PANTIP.COM : N10203741 ให้ลูกเรียนที่ไหนดีระหว่ารร.ถนอมพิศ กับ รร.กานดา ลาดพร้าว []

ความคิดเห็นที่ 9

ถ้าให้ลูกไปเรียนเนอสเซอรี่หรืออนุบาลที่อุดมศึกษาผมไม่แนะนำเพราะสถานที่สำหรับเขามันดูอับเหมือนซอกตึกน่ะครับ ไม่มีต้นไม้ ไม่มีดิน ไม่มีกระบะทราย เด็กเล่นบนพื้นปูนอย่างเดียว ลูกผมไปเดินดูแป๊บเดียวแกเดินออกมาเลย (เวลาพาลูกไปดูโรงเรี่ยนจะเห็นการแสดงออกชัดเจนครับว่าเขาชอบหรือเปล่า ถ้าชอบมากนี่คือเรียกให้กลับจะไม่กลับเลย) แต่ถ้าเป็นชั้นประถมผมก็ว่าโอเคในระดับนึง ที่ว่าระดับนึงคือเนื้อหาวิชาการอยู่ในระดับดีถึงดีมาก แต่เนื่องจากโรงเรียนนี้มีจำนวนนักเรียนมากครับ มันก็เห็นตัวอย่างที่ดีและไม่ดีรวมๆกันอยู่ เอาเป็นว่าผมเห็นเด็กโรงเรียนนี้เดินย้วยไปย้วยมาเป็นสาวเร็ว เด็กประถมพยายามดึงเสื้อให้รัดๆให้หน้าอกมันกองออกมาแค่นี้ผมก็หนาวแล้ว ที่ว่านี่คือเห็นทุกวันเพราะโรงเรียนอยู่หน้าปากซอยบ้านผมเอง ขณะที่ผมไปดูเด็กประถมที่เอกบูรพาก็ไม่เคยเห็นคนไหนแต่งตัวอย่างนั้นเลย ผมคิดว่าอาจารย์ของอุดมศึกษาปล่อยปะละเลยเรื่องระเบียบวินัยมากไปหน่อยเด็กมันเลยกลายเป็นพวกสำลักเสรีภาพกันสุดๆ

ครั้งนึงคอมที่บ้านผมเสียต้องปรินท์งานด่วน ผมเลยเข้าไปใช้บริการร้านเนต เจอเด็กอุดมนั่งเล่นเกมคอมเต็มร้านทั้งๆที่ยังไม่ถึงเวลาที่อนุญาตให้เด็กเข้ามาเล่นได้ ผมโทรไปที่ฝ่ายปกครองของโรงเรียนแจ้งเรื่องนี้อาจารย์ถึงมาเอาเด็กออกไป ถ้าผมไมทำอย่างนั้นเด็กพวกนั้นก็ยังอยู่กันต่อเพราะอาจารย์ก็ไม่คิดจะทำอะไร เด็กดีๆเก่งๆก็มีครับ เก่งระดับประเทศเลยก็มีพอจบป.6 ก็แทบจะปูพรมแดงไปบดินทร์ต่อเลย ลองไปดูตอนเช้าๆก่อนเข้าเรียนสิครับ พอเข้าเรียนแล้วก็แวะเข้าไปดูตึกอนุบาลแล้วจะเห็นภาพที่ผมบอก

ส่วนแสนสนุกนั้น ผมสาปส่งไปแล้ว คือลูกผมชอบโรงเรียนนี้มากครับแอบไปเดินเล่น บางครั้งก็เข้าไปเล่นกับพี่ๆเหมือนเป็นนักเรียนของเขาจนผมแน่ใจแล้วว่าเอาโรงเรียนนี้ล่ะ ผมเลยยื่นใบสมัครไปเลยหนี่งปีล่วงหน้า โรงเรียนนี้เขาจะมี open house เดือนตุลาคมของทุกปี พ่อแม่ลูกก็เลยไปเยี่ยมชมโรงเรียนแบบเต็มๆก็ยิ่งชอบ แต่พอหลังจากนั้นมาไม่ถึงเดือน เพื่อนบ้านผมมาบอกว่าพี่ๆโรงเรียนจะย้ายแล้วนะ นี่เค้าขอให้ผมช่วยหาที่ใหม่ให้อยู่ ผมเลยเอ๋อเลย มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาคิดจะย้ายภายในระยะเวลาไม่ถึงเดือนหลัง open house ธุรกิจไม่ใช่เด็กเล่นขายของ แสดงว่าโรงเรียนรู้ๆอยู่แล้วว่าจะต้องย้ายแต่ไม่ยอมบอกในวัน open house แค่นี่ผมก็โกรธแล้วมันเหมือนกับตั้งใจหลอกกัน พอมาตรวจสอบข้อมูลอีกที ไอ๊หย๋า ที่ว่าจะย้ายน่ะยังไม่ได้ซื้อที่ดินเลย แล้วย้ายแบบไหนกันถึงต้องหาแบงค์ปล่อยกู้ใหม่ หาผู้ถือหุ้นใหม่ หาผู้รับใบอนุญาตประกอบการใหม่ สร้างตึกเรียนใหม่ คือ มันเริ่มใหม่กันหมดทุกเรื่อง นี่มันไม่ใช่ย้ายแล้วครับ นี่มันเลิกกิจการชัดๆ เดือน พ.ย.เขาก็ยกป้ายโรงเรียนออกเหลือแต่ป้ายอันเล็กๆด้านใน ซึ่งการยกป้ายออกนี่ผิดกฏหมายพรบ.โรงเรียนเอกชน พ.ศ.2550 เต็มๆ แต่เขาก็ไม่ได้ยี่หระอะไร เอาป้ายใหม่มาปักเป็นโปรเจคใหม่ของเขาทั้งๆที่เด็กยังเรียนกันอยู่

ผมตรวจสอบกับ พรบ.นี้อีกหลายข้อพบว่าการที่เขาจะย้ายไปที่ใหม่นั้นก็สามารถเลี่ยงข้อบังคับตามพรบ.ในเรื่องการเลิกกิจการได้ เพราะกฏหมายฉบับนี้ไม่ได้บอกว่าการเลิกกิจการนั้นประกอบด้วยปัจจัยอะไรบ้าง ถ้าเจ้าของไม่แจ้งต่อนายทะเบียนเสียอย่างก็ไม่ถือว่าเป็นการเลิกกิจการ (กฏหมายชราภาพจริงๆ) เอาเป็นว่า โรงเรียนนี้โดยสภาพแล้วมันเป็นการเลิกกิจการแล้ว แต่เมื่อเขาไม่บอกว่าเลิกมันก็ถือว่าไม่เลิก งงไหมครับ ขนาดเราเป็นคนนอกเรายังมึน แล้วผู้ปกครองที่มีบุตรหลานเรียนอยู่จะไม่มึนเหรอครับ บางคนบอกว่า อ้าวก็เขาย้ายไปที่ใหม่ไง ไม่ได้เลิก ลองกลับไปอ่านกฏหมายดูดีๆครับ การให้ใบอนุญาตประกอบกิจการโรงเรี่ยนเอกชนใดๆเป็นการให้เฉพาะกิจการตามที่อยู่ที่ระบุเท่านั้น ยกเว้นแต่จะทำเป็นโรงเรียนสาขา ดังนั้นเมื่อสถานที่ตรงนั้นไม่ได้เอามาหาประโยชน์ตามใบอนุญาตแล้วก็ต้องถือว่าเลิกกิจการ แต่อย่างที่ผมบอกน่ะแหละ พอมาถึงมาตราเกี่ยวกับการเลิกกิจการกฏหมายก็มีแต่เรืองการแจ้งต่อนายทะเบียนมันถึงเป็นรูโหว่อยู่

อีกประเด็นหนี่งคือ เมื่อโรงเรียนในแนวนี้ต้องเลิกไป เด็กจะเกิดปัญหาตรงที่เด็กไม่สามารถเรียนต่อในโรงเรียนทั่วไปได้ทันที เด็กจากแสนสนุกเรียนถึง ป4 ยังอ่านหนังสือไม่ออก เขียนไม่ได้เพราะโรงเรียนเขาเน้นเรื่องกิจกรรมการเล่น สันทนาการมากกว่าวิชาการ เมื่อโรงเรียนเลิกไปแล้วเด็กพวกนี้จะทำอย่างไร หนี่ง ต้องดิ้นรนย้ายตามไป หรือสอง ต้องไปหาโรงเรียนอื่นในแนวเดียวกันเข้าเรียนในชั้นที่เขาไม่ค่อยเปิดรับ แน่นอนว่าอาจจะต้องมีค่าใช้จ่ายสำหรับการนี้เพิ่ม และโรงเรียนในแนวนี้ก็ไม่ได้อยู่ใกล้ๆกัน บางแห่งอยู่พระรามสอง อยู่สายไหม แล้วจะไปเรียนกันไหวหรือ หรือสาม ต้องให้เด็กเรียนซ้ำชั้นปูพื้นฐานกันใหม่ ดังนั้น หากจะส่งลูกหลานเรียนโรงเรียนทางเลือกอย่างนี้ ต้องแน่ใจว่าผู้บริหารหรือเจ้าของมีความจริงใจต่อการทำกิจการนี้ในระยะยาว ไม่ใช่อยากเลิกก็เลิกเพราะผลกระทบต่อเด็กจะมากกว่ากรณีที่โรงเรียนทั่วไปเลิกกิจการ

จากคุณ : bird

เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 54 10:17:58 A:125.25.76.114 X: TicketID:302231

ความคิดเห็นที่ 18

เมื่อกี้เทสบัตรผ่านครับ พอดีเป็นคนไม่ชอบสมัครสมาชิกใดๆในเว็บครับ

ค่าเรียนอยู่ที่ 73000 ต่อเทอมครับ ถ้าสมัครก่อนสิ้นเดือน กพ.ไม่เสี่ยแป๊ะเจี๊ยะ แต่ถ้าหลังจากนั้นต้องเสีย 25000 และ 50000 บาท ผมจำช่วงไม่ได้แล้วว่าช่วงไหนต้องเสียเท่าไหร่ เรื่องเนอร์สอินเตอร์นั้น ผมคิดว่าต้องทำความเข้าใจเรื่องหลักสูตรและการสอนภาษาให้ดีก่อน ตัวผมเลือกมอนเตสเซอรี่เพราะสอนเรื่องระเบียบวินัย ความคิดสร้างสรรค์ และการเรียนรู้จากของจริง โดยแต่ละวันคุณครูจะมีแผนการเรียนการสอน จุดประสงค์ และรายงานผลการเรียนที่เรียกว่า daily report ให้ ซึ่งผู้ปกครองต้องให้ความใส่ใจ หากโรงเรียนสอนเรื่องใดและเด็กสามารถทำได้ด้วยตัวเองแล้ว พอมาถึงบ้านก็ต้องปฏิบัติได้เช่นเดียวกัน การเรียนประจำวันจะประกอบด้วยการเรียนรู้จากการเล่น คลาสมอนเตสเซอรี่ Art ที่นอกเหนือจากนั้นคือการให้เด็กเรียนรู้การช่วยเหลือตนเองโดยครูจะเป็นผู้ทำเป็นตัวอย่างและฝึกให้เด็กเริ่มทำเอง

ส่วนด้านภาษาอังกฤษนั้น คุณครูเป็นคนฟิลิปปินส์ครับ จะใช้ภาษาอังกฤษในทุกเรื่องไม่ใช่สอนอังกฤษแปลไทย แต่เป็นการสอนอังกฤษโดย nature คือเด็กจะเรียนรู้ไปเองว่าคำๆนี้ที่ครูสอนนั้นคืออะไรโดยไม่ต้องไปคอยแปลให้เขา ส่วนภาษาไทยเขาจะเรียนรู้ที่บ้านเอง เช่นในโรงเรียนเขาจะรู้เองว่า take off your shoes คือการกระทำอะไร พอมาถึงที่บ้าน เราบอกว่าถอดรองเท้า เขาก็ทำได้ แล้วเขาจะเริ่มเชื่อมต่อเองกว่า take off your shoes คือ ถอดรองเท้า โดยที่เราไม่จำเป็นต้องไปจ้ำจี้จ้ำไชคอยแปลให้ฟังเป็นตัวๆให้เขาจำ นี่คือตัวอย่างที่เรียกว่าเรียนโดย nature นะครับ ดังนั้นคุณแม่ไม่จำเป็นต้องไปพูดภาษาอังกฤษกับเขาตลอดหรอกครับ เขาควรจะรู้ภาษาไทยด้วยครับเพราะยังไงก็ตามสังคมของเขาก็เป็นสังคมไทย ยิ่งถ้าให้เขาไปเรียนรู้ภาษาไทยเองข้างนอกเขาจะยิ่งสับสนโดยเฉพาะอย่างยิ่งการแยกแยะคำหยาบกับไม่หยาบ เราต้องสอนให้เขารู้จักการใช้คำพูดที่ถูกกาละเทศะ การออกเสียงภาษาไทยที่ถูกต้อง การใช้คำพูดที่มีสัมมาคารวะ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นยิ่งกว่าการใช้ภาษาอังกฤษเสียอีกครับ

ส่วนที่เห็นว่าโรงเรียนเล็กนั้น ผมอธิบายได้ว่า โรงเรียนนี้ไม่ได้เน้นปริมาณนักเรียนเยอะๆครับ ทั้งโรงเรียนมีถึงอนุบาลสามมีเด็กเรียนประมาณยี่สิบคนเท่านั้นเอง ดังนั้นเด็กๆจึงได้ใช้พื้นที่ได้อย่างเต็มที่ ในบางโรงเรียนที่มีหลายชั้นเรียนเขาจะเก็บเด็กเนอสเซอรี่ไว้ในห้องเพราะกลัวว่าจะเกิดอันตรายจากเด็กโต ทีนี่เด็กเนอร์สได้เล่นลุยๆได้ทุกที่ครับ และยิ่งมีเด็กน้อยก็จะทำให้ครูให้ความสนใจได้ใกล้ชิดกับเด็กมากขึ้น ในชั้นเนอร์สตอนนี้มีเด็กสี่ห้าคน (ลูกหมอทั้งหมด ยกเว้นลูกผมนี่แหละครับ) มีครูสองคนครับ ยังไงก็ลองพาน้องไปโรงเรียนเลยครับไม่จำเป็นต้องรอ open house อะไร คุณครูใหญ่สามารถอธิบายหลักการได้อย่างชัดเจนครับ เวลาเลิกเรียนก็บ่างสองโมงครึ่งครับ ผมว่ามันเหมาะกับเด็กเล็กๆอยู่แล้วครับเพราะยังไงเด็กก็ต้องใช้เวลาเรียนรู้และความใกล้ชิดจากพ่อแม่เช่นเดียวกัน วันนี้ลูกผมไปเรียนวันที่สี่แล้ว เห็นความเปลี่ยนแปลงชัดเจน จากเด็กที่ไม่อยากเสวนากับคนที่ไม่คุ้นเคย กลายเป็นเด็กที่กล้าทักทายทุกคนที่เข้ามาหาเขา บางทีก็เข้าไปเล่นกับเขาเลย ผมคิดว่าเขาเริ่มเปิดตัวเองมากขึ้นเพราะครูเป็นคนเปิดตัวเข้าหาเขาก่อนและเขารู้สึกว่าคนอื่นที่นอกเหนือจากพ่อแม่ก็สามารถสอนให้เขาเรียนรู้เรื่องอื่นได้เช่นกัน การเปิดตัวเข้าหาเด็กมันจิตวิทยาอย่างหนี่งที่น่าสนใจ คือ ที่นี่ไม่มีการบังคับ แต่จะเน้นการเรียนรู้และสร้างความสัมพันธ์จากคอร์สการเรียนมอนเตส เขาจะได้เรียนรู้การสร้างมนุษยสัมพันธ์ วินัยและความคิดสร้างสรรค์ไปพร้อมๆกัน อ้อ รถโรงเรียนไม่แน่ใจครับ เห็นแวบว่ามีรถของโรงเรียนต้นไม้สามภาษามาเหมือนกัน คล้ายๆกับว่าเป็นโรงเรียนพี่น้องกัน ยังไงลองถามโรงเรียนดูดีกว่าครับ

ส่วนเรื่องแสนสนุก อย่างที่ผมบอกไปน่ะครับว่าสาปส่ง คือคุณอุษาจะอ้างอะไรก็อ้างไป แต่ชื่อโปรเจคใหม่ที่ติดป้ายอยู่ก็ชื่อคุณอุษาชัดเจน ถ้าจะพูดกันตรงๆคือเป็นคนตีสองหน้าเก่ง ผมเกลียดคนที่ทำงานด้านการศึกษาแล้วเป็นคนอย่างนี้ สังคมไทยมันแย่ลงเพราะคนพวกนี้แหละครับไม่ต่างอะไรกับนักการเมืองเลย ดีใจด้วยที่มีคุณแม่เข้ามาอ่านและตรงที่บอกว่า กลับมาสู่ความเป็นจริงนั้น มันคือเรื่องที่ผมอยากจะเตือนคุณแม่ของแสนสนุกตั้งนานแล้ว ผมรู้สึกว่าผู้ปกครองโรงเรียนนี้จะเริ่มเหมือนแอมเวย์ลิซึ่มไปทุกวัน คือมันเป็นส่วนหนี่งของการสร้างเครือข่ายความเชื่อที่สมาชิกทุกคนต้องเชื่อเหมือนกัน และเริ่อหล่อหลอมพฤติกรรมของลูกให้ไปในทางที่ตนเชื่อ มากกว่าจะคอยสนับสนุนให้เขาออกไปเรียนรู้ความเป็นจริง ถ้าจะมองกันให้ดีๆ หลักการของวอลดรอฟเองก็ไม่ต่างจากพุทธศาสนาเลยครับ พุทธศาสนาก็เน้นเรื่องของจิตใจก่อนอื่นเหมือนกัน แต่พุทธศาสนาจะมีศีลเป็นแกนในการกำกับเพื่อแยกแยะถูกผิดดังนั้นมันก็เป็นการสอนเหตุผลไปในตัว ส่วนอื่นที่ผมคิดว่าเป็นเรื่องของความเชื่อ โดยเฉพาะเรื่องการเน้นด้านการพัฒนาทางร่างกายมากกว่าพัฒนาสมอง ตรงนี้ผมคิดว่ามันผิดกับหลักพุทธที่ให้บาลานซ์ทั้งสองสิ่งให้เหมาะสม เมื่อโรงเรียนสร้างความเชื่อตรงนี้ขี้นมาความซวยจึงเกิดกับเด็กตรงที่ไม่สามารถเรียนในโรงเรียนปกติได้ก็ต้องทู่ซี้เรียนโรงเรียนนี้ต่อไป ซึ่งผมมองว่า มันเป็นการตลาดมากกว่าหลักการ และเป็นการตลาดแบบเลือดเย็นด้วยเพราะเอาเด็กไปเป็นเหยื่อ มันเหมือนกับโรงเรียนกลัดกระดุมผิดให้กับเด็ก แล้วสอนให้พ่อแม่เด็กกลัดกระดุมผิด จนเด็กมันเชื่อว่าการกลัดกระดุมผิดเป็นสิ่งที่ถูกต้อง วันนึงที่โรงเรียนไม่อยู่ถึงรู้ว่าที่ผ่านมาตัวเด็กเองกลัดกระดุมผิดมาตลอด สุดท้ายเขาจะหันมาถามพ่อแม่เขาว่า ที่ผ่านมาสอนอะไรเขา มันน่าเศร้าจริงๆ ผมคิดว่าเขาได้ทำบาปทำกรรมกับเด็กเอาไว้มาก ถึงผมไม่ใช่ผู้เสียหายแต่ก็ขอสาปแช่งลึกๆครับ

จากคุณ : bird

เขียนเมื่อ : 10 ก.พ. 54 23:38:29 A:125.25.13.157 X: TicketID:302231