ความคิดเห็นที่ 1 กำลังกลุ้มเหมือนกันค่ะ ลูกเพิ่งเข้าเรียนอาทิตย์นี้เหมือนกัน  เห็นลูกร้องไห้แล้ว ใจมันแป้วๆ กินไรก็ไม่ลงเลย ในหัวสมองคิดวนเวียนแต่ ลูกชอบโรงเรียนรึเปล่าน้า หรือลูกจะไม่มีความสุขที่โรงเรียน คิดแล้วก็กลุ้มค่ะ   หรือว่าเราจะเปลี่ยนโรงเรียน หรือว่า เราจะรอไปเข้าปีหน้าดี เฮ้อ ............แต่เราไม่ได้คิดขนาด จะไปรอเข้า ป  1 ขนาด จขกท นะคะ เพราะนานขนาดนั้นกลัวว่าเวลาไปเข้าเรียนตอน ป  1 ลูกจะยิ่งปรับตัวยากรึเปล่า จากคุณ : land_girl เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 54 10:49:52

ความคิดเห็นที่ 2 ลูกเราเข้าเรียน Summer ตอ. วันนี้เป็นวันที่ 5 ร้องไห้มันตั้งแต่วันที่ 2 เนื่องจากวันแรกพ่อแม่อยู่ด้วยเลยไ่ม่กลัวออกจะสนุกด้วยซ้ำ เลยคิดว่าน่าจะอยู่ได้ วันที่ 2 ไปแบบไม่รู้ว่าต้องอยู่คนเดียว ถามครูบอกว่าร้องเหมือนกัน วันที่ 3 ร้องตั้งแต่ขึ้นรถ แม่มันแทบคลั่ง โกรธพ่อเขามาก เพราะตอนแรกว่าจะให้เข้าอนุบาล1 ไม่เข้า ตอ. แต่พ่อเขาอยากให้เข้าเลยเพราะอยู่บ้านกะพี่เลี้ยงก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรมาก กลับบ้านมาเครียดกันทั้งพ่อ แม่ แต่พ่อเขายังยืนยันว่าจะให้เรียนโดยให้เหตุผลว่าไม่ร้องตอนนี้ยังไงก็ต้องร้องอยู่ดี ยิ่งเริ่มช้า อาจารย์ชั้นสูงๆไปยิ่งโหด ไม่ใจดีเหมือนชั้นเด็กเล็ก อาจารย์ชั้นเตรียมอนุบาลใจดีสุดแล้ว วันที่ 4 ร้องน้อยลง มีงอแงก่อนขึ้นรถและตอนครูจะมาอุ้มไปก็ร้องไห้ไม่ยอมไป วันที่ 5 วันนี้หลังจากใส่บาตรตอนเช้าเสร็จยอมขึ้นรถแต่โดยดี ไม่มีน้ำตาซักแมะ ตอนครูมาอุ้มไปก็ยอมไปมีเบะบ้าง แต่ไม่ร้องไห้ เป็นสัญญาณที่ดี เอาเป็นว่าเชื่อตามพ่อเขาแล้วกันว่าเด็กปรับตัวได้ ต้องมารอดูวันจันทร์หน้าอีกทีว่าจะร้องต่อไหม จากคุณ : Assumed Name เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 54 10:55:28

ความคิดเห็นที่ 3 ลูกเรียนซัมเมอร์เหมือนกัน วันแรกไม่ร้อง วันที่2ก้อมีเบะ วันที่3 ไม่ร้องเหนของเล่น วันที่4 ร้องให้ไม่อยากไปเรียน กว่าจะงัดก้อร้องแต่บ้าน บนรถไม่ร้อง หน้าห้องเรียนร้อง เพราะเหนเพื่อนร้องคะ เลยร้องตาม เลยวิ่งออกมาเลยอะ เพราะคิดว่าลูกเหนเรายิ่งร้อง แอบดูแปปเดียวเลิกร้องแล้วคะ  พอไปรีบจากโรงเรียนตอนเยน ก้อดูมีความสุข สนุก สนานดีนะ  แต่ถามว่าพรุ่งนี้ไปอีกนะ บอกไม่เอาอะ เราบอกแฟน แฟนบอกว่าไม่ว่ายังไง ลูกก้อต้องไป จะเกิดความเคยชินไปเอง เดกๆก้อเปนแบบนี้ทุกคน ต้องเรียนรู้เข้าสังคม ให้ได้คะ  ก้อต้องอดทนไป  เราว่าลูกเราร้องเป็นเทอมแน่นอน แต่ครูบอก 2 อาทิตย์จะดี ขึ้นก้อต้องดูต่อไปนะคะ  ครูอนุบาลนี่ใจดีสุดแล้วนะ  ถ้าครูชั้นโตๆๆจะดุมากขึ้น เราเลย ต้องให้ลูกไปเรียนนะคะ จากคุณ : น้องจัมโบ้ เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 54 11:03:08

ความคิดเห็นที่ 4 มาส่องดูคะ คือตอนลูกสาวเข้าเรียนใหม่ ๆ ตอนเตรียมอนุบาล (ตอนนี้เรียนซัมเมอร์ อ1 คะ) ร้องไห้มากกกกก คะ แต่ก็จะเงียบเวลาแม่ไปแล้ว อาการเด็กจะเป็น ลูกคลื่นนะคะ คือ ช่วงแรก สัก สองสัปดาห์ จะร้อง งอแง หลังจากนั้นจะดูดี สัก 1 สัปดาห์ แล้วก็จะงอแงตอนไปส่งอีก สัก1 สัปดาห์ จะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ คะ จนกว่าเค้าจะปรับตัวได้  กว่าจะเดินเข้า โรงเรียน โดยที่ไม่เกาะเอว เกาะขา ก็ปาไป สองสามเดือนคะ (จนจะปิดเทอม) ตอนนี้ไปเรียน ซัมเมอร์ ไม่มีงอแงสักนิดให้เห็นเลย อยากไปโรงเรียน ต้องใจแข็งนะคะ เพราะว่า ตอน ป1 บางที่วัดจาก การเดินจากไปของพ่อแม่ ว่าเด็กจะร้องไห้หรือเปล่า เค้าต้องการเด็กที่พร้อม จะเรียนจริงๆ (พร้อมในที่นี้หมายถึง พร้อมทั้งกาย จิตใจ สมองสดใสเปิดรับการเรียนรู้) ถ้าไปโรงเรียนยังร้องไห้อยู่ตอน ป1 เพื่อนก็จะล้อ เรียนก็ไม่มีสมาธิ แล้วอีกอย่าง ตอน ป1 คุณแม่ อยากให้เรียนแนวไหนคะ ถ้าแนววิชาการ จะรับไหวไหม เพราะยังมีพฤติกรรม อ้อน ร้องไห้ ไม่อยากไปโรงเรียน เหมือนเด็ก อ 1 ส่วนเพื่อนๆ เรียนๆ ๆ ๆ ๆ ไปถึงฝั่งโขงแล้ว ให้เวลา ให้โอกาส เค้าปรับตัว หน่อยคะ เมื่อตอนดิฉันส่งลูกไปเรียน   ในหัวก็จะมีแต่คำถามว่า เมื่อไรจะไม่ร้องไห้นะ..ลูกเรา ตอนนี้สบายคะ นู๋อยากไปโรงเรียนคะแม่  .....ดีใจที่สุดเลย........ จากคุณ : ปายจัง เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 54 11:16:42

ความคิดเห็นที่ 5 ขอแลกเปลี่ยนคคห.นะคะ ถ้าตั้งโจทย์ว่า 1.ให้เข้าป.1 เลย โดยไม่เรียนอนุบาล กับ... 2. ให้เข้าเตรียม -อ.1-2-3 แล้วก็เข้าป.1 . . อย่างไหนดีกว่ากัน...... . . บอกตามตรงว่า เราเองก็ตอบไม่ได้ แต่เราก็ตัดสินใจให้ลูกเข้าเตรียมอนุบาล เพราะ 1.ไม่มีคนเลี้ยงที่บ้าน 2.ลูกได้มีสังคมกับเด็กวัยเดียวกัน ได้รู้จักการรอคอย การปรับตัวให้เข้ากับเพื่อน การทำตามกติกาของห้อง เช่นไม่เสียงดังเวลากินข้าว หรือตอนครูสอน 3.ได้เรียนวิชาความรู้เบื้องต้น เช่นก.-ฮ. / 1-10 / A-Z 4. ได้รู้จักโลกภายนอกบ้าน ที่ไม่ได้มีแต่แม่เท่านั้น แต่เราก็ต้องแลกกับความเศร้าโศกในช่วงแรกกับการไปรร.ของลูก เราเองก็เคยทุกข์มากกับเรื่องนี้ แต่ตอนนั้นเราคิดว่าทางนี้ดีที่สุดสำหรับครอบครัวเรา แล้ววันเวลามันก็ผ่านไป ตอนนี้เรียนชั้นประถม ทุกเช้าที่ตื่นมา เค้าจะอยากไปรร.ทุกวัน จริง ๆ เค้าชอบไป รร.ตั้งแต่หลังไปเตรียมอนุบาลแล้ว มีร้องไห้พักนึง จากนั้นก็ติดครู ติดโรงเรียน มันเป็นช่วงเวลาที่แม่ ๆ อย่างเราจะต้องผ่านไป แต่จะทำยังไงให้แม่และลูก ผ่านไปด้วยดี เช่นเมื่อลูกกลับบ้าน ในช่วงแรก ๆ เราต้องให้เวลาใกล้ชิดเค้าให้มาก เพื่อไม่ให้เค้ารู้สึกว่าถูกทิ้ง และจะต้องไปรับให้ตรงเวลาทุกวัน . . . หากเลือกที่จะไปประถม โดยไมผ่านอนุบาล ก็คงไม่มีใครว่านะ เราว่า แต่ลูกอาจจะขาดโอกาสในการเรียนรู้หลาย ๆ อย่าง.. บาง รร.ป.1ต้องอ่านออกเขียนได้ คิดเลขเป็น รู้ภาษาอังกฤษหลายคำ ซึ่งถ้าคุณมั่นใจว่าสามารถสอนให้ลูกได้เรียนรู้ได้ตามหลักสูตร เพื่อที่ว่าเมื่อลูกเข้าเรียน ป.1 แล้วสามารถเรียนได้ทันเพื่อนก็คงจะทำได้นะ เพราะบางรายก็สอนลุกเองแบบ โฮมสคูล ไปจนถึงมัธยม โดยไม่ต้องไปรร. ก็มี แต่เข้าใจว่าเค้าจะต้องศึกษาและเปรียบเทียบหลักสูตรด้วย สมัยก่อน เราก็ไม่ได้เรียนอนุบาล แต่แม่แอบให้เรียนเร็ว เพื่อที่จะได้เรียนซ้ำชั้นป.1ไป 2 รอบ แต่เราอ่านหนังสือได้ อะไรได้ เพราะแม่เป็นครูประถม บางวันแม่สอนหน้าชั้น เรานั่งอยู่หลังห้องมาตั้งแต่เด็ก ก็เลยอ่านหนังสือได้ก่อนเข้ารร. ทั้งนี้ทั้งนั้น คุณ จขกท.อย่าเพิ่งเครียดไปค่ะ ลองอ่านหลาย ๆ คคห.แล้วนำไปตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป ส่วนเรื่องความเศร้าของลูก และแม่ตอนไปรร.ใหม่ ๆ ยังไงก็ต้องเจอกันทุกคนค่ะ และยังต้องเจอกับเรื่องการป่วย เป็ฯหวัดอยู่เนือง ๆ ด้วย แต่อ่านหระทู้นึงของรร.อนุบาลญี่ปุ่น เค้าก็ส่งลูกไปรร.เพื่อให้ป่วย งั้นก็แสดงว่า คงจะคล้าย ๆ กัน เพราะเด็กเล็กภูมิคุ้มกันยังไม่เต็มที่ ลูกเราตะก่อนก็ป่วยเป็ฯงานหลักเลย ตอนนี้สบายมากค่ะ จากคุณ : สรณธรรม เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 54 11:22:37

ความคิดเห็นที่ 6 ในความโชคร้ายมักมีความโชคดี ซ่อนอยู่เสมอ เราคิดอย่างนั้นน่ะ ครอบครัวเรา ลูกชาย 2 คน เสียพ่อไปตั้งแต่ 2 ขวบ กับ  4เดือน เราและครอบครัว เลี้ยงเค้าแบบ หวังว่า วันหนึ่งถ้าแม่ ตายาย ปู่ย่า ไม่อยู่ เค้าจะต้องดูแลและเติบโต ได้ด้วยตัวเอง ลูกเราถูกส่งไปเลี้ยง บ้าน ย่าที บ้าน ยายที บ้าน ญาติสนิท ที เพื่อให้เราสามารถประคบประคอง "ชีวิต ของครอบครัวให้สมดุล" วันนี้สิ่งที่ลูกชาย 2 คนได้รับกลับคืนมา คือ การปรับตัว การชิน กับคนแปลกหน้า การคุ้นเคย กับสภาพแวดล้อม ที่แตกต่าง ลูกชาย เรา 2 คน ไม่ร้องไห้เวลาไป เตรียม อ. 1 สนุกที่ได้เล่น กับเพื่อน สนุกกับของเล่นที่ โรงเรียน คุณครู ต่างชื่นชม ความร่าเริง ความสนุก ที่น้องทั้ง 2 สามารถปรับตัวเข้ากับโรงเรียนได้อย่างรวดเร็ว เราดีใจ ที่เราพยายามสอนให้เค้าเรียนรู้ ชีวิต ที่ไม่สมบูรณ์เพรียบพร้อม เพราะ ในความเป็นจริงของชีวิต ลูกคงจะต้องเจอ บทเรียนและอีกหลายๆ อย่างที่รอการพิสูจน์ ความเข็มแข็งของเค้า แก้ไขเมื่อ 01 เม.ย. 54 11:45:43 จากคุณ : boublekao เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 54 11:44:34

ความคิดเห็นที่ 7 โทษทีนะคะ เราไม่ได้อ่านข้อความด้านบนอ่ะค่ะ ความเห็นอาจจะไปตรงกับแม่ๆบางท่าน ต้องขออภัยด้วย แต่ขอแสดงความเห็นส่วนตัวดังนี้ค่ะ เราว่า การที่ส่งลูกไปเรียนช่วงวัยอนุบาล ถือเป็นการสอนลูกเกี่ยวกับการเข้าสังคมทางนึงนะคะ เด็กจะได้ปรับตัวอ่ะค่ะ ถ้าคุณอยู่กับลูก เค้าก็จะมีแค่เค้ากับคุณกันอยู่แค่นี้อ่ะค่ะ แล้วเด็กยิ่งเล็กก็ยิ่งสอนง่ายกว่าค่ะ การที่คุณบอกว่า อยู่บ้าน คุณมีกิจกรรมให้ลูกทำเยอะไปหมด หลานเราก็เป็นแบบเดียวกันค่ะ รู้มั้ยคะ ไป รร. ปีแรก ร้องไห้ทุกวัน ทุกวันจริงๆ อ้อ หลานเราเข้าเรียน อ.1 เลยน่ะค่ะ แต่พอส่งไปเรียน ร้องไห้ อยากอยู่บ้าน เพราะที่บ้านมีของเล่นครบ มีมากกว่าที่ รร.หลายเท่า มีคนเล่นด้วย (อาม่า อากง) จากคุณ : ชับ-บิ มัม เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 54 11:50:10

ความคิดเห็นที่ 8 ออร์แกนก็ไปโรงเรียน อาทิตย์นี้เหมือนกันค่ะคุณหนึ่ง วันแรกวันที่สองไม่ร้องเพราะไม่ทันตั้งตัว วันที่สาม ร้องตอนอยู่หน้าห้อง แต่ถามว่าจะไปโรงเรียนมั้ย ตอบว่าไป วันที่สี่ ร้องตั้งแต่ตอนออกจากบ้าน ต้องหลอกล่อสุดฤทธิ์ ถามว่าไปโรงเรียนมั้ยตอบไม่ไป วันนี้วันที่ ห้า ขึ้นรถไม่ร้อง พอครูมารับ ที่รถร้องไม่หยุด อ้อยเลยไม่อยู่ดูค่ะ เพราะอยู่ไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ เดี๋ยวครูจะว่าไม่ไว้ใจครู ถ้าเอาไปตอนโตแล้วยิ่งปรับตัวยาก มังค่ะ เพราะไม่เคยเป็นแม่ มาก่อนเหมือนกันค่ะคุณหนึ่ง แต่สู้ๆดีกว่า อดทน ดูซิจะร้องถึงเดือนมั้ย จากคุณ : ก๊องโต้กะอองรี เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 54 11:53:35

ความคิดเห็นที่ 9 จากประสบการณ์ลูกชายคนโต เข้าเตรียมนะคะ ร้องไห้อยู่ประมาณสองอาทิตย์ (อาทิตย์แรก ร้องทุกวันตั้งแต่ออกจากบ้านจนถึง รร.) ช่วงอยู่ รร. ก็มีบ้าง ที่ยังร้องไห้ แต่ก็ได้คุณครูและเพื่อนๆ คอยชวนเล่น ตอนใกล้ รร เลิก จะไปชะเง้อรอ ว่า เมื่อไหร่ พ่อจะมารับซักที พอเห็นหน้าพ่อเท่านั้น น้ำตาที่เก็บไว้ มันไหลออกมาเร็วมาก (พ่อของลูกเล่าให้ฟัง) ผ่านไปสองอาทิตย์ เริ่มปรับตัวได้ ไม่ร้องแล้วคะ ... มีแต่.... วันนี้ไปโรงเรียนไหมครับ เพื่อนๆ รออยู๋ เชื่อไหมคะ... คนเป็นแม่ (ขณะนั้นเลี้ยงลูกคนเล็กอายุสองเดือน) น้ำตาครอ ซึ้งคะ ลูกเราก็ไปโรงเรียนได้แล้ว อดทนซักพัก เดียวก็ดีคะ จากคุณ : Ben10ryu เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 54 12:54:10

ความคิดเห็นที่ 10 ถ้าไม่ได้คิดจะทำ Homeschool ให้ลูก เราว่าน่าจะเข้าเรียนตั้งแต่ อ 1 นะคะ เพราะยังงัยซะ วันนึงก็ต้องเข้าระบบ ซึ่งก็ไม่เกิน 3 ปี โอเคว่าช่วงนั้นเค้าโตขึ้นแล้ว เข้าใจเหตผลของการต้องไปโรงเรียน น่าจะไม่ร้องไห้ ไม่งอแงว่าไม่อยากไป รร.มากนัก แต่อาจจะมีปัญหาในเรื่องการปรับตัวเข้ากับเพื่อน การใช้ชีวิตใน รร. อยู่ร่วมกับเด็กที่ผ่านระบบ รร. มาแล้วไม่ต่ำกว่า 2-3 ปี เราว่าถึงจุดนั้นก็อาจจะเกิดปัญหาที่แตกต่างออกไปนะคะ เหมือนว่าตอนนี้ จขกท.อยากแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน แต่อนาคตจะเกิดอะไรขึ้นค่อยว่ากันอีกที เราว่าไม่แน่ปัญหามันอาจจะยากกว่าตอนนี้ แล้วมันย้อนเวลาไม่ได้แล้วอ่ะค่ะ ยังงัยก็เป็นกำลังใจให้นะคะ เราเองก็เคสเดียวกับ จขกท เช่นกัน เพียงลูกจะเข้าเรียน อ 1 เดือนหน้า เป็นแม่ Full time เหมือนกันค่ะ คงเจอปัญหาเดียวกัน แต่เราตั้งใจไว้แล้วว่าลูกต้องผ่านมันไปให้ได้ จากคุณ : mama_kirk เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 54 13:26:37

ความคิดเห็นที่ 11 เห็นด้วยอย่างยิ่งกับความเห็นที่ 5. ใน 2 ข้อนี้มากที่สุดครับ 2.ลูกได้มีสังคมกับเด็กวัยเดียวกัน ได้รู้จักการรอคอย การปรับตัวให้เข้ากับเพื่อน การทำตามกติกาของห้อง เช่นไม่เสียงดังเวลากินข้าว หรือตอนครูสอน 4. ได้รู้จักโลกภายนอกบ้าน ที่ไม่ได้มีแต่แม่เท่านั้น จากคุณ : J..... เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 54 13:36:33

ความคิดเห็นที่ 12 จะมารอดูเหมือนกันค่ะ ว่าอนุบาลใช่ภาคบังคับไหม ถ้าเข้าปอหนึ่งเลยได้ไหม เพราะเราก็แพลนจะทำเหมือน จขกท ค่ะ คือแม่ฟุลไทม์เลี้ยงเอง ไอ้เรื่องทักษะหรือวิชาการนี่ไม่กลัวเลย เพราะแม่มันสอนได้หมด ทั้งเรียนทั้งเล่น รวมถึงจะพาไปทัศนะศึกษาด้วย แอบคิดว่า ตัวเราน่าจะทำได้ดีกว่าครูอยู่แล้ว แต่ยังเป็นห่วงเรื่องการเข้าสังคมกับปรับตัวเข้ากับคนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัวด้วยแหละ ถึงแม้เราตั้งใจจะสอนให้เค้ารู้จักเสียสละ ระเบียบวินัยเมื่ออยู่กับผู้อื่น แต่มันไม่ได้ทุกวัน เลยกังวลว่า ถ้าเอาเค้าเข้าปอหนึ่งทีเดียวเลย เค้าจะปรับตัวได้ไหมนะ อีกอย่าง ค่าเทอมอนุบาลแพงจัง รร.ธรรมดา ก็เป็นหมื่น จะเอารร.แบบรัฐก็แอบเป็นห่วงลูก จะส่งลูกเข้ารร.ทางเลือก ก็ไม่ใช่ ไม่อยากเสียตังค์ให้เพียงเพราะเข้าสังคม  อีกอย่างไม่อยากให้ลูกตื่นแต่เช้าไปเข้า รร.ด้วย คิดๆ ไม่ตกเลยค่ะ จากคุณ : sastress เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 54 13:46:15

ความคิดเห็นที่ 13 เข้าป.1 เลยได้ค่ะ ไม่ต้องเรียนอนุบาล หลานเราทำแบบนั้น แม่เค้าสอนเองที่บ้าน พอถึงเกณฑ์ก็ไปเข้าป.1 เลย แต่....ฟังจากที่แม่เค้าเล่า ดูเด็กค่อนข้างมีปัญหาในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นค่ะ และมีความคิดเป็นของตัวเองสูงมาก ไม่อยู่ในโอวาทของครู ยึดตัวเองเป็นใหญ่ จากคุณ : ซิ่วฮุ่ย เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 54 14:23:38

ความคิดเห็นที่ 14 มนุษย์ ต้องปรับตัวให้รอดในสังคมนะคะ เด็กๆ น่าจะได้เรียนรู้ การที่จะแบ่งปัน ถูกเพื่อนแกล้งทำยังไง ต้องอยู่ห่างแม่ให้ได้ค่ะ ทำโฮมสคูลก็ดีอยู่แล้ว ถ้าคุณแม่ทำไหว ก็เอามาเข้า ป.1 ทีเดียวเลย จากคุณ : lekumi เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 54 16:44:39

ความคิดเห็นที่ 15 ลูกผมยังไม่ถึงวัยเข้าเรียนนะครับ แต่ส่วนตัวผมคิดว่าให้เรียนอนุบาลก่อนแน่นอน เพื่อให้เขาได้เข้าใจโลก เห็นโลกมากขึ้น ผมจำได้ตอนเรียนอนุบาลผมก็ร้องไห้ มาจำความได้อีกทีก็ไม่ร้องแล้ว และผมจะนั่งมองพวกเรียนประถมเสมอๆ ว่ากลับบ้านกันไวจัง อยากเรียนประถมเร็วๆ จะได้กับบ้านไวๆ 555+ คุณแม่คงต้องอดทนและหาทางฝึกน้องเขาละครับ จากคุณ : ป๊าป๋ามือใหม่ เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 54 17:58:36

ความคิดเห็นที่ 16 ขอบคุณคุณพ่อคุณแม่ทุกท่านมากๆจากใจจริงค่ะที่เสียสละเวลาเข้ามาตอบและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน ได้อ่านทุกๆความคิดเห็น ทุกตัวอักษรนะคะ หลายคคห.ที่มันเข้าไปกระแทกให้ได้สติและมองหลายมุมมากขึ้น ยังงัยสัปดาห์หน้าจะดูอาการเค้าอีกที ไว้มีโอกาสจะมาเล่าให้ฟังนะคะ ขอบคุณอีกครั้งค่ะ@^^@ จากคุณ : อ๋อเรื่องมันเป็นอย่างนี้นี่เอง เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 54 19:57:25

ความคิดเห็นที่ 17 มาช้าไปไหม ลูกเริ่ม summer อ.1 มาได้ 5 วันค่ะ เป็นแม่ full time วันแรก ร้องไห้ตอนส่งให้ครู และร้องต่อเป็นระยะ ๆ ตอนรับไม่ร้อง แต่ซึม ๆ บ่นว่าแม่มารับช้า ( จริง ๆ ไม่ช้า ) ก่อนนอนบ่น+น้ำตาไหลบอกว่าไม่อยากไปโรงเรียน วันที่สอง ร้องไห้ตอนส่งให้ครู และร้องต่อเป็นระยะ ๆ แต่น้อยกว่าวันแรก ตอนรับไม่ร้อง บ่นว่าไม่อยากไปโรงเรียน วันที่สาม ร้องไห้นิดนึงตอนส่งให้ครู แล้วหยุดร้อง ครูบอกว่าร้องอีกทีหลังจากตื่นนอน ตอนรับไม่ร้อง บอกว่าไปโรงเรียนสนุก แต่อยากให้แม่ไปนั่งในห้องเรียนด้วย วันที่สี่ ไม่ร้องแล้ว แต่ขอให้แม่นั่งรอหน้าห้อง กินข้าว นอนหลับ เข้าห้องน้ำไม่ทัน วันที่ห้า ไม่ร้อง แต่เผลอร้องไปหน่อยเพราะมีเพื่อนมาบิวร้องไห้จ๊าก ๆ ข้าง ๆ นานเกิน 555 กินข้าว นอนหลับ วันนี้แอบดูอยู่ทั้งวันค่ะ ดู ๆ แล้ว คุณครูก็ไม่ได้สอนอะไรมากไปกว่าที่เราสอนที่บ้าน แต่สิ่งที่ได้จากการส่งลูกไปโรงเรียนคือ ฝึกระเบียบ เข้าสังคม การรอคอย การปรับตัว การจากพ่อแม่ การอยู่กับคนแปลกหน้า เราเองก็ลังเลมาตลอด อยากให้ลูกเข้าเรียนช้าที่สุด เตรียมอนุบาลตัดไป เพิ่งมาเริ่ม อ.1 นี่เองค่ะ ตอนแรกสามีอยากจะให้ลูกเข้าตอน ป.1 แต่เราไม่เห็นด้วยตามเหตุผลข้างต้น ยังไม่นับถึงปัญหาเรื่องหาโรงเรียนตอน ป.1 นะคะ จากคุณ : ระแนงไม้ เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 54 20:52:26

ความคิดเห็นที่ 18 เข้าใจความรู้สึกนะคะ อย่างแรกคือคุณต้องดูให้ออกว่าลูกร้องไห้เพราะ "ไม่อยากไปโรงเรียน" หรือ "ไม่ชอบโรงเรียนนี้" เป็นไปได้หรือเปล่าว่าครูดุ เพื่อนแกล้ง หรือลูกถูกทำให้กลัว ถ้าปัญหาอยู่ที่โรงเรียน เจนแนะนำว่าสำหรับเด็กอนุบาลย้ายโรงเรียนเป็นทางออกที่ดีและง่ายที่สุด แต่ถ้าคุณมั่นใจว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่โรงเรียนและคิดว่าต่อให้ย้ายโรงเรียนปัญหาก็ยังจะเกิดเหมือนเดิม ถ้าอย่างนั้นให้เด็กค่อยๆปรับตัวทีละน้อยดีไหม จะเป็นไปได้ไหมที่คุณจะไปคุยกับทางโรงเรียน (ซึ่งเจนคิดว่าโรงเรียนน่าจะเข้าใจ) อาจจะเริ่มด้วยการให้ลูกไปโรงเรียนแค่ครึ่งวันแล้วเที่ยงก็ไปรับ แล้วค่อยๆเพิ่มเวลาออกไปเรื่อยๆจนลูกเลิกเรียนเท่าเด็กคนอื่น ในกระทู้คุณบอกว่าเป็นคุณแม่เต็มเวลา ถ้าอย่างนั้นช่วงที่โรงเรียนให้เด็กนอนตอนบ่ายคุณไม่จำเป็นต้องให้ลูกนอนไปรับได้เลย และวันไหนที่คุณรู้สึกว่าลูกไม่ไหวจริงๆ เช่นวันที่ 5 ที่คุณเล่า ถ้าคุณรู้สึกขนาดนั้นก็ไม่จำเป็นที่ต้องฝืนให้ลูกไปโรงเรียนในวันนั้นแต่คุณควรบอกกับลูกว่าวันนี้ไม่ไปไม่ได้หมายความว่าพรุ่งนี้จะไม่ต้องไปนะคะ ส่วนคำถามว่าถ้าไม่ให้เรียนอนุบาลเลยแล้วไปเข้าป1 ถ้าทำแบบนั้นเจนคิดว่าพอตอนเข้าป1เด็กจะมีปัญหายิ่งกว่าตอนนี้เพราะเด็กปรับตัวไม่ได้และอย่างที่หลายคนบอกคือครูอนุบาลใจดีกว่าครูประถมมาก จากคุณ : เจน (JanE & IK) เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 54 20:53:02

ความคิดเห็นที่ 19 คุณระแนงไม้ & คุณเจน (JanE & IK) ขอบคุณมากๆที่สละเวลาเข้ามาตอบนะคะ เข้าใจว่าลูก "ไม่อยากไปโรงเรียนโดยไม่มีแม่อยู่ด้วย" ไม่ใช่ไม่ชอบโรงเรียนค่ะ เพราะวันนี้หลังจากลูกร้องไม่อยากไป เราก็ไม่บังคับ เลยหยุดวันนึง หลังจากเค้านอนกลางวันตื่นขึ้นมาก็บอก "แม่...ไปโรงเรียนแม่ไปร้องเพลงด้วยนะ" ก็ขับรถพาเค้าไป ร.ร.เลิกแล้วแต่คุณครูยังไม่กลับเลยมีโอกาสได้คุยกัน ครูก็บอกให้แม่อดทน และมาีรับลูกเร็วกว่าปกติในช่วง summer (ปกติเลิก 15.30 ให้มารับ 14.00) ครูก็ให้กำลังใจแม่ว่าให้อดทนเด็กๆจะผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ไม่ช้าก็เร็ว เราก็หวังอย่างนั้นเหมือนกันค่ะ ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาอีกครั้งนะคะ ขอบคุณจริงๆค่ะ^^ จากคุณ : อ๋อเรื่องมันเป็นอย่างนี้นี่เอง เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 54 21:55:54

ความคิดเห็นที่ 20 มาตามคำเชิญนะคะ ในฐานะที่ทำโฮมสคูลมาตั้งแต่ต้น.  และมีแนวโน้มว่าจะทำต่อไปเรื่อยๆจนน้องจบม.3. หรืออาจจะมากกว่า ถ้าให้ตอบคำถามที่ว่า. น้องไม่ต้องไปอนุบาล. สามารถเข้าป.1เลยได้ไหม (เพราะการศึกษาไทยภาคบังคับ. เริ่มที่ป.1) คำตอบที่ได้. น่าจะเป็น.      ได้ค่ะ แต่ในความเป็นจริง.  ต้องดูว่าโรงเรียนจะรับไหม. ซึ่งมีน้อยมาก หน่อยเอง. ก็เคยปวดหัวมากกับเรื่องนี้. เพราะพ่อน้องอลิสสา(ฝรั่ง) มีความคิดที่ไม่อยากให้น้องไปอนุบาล เราเลยคาดว่าจะให้น้องไปเรียนชั้นป.1เลย แต่หลังจากที่ได้โทรถามหลายๆโรงเรียนที่เมืองไทย.  เหมือนไม่ได้. ต่่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า น้องต้องผ่านการเรียนอนุบาลมาก่อน.  ทั้งๆที่เราบอกว่าเราโฮมสคูลน้องเอง ตรงจุดนี้เราเข้าใจว่า. เมืองไทยคงไม่คนที่มีความรู้ความเข้าใจ. และโฮมสคูลยังไม่เป็นที่นิยมมากนัก ทางโรงเรียนจึงยังไม่เข้าใจ ในขณะที่ทางเมืองนอกเอง โฮมสคูลกับเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นๆทุกวัน และที่คุ้นเคยกันดีแล้ว คือ การเรียนทางไกล (ต่างจากโฮมสคูลเล็กน้อยนะคะ) เราเลยตัดปัญหาเหล่านี้. โดยจะใช้ curriculum จากอเมริกา. โดยสถาบันที่ได้รับการรับรอง จาก WASC.  แม้จะต้องเสียค่าใช้จ่ายปีละแสนบาท(ค่าหลักสูตร). และจะแพงขึ้น. เมื่อเรียนชั้นสูงขึ้นๆไปอีก ดังนั้นถ้าคุณจขกท สนใจจะให้น้องโฮมสคูลจริงๆ ก็ควรที่จะหาหลักสูตรที่มีมาตรฐาน. ประกอบการโฮมสคูลนั้นๆไปด้วยนะคะ. เพราะคงต้องใช้ในการสมัครเรียนชั้นป.1สำหรับโรงเรียนมีชื่อ.  เพราหลักสูตรที่ได้มาตรฐาน จะมีผลการเรียน ทรานสคริป และใบประเมินผลให้ด้วยค่ะ ปัจจุบัน โฮมสคูลของเอมริกามีมากมาย. ตั้งแต่ฟรี สำหรับผู้ที่อาศัยในรัฐนั้นๆ  และหลักสูตรที่ดำเนินการโดยมหาลัยชื่อดัง เช่น stanford university. (รับเฉพาะไฮสคูล และค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง) โฮมสคูลที่ราคาไม่กี่ร้อยเหรียญต่อปี. สำหรับอนุบาล  คุณจขกท คงต้องค่อยๆเลือกดู เรื่องการเข้าสังคมและการปรับตัว.  เราได้เคยกล่าวไว้แล้ว.  หลายครั้ง.  ขึ้นอยู่กับความเชื่อของผู้ปกครองนะคะ แต่สำหรับเราแล้ว. เราเชื่อว่า เด็กที่โตกว่า (ไม่ใช่ผู้ใหญ่แล้วนะคะ) ย่อมปรับตัวได้ง่ายและไวกว่า. เด็กที่ยังไม่ค่อยรู้เรื่องว่า ตัวเองต้องทำอะไร. ยังไง. ที่ไหน.   เช่นเราบอกเด็กหกขวบว่า. ไปโรงเรียนนะคะ. เดี๋ยวตอนเย็นแม่มารับ เค้าจะเข้าใจทันที.  เพราะเค้ารู้แล้วว่าโรงเรียนคืออะไร แต่ถ้าเราใช้วิธีนี้กับเด็กสองขวบครึ่ง. ความเข้าใจคงน้อยกว่าค่ะ. ดังที่เห็นร้องกันหลายๆคน เรื่องเข้าสังคม. ถ้าคุณไม่ได้อยู่ในป่า หรือไม่ได้อยู่แต่ในบ้าน. คงไม่เป็นไรกระมังคะ อลิสสา. ไม่เคยมีปัญหาเรื่องการเข้าสังคม. เธอขึ้นเครื่องบินทุกเดือนตั้งแต่เกิด. ไปเที่ยวต่างประเทศปีละหลายครั้ง ไปสวนสัตว์.  ว่ายน้ำ. ร้านอาหาร.  ห้างสรรพสินค้า.  สิ่งเหล่านี้. หล่อหลอมประสบการณ์ทั้งสิ้น ทางเมืองนอกเอง.  ได้กล่าวไว้ว่า. " "เราต้องการให้เด็กได้เรียนรู้พฤติกรรมที่ถูกต้องจากผู้ใหญ่. ไม่ใช่จากเด็กด้วยกันเอง" สมัยหน่อยเอง. ไม่เคยเรียนอนุบาลค่ะ. แต่เข้าปฺ1 เลย ไม่เคยมีปัญหาเรื่องการปรับตัวและเข้ากับเพื่อนค่ะ. แถมเป็นหัวหน้าห้อง และทำกิจกรรมตลอดจนจบม.3  ส่วนม.ปลาย. สอบเทียบแลัเริ่มเกเรนิดหน่อย.... ตามวัยค่ะ เด็กที่ไม่เคยไปโรงเรียนเลย. ที่เมืองนอก. แต่เรียนหลักสูตรทางไกล จนจบชั้น ม.6. ปัจจุบัน สอบเข้ามหาลัยชั้นนำของโลกมากมาย เราไม่เห็นว่า.  เด็กจะปรับตัวไม่ได้แต่อย่างใดนะคะ สำหรับการเรียนการสอนในชั้นระดับสูงขึ้น. เช่นม.ปลาย ในสายวิทย์คณิตย์.  หลายคนอาจกังขาว่า. ผู้ปกครองไม่มีความรู้จะสอนได้อย่างไร ผู้ปกครองไม่ได้สอนค่ะ.  เราเป็นแค่ผู้ช่วย ผู้อำนวยความสะดวก.  เด็กจะมี หนังสือ. คู่มือ. หลักสูตร.   ซึ่งเค้าจะต้องศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง.   หากมีปัญหา.  เค้าก็มีอาจารย์ประจำวิชานั้นๆให้ออนไลน์ถามและตอบได้ค่ะ รายละเอียด.  ขอไม่เอ่ยนะคะ พิมพ์ไปพิมพ์มาชักจะติดลม. คงต้องเซฟเก็บไว้เป็นความรู้กับเพื่อนๆท่านอื่นๆ กรณีที่มีคำถามเรื่องโฮมสคูลขึ้นมาอีก สำหรับคุณจขกท. สิ่งที่เราพิมพ์มาอาจจะไม่เกี่ยวกับคำถามมากนัก.   แต่อาจจะเป็นแนวทางได้ว่า.   คุณอาจจะต้องหาหลักสูตรสำหรับอนุบาลให้คุณลูกค่ะ สำหรับคุณพ่อแม่ทั่วไป.  ที่ส่งลูกไปโรงเรียนแบบปกติ ข้อความของเรามิได้แอนตี้ใดๆนะคะ.  เรียนทางไกลเป็นแค่ทางเลือกเช่นเดียวกันค่ะ เราเองที่ต้องทำแบบนี้เพราะหาโรงเรียนดีๆให้ลูกที่นี่ไม่ได้ คาดว่า ตอนอลิสสาขึ้นมี.ปลาย. คงได้ไปอยู่เมืองไทย.  เราก็คงให้เค้าไปโรงเรียนปกติเช่นเดียวกัน เค้าจะได้มีเพื่อนต่อยอดไปในอนาคต. รวมทั้งทุนการศึกษาอีกมากมายในระบบโรงเรียน โรงเรียนแบบปกติ.  น่าจะดีกว่าค่ะ หวังว่าคุณจขกท. คงพบทางออกนะคะ จากคุณ : รักแม่นะคะ เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 54 22:16:39

ความคิดเห็นที่ 21 ขอบคุณคุณแม่น้องอลิสสา มากๆค่ะ เราเองก็ได้ติดตามกระทู้โฮมสคูลของคุณแม่อยู่เหมือนกันและนึกชื่นชมอยู่ในใจที่คุณแม่ทุ่มเทให้ลูกได้แบบไม่ต้องพึ่ง ร.ร.เลย แต่ตัวเราเองคงไม่มีศักยภาพพอT_T หลายวันที่ผ่านมา คุยกับตัวเองอยู่ในหัว ถาม-ตอบ ถึงข้อดีข้อเสียสำหรับการส่งลูกเข้าอนุบาลในตอนนี้และอนาคตข้างหน้า  คิดว่าเร็วๆนี้น่าจะได้บทสรุปแล้วค่อยปรึกษาพ่อเค้าอีกที ขอบคุณจริงๆค่ะ จากคุณ : อ๋อเรื่องมันเป็นอย่างนี้นี่เอง เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 54 20:50:14