สิ่งใดที่เรารักมากยึดมากว่าเป็นตัวเราหรือของเรา
สิ่งนั้นถ้าขาดหายไปจะทำให้ทุกข์ถึงที่สุด
ถ้าเรารักความสวยงาม
เมื่อเสียโฉมจะทุกข์ที่สุด
ถ้าเรารักสามีหรือภรรยา เมื่อเขานอกใจ
หรือเสียเขาไปจะทุกข์ที่สุด
ถ้ารักลูก
ลูกหายหรือพิการหรือตายจะทุกข์ที่สุด
ถ้ารักยศถาบรรดาศักดิ์เมื่อสูญเสียจะทุกข์ที่สุด ถ้ารักตนเอง
เมื่อทราบว่าตนป่วยเป็นมะเร็ง เป็นเอดส์
หรือโรคที่รักษาไม่หายก็จะทุกข์ที่สุด
แต่ถ้าเราไม่มีสิ่งนั้นเลย
ก็ไม่มีอะไรจะทุกข์กับสิ่งนั้น
ไม่มีลูกก็ไม่ทุกข์กับลูก
ไม่มีแฟนก็ไม่มีทุกข์จากแฟน
ไม่มีทรัพย์สิน ก็ไม่ทุกข์กับทรัพย์สิน
หรือถ้าเรามีแต่ทำใจไว้เสมือนไม่มี
หรือทำใจไว้ว่าของที่มีมันไม่เที่ยงย่อมแปรปรวนไป ก็จะทุกข์น้อยลง
ยิ่งยึดมั่นได้น้อยลงเท่าไรก็ทุกข์น้อยลงเท่านั้นเป็นสัดส่วนไป
เมื่อไม่ยึดมั่นก็ไม่ทุกข์เลย หมายความว่าไม่มีอะไรทำให้ทุกข์ใจได้อีกเลย
แต่ความเจ็บปวดยังมีตราบเท่าที่มีสังขารร่างกายอยู่
เพียงแต่ความทุกข์กายอันนั้น จะไม่สามารถมากินใจให้ทุกข์ใจได้เลย
ความทุกข์ที่เกิดขึ้น
มักเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้คนคิดจะทำความดี
เพราะธรรมชาติของเราจะหลงลืมและเพลินในสุข ซึ่งความสุขส่วนมากที่เราชอบ
มักจะตั้งอยู่บนความไม่เที่ยงทั้งสิ้น
พระพุทธองค์เห็นข้อนี้จึงสละทุกสิ่งออกบวชแสวงหาธรรมะ แต่อย่างเราๆ
มักจะไม่คิดเรื่องนี้จนกว่าจะทุกข์ เสียก่อน เราจึงพบว่าคนจำนวนมาก
ได้ประพฤติธรรมะ ได้ทำสิ่งดีๆ
แก่ตนและผู้อื่นเพราะประสพกับความทุกข์มาแล้ว
ดังนั้นเมื่อมีทุกข์นั่นคือเราได้อยู่ใกล้ธรรมะแล้ว
ถ้าผ่านช่วงนี้ไปได้ก็มักจะมีสิ่งดีโอกาสดี
และเราเองก็จะดำรงอยู่ในความดีมากขึ้น
ความทุกข์และความสุขเป็นของคู่โลกเช่นนี้มาตลอด
เมื่อเราทุกข์หรือพบคนที่ทุกข์
อย่าลืมเปลี่ยนอารมณ์ ตั้งสติหาทางแก้ไข
ใช้ความดีเอาชนะสิ่งไม่ดี ทุกข์ย่อมไม่เที่ยง ย่อมผ่านไป เป็นธรรมดา
และเราก็มีโอกาสที่จะได้รับสิ่งที่ดี ได้ปรับปรุงตนเป็นคนดีเสมอ
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกท่าน
ที่มา:
http://www.rimnam.com