็ค่อยร้องใหม่พรุ่งนี้

ส่วนอาการหูแว่วก็เหมือนกัน เมื่อก่อนพอหูแว่วว่าโทรศัพท์ดังก็จะวิ่งไปดู พอรู้ว่าอาจารย์ไม่ได้โทรมาจริงๆ ก็จะเสียใจร้องไห้ทุกครั้ง แต่ตอนหลังพอรู้สึกเหมือนเสียงโทรศัพท์ดังก็จะหายใจเข้าลึกๆ ถามตัวเองว่าได้ยินจริงไหม ลองเอาโทรศัพท์มาเปิดเสียงเทียบระหว่างเสียงในหัว กับเสียงจริงๆ ว่ามันต่างกันยังไง ขั้นตอนนี้คุณต้องมุ่งมั่นมากจนรู้ว่า "นี่เราโดนจิตหลอกอยู่ พอเรารู้ตัวมันก็จะหายไป"

ขั้นตอนที่ 4 ก็เหมือนกับการปฏิบัติธรรมนะคะ ต้องรู้ทุกขณะจิตว่าเรากำลังรู้สึกอะไร คิดอะไรอยู่ ได้ยินอะไรก็บอกตัวเองทุกครั้ง เหนื่อยมากที่ต้องรับความจริง แต่รับประกันว่าถ้าคุณมีสติว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นกับคุณและความคิดของคุณอยู่ ทุกอย่างแก้ได้


ขั้นตอนที่ 5  ปฏิบัติธรรมบ้าง (ไม่ต้องไปวัดก็ได้นะคะ นอนสมาธิอย่าคิดฟุ้งซ่านก็ได้ถ้าไม่อยากนั่ง) ทำบุญ แผ่เมตตา ให้อภัย หาที่สงบๆ เพื่อพักกาย พักใจ อ่านหนังสือธรรมะ อย่างตัวดิฉันเองพอเรียนจบก็ไปอยู่วัดมา 5 วัน รู้สึกดีขึ้นมาก จากที่เคยคิดว่าจะไปช่วงปิดเทอมก็ไม่เคยพาตัวเองไปได้สักที จนพอได้ไปแล้วรู้สึกคุ้มค่ามาก อยากบอกว่าการอธิษฐานจิตเวลาปฏิบัติธรรม หรือทำบุญ จะช่วยให้เราพบทางออกดีๆ ได้จริงๆ

อยากบอกทุกๆ ท่านนะคะว่า อาการซึมเศร้าไม่จำเป็นต้องพึ่งยาอย่างเดียว ถ้าเพียงคุณ "กล้ายอมรับความจริง" ไม่ว่าเรื่องอะไรที่ทำให้คุณเศร้า คุณต้องเปิดใจยอมรับมันก่อน และไม่ต้องอาย ไม่ต้องฝืนความเสียใจ ปล่อยให้ตัวเองเศร้าไปเถอะค่ะ พอเหนื่อยแล้วก็หายใจเข้าลึกๆ  ตั้งสติไว้กับตัวว่า "อย่าทำร้ายตัวเอง แค่นี้ก็เศร้าพอแล้ว" มองดูคนอื่นที่เขามีปัญหาชีวิตเหมือนเราบ้าง แล้วถ้าคนเหล่านั้นมาถามคุณว่าเขาควรจะทำยังไงต่อไป สิ่งที่คุณอยากตอบพวกเขาคืออะไร ถ้าคุณตอบว่า "เริ่มต้นใหม่เถอะ" คุณเองก็ต้องเริ่มต้นใหม่ให้ได้เช่นกัน หรือ "จะเป็นกำลังใจให้นะคะ" คุณเองก็ต้องให้กำลังใจตัวเองด้วย เพราะคุณไม่ได้เป็นคนโชคร้ายคนเดียวในโลกใบนี้นะคะ

จากคุณ : เบบี๋ที่รัก
เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 09:21:56




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com