Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
แด่เธอ ... ผู้หญิงคนหนึ่ง เธอคนที่ตายแทนผมได้ แม้ว่าผมจะไม่ต้องการ ... (เธอ ... ผู้หญิงที่สวยที่สุดตลอดกาลของผม) ติดต่อทีมงาน

เมื่อ 45 ปีมาแล้ว มีผู้หญิงธรรมดาๆคนหนึ่ง ...
เธอ ... จากบ้านของเธอในเมืองหลวง ... จากไปตัวคนเดียว
เธอ ... หวังว่าจะไปอยู่กับผู้ชายคนที่เธอรัก

เธอต้องไปอยู่ในดินแดนที่กันดารเกือบจะที่สุดของประเทศ
ในดินแดนที่แตกต่างไปทั้งวัฒนธรรม ภาษา ความเป็นอยู่ และ ศาสนา (ของครอบครัวผู้ชายคนนั้น)

1 ปีต่อมา ...

... ลูกคนแรกของเธอ ... เป็นผู้ชาย ...
... ลูกคนแรกของเธอ ... เกิดมาในจังหวัดหนึ่งริมฝั่งโขง (*)

... แม้จะแต่งงาน แต่เธอก็ไม่ได้อยู่กับชายที่เธอรัก
... ด้วยเหตุแห่งอาชีพข้าราชการตัวเล็กๆที่ไม่มีเส้นสายโยกย้ายได้อย่างใจ

เธอตั้งชื่อลูกชายคนแรกด้วยพยางค์หน้าของชื่ออำเภอที่ชายคนรักรับราชการอยู่ในตอนนั้น
และตามด้วยสองพยางค์แรกของชื่อจังหวัดที่เธอรับราชการอยู่เช่นกัน

... ชื่อลูกชายคนแรกของเธอ ... ไม่มีในพจนานุกรมฉบับใดๆ
... ชื่อลูกชายคนแรกของเธอ ... 44 ปีถัดมาก็ยังไม่เคยมีใครสะกดหรือออกเสียงถูกในครั้งแรกแม้แต่ครูภาษาไทยหรืออักษรศาสตร์บัณฑิต(**)
... ชื่อลูกชายคนแรกของเธอ ... มีความหมายที่รู้กันอยู่แค่ "เราสามคน" ... เธอ กับ ชายคนรัก และ ลูกชายหัวปีของเขาทั้งสองคน

แต่นั่นก็เพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ ... แค่สำหรับเราสามคนก็พอ ...

เธอตั้งชื่อลูกๆอีก 3 คนถัดมาของเธอด้วยวิธีเดียวกัน
ต่างไปก็แต่ชื่อจังหวัดและอำเภอที่มาประกอบกัน
(เธอมีวัตถุดิบในการตั้งชื่อมากมาย เนื่องจากชีวิตข้าราชการที่เร่ร่อนของเธอและชายที่เธอรัก)

... ไม่มีใครสะกดหรือออกเสียงชื่อลูกๆเธออีก 3 คนได้ถูกในครั้งแรกเช่นกัน
... ความหมายของชื่อในพจนานุกรมไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับเธอ
... เธอบอกลูกๆว่าไม่จำเป็นให้ใครรู้ว่าชื่อพวกเขาหมายความว่าอะไร
... คำแปลและความหมายสำคัญอยู่แค่ "ครอบครัวของเรา" ก็พอ ...

หลายคนที่ได้ยินชื่อลูกทั้งสี่ของเธอ บอกว่าเธอต้องเป็นครูภาษาไทย หรือ อักษรศาสตร์บัณฑิต ...

... เธอเป็นครูสอนเลข
... เธอเป็นแค่ครูสอนเลขในโรงเรียนอาชีวะบ้านนอกที่ไกลปืนเที่ยง
... เธอจบแค่วุฒิครูสมัยนั้นที่ในพ.ศ.นี้เรียกว่า "อนุปริญญา"

... เธอคือแม่ที่ไม่มีปริญญาตรีของครอบครัว "เด็กบ้านนอก 4 คน" ...

อายุของลูกทั้งสี่ของเธอที่ห่างกันคนล่ะ 2 ปีพอดิบพอดีเป็นสิ่งเดียวที่พิสูจน์ว่าเธอคือครูสอนวิชาคณิตศาสตร์

10 กว่าปีถัดมา ...

ด้วยเหตุผลของการศึกษาของลูกๆทั้งสี่ และชีวิตราชการของเธอกับชายที่เธอรัก
เธอต้องพาลูกทั้งสี่ของเธอมาอยู่บ้านเล็กๆชานเมืองหลวง

ด้วยปากท้องและเงินเดือนข้าราชการครูจนๆรวมกับของชายคนรักที่เป็นนักกฏหมายของรัฐ(ซึ่งก็ไม่มากกว่าของเธอเท่าไร)
มันบังคับให้เธอต้องสอนรอบค่ำเพิ่มพิเศษที่รร.อาชีวะชานเมืองหลวง
... ชานเมืองที่สมัยนั้นเราเรียกแถวนั้นว่า "ต่างจังหวัด"

... เธอกลับถึงบ้านในซอยเปลี่ยวสามทุ่มครึ่งทุกวัน

ในพ.ศ.ที่ไม่มีกับข้าวถุง ไม่มีกล่องโฟม ไม่มี 7-11 ค่ารถเมล์ 50 สตางค์ และค่ารถสองแถวเข้าซอยชานเมืองสลึงเดียว
ลูกชายคนโตวัย ม.4 ที่ควรจะได้แตะบอลหลังเลิกเรียน ต้องรีบแวะตลาดสด
เดินตัวเอียงกลับบ้าน พร้อมถุงกับข้าวสดและกระเป๋านักเรียน

... เธอหัดทุกอย่างให้ลูกๆของเธอ ... "อยู่รอด"
... เผื่อว่าจะมีวันหนึ่ง วันที่เธอกลับไม่ถึงบ้าน

คนโตจ่ายกับข้าวสดวันเว้นวันที่แผงผัก ปลา และเขียงหมูในตลาดสดที่เธอพาไปแนะนำไว้ก่อนในทำนองว่า "ลูกชั้นนะ อย่าโกงตาชั่ง"
ในขณะเดียวกันเธอก็สอนให้รู้การโกงตาชั่งและเล่ห์กลอื่นๆในตลาดสด
(วิชา TMS 101 - Traditional Thai Martket Shopping and Advance Negotiation Skill)

แน่นอนว่าเธอสอนให้ลูกเธอรอบคอบด้วยการตรวจเงินทอนและค่ารถ ... ทุกสลึง
... ถ้าไม่ครบแปลว่าค่าขนมในวันรุ่งขึ้นก็จะน้อยลงเป็นสัดส่วนกัน
... และที่ต้องจ่ายกับข้าวสดวันเว้นวันเพราะ "ตู้เย็น" ถูกจัดว่าเป็นของใช้ฟุ่มเฟือยสำหรับครอบครัวเธอ
... มิพักต้องกล่าวถึงโทรทัศน์ที่ไม่เคยมีดู

ลูกชายคนโต(ม.4)จ่ายตลาดทำกับข้าวทุกเย็นตามวิธีที่เขียนแปะไว้หน้าเตาแก๊ส (ฝรั่งเรียก Mother Recipe)
ลูกสาวคนรอง(ม.2)ล้างจาน ลูกชายคนที่สาม(ป.6) จัดสำรับตั้งและเก็บกวาดโต๊ะอาหาร ลูกชายคนสุดท้อง(ป.4)ถูพื้นครัว
ลูกๆของเธอ ... ไม่มีใครเลือกกิน หรือ บ่นว่าไม่อร่อย เพราะนั่นหมายความว่า "งั้นก็ไม่ต้องกิน"

เธอให้มีการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง(promotion)ทุกๆ 2 ปี เพราะว่าลูกคนที่จ่ายตลาดและทำกับข้าวครบ 2 ปี จะอยู่ม.6
เธอจึงอนุญาตให้คนจ่ายตลาดและทำกับข้าวมาถูพื้นครัว เพื่อจะได้มีเวลาอ่านหนังสือเตรียมสอบเอ็นทรานซ์
แล้วเลื่อนคนอื่นๆถัดขึ้นไปตามลำดับ .... (ที่สมัยนี้เราเรียกว่า Internal on-the-job cross training)

เธอมักแอบเอาเศษผงไปโรยไว้ใต้ของต่างๆเพื่อตรวจดูว่าลูกๆได้ยกของออกแล้วเช็ดอย่างสะอาดตามที่สอนหรือไม่
วิชาการบริหารจัดการของ Sloan Bussiness School แห่ง MIT เรียกว่า Contineous Monitoring and Improvement

... แต่พวกเราทั้งสี่คนไม่เคยพลาด .... (ให้โดนจับได้)

วันเสาร์อาทิตย์จะเป็นวันที่บ้านเธอเหมือนโรงละคร แต่เป็นโรงละครที่ไม่มีพระเอก ไม่มีนางเอก มีแต่ตัวประกอบ(อดทน)
มีเธอเป็นผู้กำกับ (ปากเปียกปากแฉะ) เพราะตัวละครทั้งสี่ที่ไม่สามารถจำบทได้เสียที

เธอสอนให้ลูกๆเธอทุกคนซักผ้า รีดผ้า ของตัวเอง แม้แต่คนสุดท้องที่แค่ป.4
(สมัยนั้นยังไม่มีกฏหมายคุ้มครองแรงงานเด็ก หรือ NGO พิทักษ์สิทธิเด็กเกลื่อนเมืองเหมือนสมัยนี้)

เธอต้องประหยัดน้ำ และไฟฟ้า ... ไม่ใช่เพราะเธออยากอนุรักษ์พลังงาน แต่เพราะ "ความจน"
ลูกๆทั้งสี่คนต้องซักผ้า เก็บผ้า รีดผ้า อย่างพร้อมเพรียงเรียงลำดับเป็นงานอนุกรมที่ต้องไม่มีคอขวด (CPM - Critical Path Management)
เธอกำจัดคอขวดออกไปด้วยวิธี ... ที่เธอไม่รู้ว่าที่ Havard Business School ต้องเรียนกันถึงปริญญาเอก
เธอกำจัดคอขวดออกไปด้วยวิธี ... ของคนที่จบแค่อนุปริญญาของกรมอาชีวะแห่งสารขัณธ์ประเทศ

วิธีที่ลูกชายคนโตของเธอพบในเวลาต่อมาว่าเป็นวิธีเดียวกับที่เรียนกันแทบตายที่ Business School of Standford

บนเวทีละครวันเสาร์อาทิตย์ ลูกๆทั้งสี่คนต้องบริหารจัดการเวลาและทรัพยากรที่มีจำกัดให้สอดคล้องกัน (โดยเธอเป็นผู้กำกับ)
ถ้าเป็นวิชาการบริหารจัดการสมัยนี้ เราจะเรียกวิธีของเธอว่า การประหยัดเนื่องจากขนาด (Economy of Scale)

แต่เธอเรียกว่า "เหมาโหลถูกกว่า"

เธอเป็นคนที่สอนให้ลูกๆทั้ง 4 คน รู้จักคำว่า Synergy โดยการปฏิบัติ (ทั้งๆที่ตอนนี้เธอก็ยังไม่รู้ว่ามันแปลว่าอะไร)

ทรัพยากรน้ำ และ ไฟฟ้า เป็นสิ่งที่เธอให้ความสำคัญมากๆ ก่อนกระแสรักษ์โลก กระแสสีเขียว และ ภาวะโลกร้อน ระบาดอย่างพ.ศ.นี้
ไม่ใช่เพราะเธอรักษ์โลกหรือคลั่งกระแสสีเขียว
... แต่เพราะเงินเดือนข้าราชการจนๆกับปากท้องและค่าเล่าเรียนของคนที่เธอตายแทนได้ทั้งสี่คนในหลังคาบ้านเล็กๆของเธอ

รู้จักความรู้สึกว่า "อบอุ่น" "ปลอดภัย" และ "มั่นคง" เป็นอย่างไร ก็เพราะเธอ ...
เพราะ "บ้าน" มีความแตกต่างกัน ในวันที่ "มีเธอ" หรือ "ไม่มีเธอ"

แม้จะหนวกหู และรำคาญเสียงเธอบ่น แต่ก็รู้สึก "อบอุ่น" "ปลอดภัย" และ "มั่นคง"

ทฤษฎีขั้นความต้องการของมาร์สโล (Maslow's hieararchy of needs) คืออะไร ... เธอไม่รู้จัก
ซิกมุนฟรอยด์เป็นใคร Psychoanalytic Theory คืออะไร ... เธอก็ไม่รู้

... แต่เธอทำให้เราทั้งสี่คนมีได้ครบทุกอย่างที่มาร์สโลและฟรอยด์ตั้งทฤษฎีไว้

เธอไม่รู้ว่า Reuse Recycle Re-Engineering คืออะไร
แต่เคยได้ยินป้าข้างบ้าน(นินทา)ว่า หมาจะอดตายถ้ามัวแต่รอของเหลือในถังขยะบ้านเธอ
บ้างก็ว่า คนรับซื้อของเก่าไม่รับซื้อของบ้านเธอ เพราะเอาไปใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้อีกแล้ว

เธอสอนลูกชายทั้ง 3 คนให้ดูในถังขยะบ้านของหญิงที่จะเลือกมาเป็นแม่ให้หลานของเธอ
หญิงคนนั้นและครอบครัวอาจจะตบตาลูกๆของเธอได้บนโต๊ะดินเนอร์มื้อหรู
แต่ของในถังขยะบ้านหญิงคนนั้นจะบอกถึงลักษณะนิสัย ความเป็นอยู่ และ วิถีการใช้ชีวิต

เธอบอกว่า "ถังขยะโกหกไม่เป็น"

เธอสอนว่างานบ้านไม่มีคำว่า งานผู้ชาย หรือ งานผู้หญิง
ลูกชายของเธอทั้ง 3 คน จ่ายตลาดสด ทำกับข้าว ซักรีด ล้างส้วม เย็บจักร ถักโครเช ถักนิตติ้งเป็น และ ซักกางเกงในเธอได้
ลูกสาวคนเดียวของเธอ เปลี่ยนหลอดไฟ ซ่อมท่อน้ำ เดินสายไฟ ตอกตะปู ปะยางรถ ซ่อมจักรยาน และ เครื่องใช้ในบ้านเป็น

เธอ ... ผู้มีวุฒิการศึกษาสูงสุดแค่อนุปริญญาของกรมอาชีวะศึกษา
เธอสร้าง ... เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง วิศวกรรมศาสตร์บัณฑิต สาขาไฟฟ้า หนึ่งคน
เธอสร้าง ... เนติบัณฑิตไทย หนึ่งคน
เธอสร้าง ... (ว่าที่)นายพลแห่งกองทัพอากาศไทย อีกหนึ่งคน
... ลูกๆทุกคนของเธอเป็นมหาบัณฑิตจากสถาบันการศึกษาชั้นนำของประเทศ
... ในบริบทของความเป็นครู เธอไม่ได้เป็นแค่ครูสอนเลข เธอเป็นครูสอนวิชา "ชีวิต"

... วิชา "ชีวิต" ... วิชาที่เธอใช้พื้นที่การเรียนการสอนกว้างแค่วงกอดและยาวเพียงสุดปลายอ้อมแขนของเธอ ...

ในพ.ศ.ที่ประเทศนี้ไม่รู้จัก EQ (Emotional Quotient) หรือ EI (Emotional Intelligence)
เธอสร้าง ... คนสี่คนที่พวกเขาสามารถมีความสุขได้ในทุกวัน
เธอสร้าง ... คนสี่คนที่รับมือได้กับทุกโชคชะตาที่จะเข้ามาในชีวิตของพวกเขาด้วยรอยยิ้ม ด้วยความเชื่อมั่น ความหวัง ความรัก และ ความศรัทธา

โลก และ ความมั่นคงของอาณาจักรใดๆไม่อาจสร้างได้ด้วยมือที่แข็งกร้าว มีด ปืน ดาบ หรือ หน้าไม้
... หากแต่สร้างได้ด้วยสองมืออ่อนนิ่มที่ไกวแปล


อีก 6 ฤดูฝนผ่านไป ...

ด้วยวัยที่เพิ่งจบกับเงินเดือนหกหลักในปี พ.ศ. 2532
หนังสือพิมพ์ธุรกิจฉบับหนึ่งในยุคนั้นเรียกลูกชายคนโตของเธอว่า "วิศวกรเลี่ยมทอง"
ลูกชายคนนั้นขอให้เธอเลิกสอนหนังสือ เลิกทำงาน พักผ่อน ไม่ต้องเหนื่อยอีกต่อไป

... เธอก็ยังสอนรอบค่ำและกลับบ้านดึก จนวันสุดท้ายของชีวิตข้าราชการครูจนๆ
(2 ปีสุดท้าย เพราะทนเสียงบ่นของลูกๆไม่ไหว เธอยอมไม่สอนรอบค่ำ แต่ยังดื้อที่จะสอนรอบบ่าย)

วันหนึ่ง ... ลูกชายคนนั้นให้เงินมากพอให้เธอไปเที่ยวรอบโลกได้สบายๆ 2 รอบ เพื่อให้เธอได้ไปเที่ยวต่างประเทศบ้าง
... แต่เธอพอใจที่จะไปเที่ยวแค่จังหวัดที่เธอให้กำเนิดเขามา (***) ... เธอไปด้วยรถไฟแทนที่จะขึ้นเครื่องบิน

แต่เธอชอบอวดเพื่อนๆที่โรงเรียนว่า แว่นตานี้ลูกชายคนนั้นซื้อให้ ลูกคนนี้ติดแอร์ให้นอน ลูกคนโน้นออกค่ารักษารากฟัน ฯลฯ
ชีวิตนี้ของเธออยู่กับแค่ความสุขเล็กๆและเรียบง่าย หรือเป็นเพราะว่า พวกเราคือความสุขของเธอ

ในวันที่ลูกชายคนโตของเธอโผออกไปสร้างรังเล็กๆของตัวเอง
เธอสอนให้เขารู้ว่า "เพราะเราเคยเป็นคนคนเดียวกัน" (****)

จะอีกกี่ชีวิตเขาก็ไม่อาจทดแทนน้ำนมเพียงหยดเดียวจากอกของเธอได้

เพราะเธอคือ ...ผู้หญิงคนหนึ่ง เธอ ... คนที่ตายแทนผมได้ แม้ว่าผมจะไม่ต้องการ ...

เขียนไว้ ... โดยลูกชายคนโตของเธอ
เขียนถึง ... "เธอ" ผู้เป็น "แม่" ของเขาในบ่ายของวันธรรมดาๆวันหนึ่งที่เขาคิดถึงเธอ

"แม่ครับ ... ผมรักแม่"

พ่อน้องเฟิร์นและน้องภัทร
17.40 น.
เสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2554

แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 54 10:37:40

แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 54 10:36:51

แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 54 10:35:34

แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 54 10:33:04

 
 

จากคุณ : Nong Fern Daddy
เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 54 09:52:03




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com