Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
*****เตือนภัย..อันตรายของยาแก้หวัดจากรพ.****** ติดต่อทีมงาน

มาขอเล่าประสบการณ์จริงที่เกิดขึ้นกับลูกเราเพื่อมาเป็นอุทาหรณ์ต่อคุณแม่ท่านอื่นๆค่ะ เมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา ลูกเราตัวร้อนมาก เกือบ 39 องศา เราก็เลยพาไปหาหมอ ที่โรงพยาบาลมาเค้ามีน้ำมูกนิดหน่อย หมอก็เลย ให้ยา แก้ไข้(tempra drop), ยาแก้อักเสบ ( Cuvumex), ยาลดเสมหะ( Mucocin bisolvon) และยาแก้คัดจมูก ( Maxiphed) พร้อม ให้ลูกเรา ตรวจเรื่องหวัด 2009 เบ็ดเสร็จจ่ายไป 2,900 บาท สำหรับแล้วจ่ายแพงไม่ว่า ขอให้ลูกเราหายก็พอ แต่ปรากฏว่า ผ่านมา 5 วันแล้ว ก็ไม่หาย แถมมีอาการท้องเสีย วันละ 2 ครั้ง และไอมาก ทั้งที่ก่อนหา หมอ ก็ไม่ไอ เราเลยหาข้อมูลเรื่องผลข้างเคียงของยาพวกนี้ ปรากฏว่ายาแก้อักเสบ นี้แหละทำให้ลูกเราท้องเสีย ส่วนยาลดเสมหะ ทำให้ลูกเราไอ แต่ตอนนี้ลูกเราก็หายไข้แล้ว เราเลยตัดสินใจ ให้เค้างดยา ของหมอทั้งหมด แล้วใช้วิธีรักษาแบบธรรมชาติเอา

โดย
1. ให้กินน้ำอุ่นตลอดเวลา
2. กินผลไม้รสเปรี้ยว เช่น ส้ม ฝรั่ง กีวี มะเขือเทศ เพราะมีวิตามินซี
3. กินนมเปรี้ยว โยเกริ์ต นมเปรี้ยวที่เรากำลังกล่าวถึงนี้คือ นมเปรี้ยวที่มีเชื้อแลตโตบาซิลลัส จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อ ร่างกาย ซึ่งการรับประทานนมเปรี้ยวชนิดนี้จะช่วยกระตุ้นสารแกมมาอินเตอร์ฟีรอนหรือภูมิคุ้มกันในร่างกายให้สูงขึ้นได้ จากผลการวิจัยชิ้นหนึ่งโดย ดร. จอร์จ ฮาลเฟิร์น แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ระบุว่า การทาน โยเกิร์ตวันละ 4 เวลาเป็นประจำทุกวันจะทำให้ระดับแกมมาอินเตอร์ฟีรอนเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า ยิ่งไปกว่านั้นงานวิจัยยังพบอีกว่าการดื่มนมเปรี้ยวทุกวันจะช่วยลดอาการทุกข์ทรมานจากหวัดละอองฟาง ภูมิแพ้ ร้อยละยี่สิบห้า เป็นหวัดน้อยลง เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ดื่มนมเปรี้ยวเลยหรือดื่มเป็นบางครั้งบางคราว
4. กินซุปไก่ เพราะว่าไก่มีกรดอะมิโนตามธรรมชาติชื่อ ซีสเทอีน (Cysteine) มันจะละลายในน้ำเมื่อคุณต้ม น้ำซุป เชื่อไหมคะว่าเจ้าซีสเทอีนที่ว่านี้มีสูตรโครงสร้างทางเคมีคล้ายคลึงกับยาตัวหนึ่งที่ชื่อ อะเซทีลซีสเทอีน (Acetylcysteine) ที่มีฤทธิ์เหมือนยาขับเสมหะ และเป็นยาที่แพทย์ในหลายประเทศนิยมจ่ายให้แก่คนไข้ที่มีอาการหลอดลมอักเสบ และการติดเชื้อในทางเดินอาหาร
( เราเอาข้อมูลจาก http://variety.teenee.com/science/5094.html)

ตอนนี้ลูกเราอาการดีขึ้นเยอะเลย จากการให้เค้ารักษาด้วยวิธีธรรมชาติเอา หวังว่าคงเป็นประโยชน์ให้คุณแม่ท่านอื่นๆ นะคะ จะได้ไม่ต้องเสียเงินฟรี อย่างเรา และลูก ก็ไม่ต้องทรมานอีก

จากคุณ : MomyGena
เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 53 09:09:13




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com