ความคิดเห็นที่ 1 • จอตอบสนองความบันเทิง ในทีวีมีทั้งภาพเคลื่อนไหวที่ให้แสง สี เสียงเร้าใจ จนสะกดให้เด็กๆ จดจ่ออยู่ได้เป็นเวลานาน และยังมีเกมคอมพิวเตอร์ ที่สะท้อนภาพเสมือนจริง แถมยังสนุกสนาน เด็กๆ เล่นแล้วต้องติดใจกันทุกคน • ใช้จอเป็นพี่เลี้ยง เพราะภาพเคลื่อนไหว และเสียงที่ดังก้อง ทำให้เด็กๆ สามารถนั่งนิ่งดูทีวีหรือเล่นเกมได้เป็นเวลานาน โดยไม่ซน ไม่รื้อข้าวของ ไม่ร้องงอแง จึงทำให้พ่อแม่หลายคนเลือกจอเป็นพี่เลี้ยงให้ลูก แทนหน้าที่ของตัวเอง โดยไม่รู้เลยว่าคุณกำลังฆ่าลูกทางอ้อม • ใกล้ตัวและเข้าถึงง่าย แทบทุกบ้านมีทีวี แทบทุกบ้านมีคอมพิวเตอร์ และแทบทุกคนมีโทรศัพท์มือถือ ลูกๆ จึงได้เห็นอุปกรณ์เหล่านี้อยู่ในชีวิตประจำวันของพ่อแม่และตัวเขาเอง เด็กๆ จึงเกิดความคุ้นเคย พร้อมกับได้เห็นตัวอย่างจากพ่อแม่ที่ใช้อยู่ทุกวัน เขาจึงอยากรู้ อยากลอง แถมบางครั้งยังมีพ่อแม่เป็นผู้หยิบยื่น โดยไม่ได้ตระหนักถึงอันตรายถ้าลูกติดใจ จากคุณ : แม่น้องปีใหม่ เขียนเมื่อ : 1 ก.ค. 54 20:03:45

ความคิดเห็นที่ 2 จอ...ทำให้ตายเร็ว จอสี่เหลี่ยมสามารถทำร้ายและทำลายเราได้ โดยการสะสมและซึมซับไปทีละเล็กทีละน้อย ค่อยๆ กัดกร่อนทั้งร่างกายและจิตใจ อย่างไม่รู้ตัวเลยล่ะค่ะ ร่างกายถูกทำร้าย • โรคอ้วน ส่วนใหญ่ เด็กที่ติดจอก็มักจะกินไปด้วยทั้งข้าวและขนม ในขณะที่ร่างกายไม่ได้เคลื่อนไหว และเผาผลาญพลังงานที่กินเข้าไป โรคอ้วนก็จะถามหา ซึ่งความอ้วนเป็นจุดเริ่มต้นของอีกหลายๆ โรค เช่น เบาหวาน ไขมันอุดตันในเส้นเลือด ฯลฯ • ขัดขวางพัฒนาการ ทั้งจอทีวีและจอคอมพิวเตอร์มีแสงจ้าที่ไม่เหมาะกับสายตาของเด็ก เด็กๆ ที่จ้องมองนานๆ อาจทำให้สายตาสั้น หรือมีผลกระทบต่อการมองเห็น เพราะแสงที่เหมาะกับพัฒนาการด้านการมองของเด็กคือแสงจากธรรมชาติ • โรคหัวใจ งานวิจัยจากประเทศอังกฤษ ระบุว่าการดูทีวีนานเกินวันละ 2 ชั่วโมง เสี่ยงเป็นโรคหัวใจ ซึ่งสาเหตุหลักของการเกิดโรคหัวใจ คือความอ้วนและการไม่ได้เคลื่อนไหวเป็นเวลานานๆ จากคุณ : แม่น้องปีใหม่ เขียนเมื่อ : 1 ก.ค. 54 20:04:16

ความคิดเห็นที่ 3 จิตใจถูกทำลาย • ก้าวร้าวรุนแรง เกิดจากการซึมซับความรุนแรงของเนื้อหาในจอทีวีและเกมในคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือ เช่น เกมที่ยิงกันจนเลือดสาด เพราะเด็กเล็กๆ ยังแยกโลกความเป็นจริงกับโลกเสมือนจริงอย่างในเกมไม่ออกเหมือนผู้ใหญ่อย่างเราค่ะ ทำให้เด็กซึมซับความรุนแรงจากการที่เขาสวมบทบาทเป็นผู้เล่น และแสดงออกมาเป็นพฤติกรรมที่ก้าวร้าวรุนแรงตามไปด้วย • หงุดหงิดง่าย เพราะความไวจากสื่อทีวีและอินเตอร์เนต ทำให้เด็กๆ ถูกตอบสนองอย่างรวดเร็วอยู่ตลอดเวลา ทำให้เด็กๆ มักจะหงุดหงิดและไม่รู้จักอดทนรอคอยเมื่อต้องอยู่ร่วมกับผู้อื่น • ทักษะสังคมไม่ดี ทักษะสังคมของเด็กๆ จะพัฒนาได้ดี หากได้มีปฏิสัมพันธ์ ได้พูดคุยกับพ่อแม่และคนรอบข้าง แต่หากอยู่ติดกับหน้าจอ การสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่นก็จะไม่ได้พัฒนา ถึงแม้ว่าในเกมออนไลน์จะมีการแชทหรือพูดคุยกัน แต่ภาษาในเกมกับภาษาที่ใช้ในชีวิตจริงก็ต่างกัน เด็กๆ จะไม่ได้เรียนรู้การสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น จากคุณ : แม่น้องปีใหม่ เขียนเมื่อ : 1 ก.ค. 54 20:04:47

ความคิดเห็นที่ 4 ระวัง! การทำร้ายผ่านโลกไซเบอร์ (Cyber bullying) Cyber bullying คือการรังแกระหว่างเด็กด้วยกันผ่านสื่อไซเบอร์ อันได้แก่ อินเตอร์เนตและโทรศัพท์มือถือ รูปแบบการรังแกประเภทนี้มีตั้งแต่การนินทาด่าทอ การส่งต่อข้อมูลที่เป็นความลับของคนอื่นโดยมีเจตนาให้บุคคลนั้นได้รับความอับอายเสื่อมเสียชื่อเสียง รวมถึงการใส่ร้ายให้อีกฝ่ายเสื่อมเสีย เช่น กล่าวหาว่าเป็นโสเภณีหรือเป็นเกย์ ผ่านการส่งต่อทางอีเมล์ โดยฝ่ายที่เป็นเหยื่อในการกล่าวหา จะไม่สามารถรู้ว่าใครเป็นผู้กระทำ งานสำรวจเด็กในกรุงเทพฯ และปริมณฑล พบว่ามีเด็กถึง 48% ที่อยู่ในวงจร Cyber bullying โดยอาจเป็นทั้งผู้กระทำ เหยื่อ และผู้เฝ้าดูหรือส่งต่อข้อมูลไปยังกลุ่มอื่นๆ ความรุนแรงของการทำร้ายกันผ่านโลกไซเบอร์ ที่พบเห็นในเมืองไทย มีมากมายหลายรูปแบบ อาทิเช่น เด็กที่เป็นเหยื่อต้องลาออกจากโรงเรียน อยู่ในภาวะเครียด นอนไม่หลับ และเป็นโรควิตกกังวล แต่ในประเทศญี่ปุ่น วงจรนี้รุนแรงถึงขั้นเด็กฆ่าตัวตายและฆ่าเพื่อนที่คิดว่าเป็นผู้กระทำ โดยช่วงเวลาที่เด็กไทยมักอยู่ในวงจร Cyber bullying คือช่วง 6 โมงเย็นถึง 3 ทุ่ม ซึ่งเป็นช่วงที่เด็กใช้อินเตอร์เน็ตและทำการบ้าน แนวโน้มของการใช้ความรุนแรงลักษณะนี้ จะเกาะกินพฤติกรรมของลูกและจะมีเพิ่มมากขึ้น หากเด็กๆ ไม่ได้รับการดูแลจากพ่อแม่อย่างใกล้ชิด และขาดการแนะนำหรือช่วยกันเลือกใช้แต่ด้านที่มีประโยชน์ จากจอคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เนต จากคุณ : แม่น้องปีใหม่ เขียนเมื่อ : 1 ก.ค. 54 20:05:28

ความคิดเห็นที่ 5 อย่าให้จอกำหนดชีวิต คนสำคัญที่จะหยุดวงจรติดจอให้กับลูกได้ คือพ่อแม่นั่นเองค่ะ เพราะเป็นบุคคลที่อยู่ใกล้ชิดและสามารถเลือกสิ่งที่มีประโยชน์จากเทคโนโลยีผ่านจอต่างๆ ให้กับลูกได้ ที่สำคัญอย่าลืมรักษาชีวิตของคุณ ด้วยการใช้เทคโนโลยีและจอเหล่านั้นอย่างมีประโยชน์และเหมาะสม โดยยึดหลัก 7 ข้อ ดังต่อไปนี้ 1. พ่อแม่คือตัวอย่างที่ดี คุณต้องเป็นตัวอย่างการใช้จออย่างสร้างสรรค์ให้ลูกเห็น เช่น ไม่กินข้าวพร้อมดูทีวี อย่ามัวแต่ทำงานที่หน้าจอคอมพิวเตอร์จนลืมสนใจลูก หรือติดเกมในโทรศัพท์จนไม่ขยับไปไหน อย่าลืมว่าลูกกำลังเลียนแบบพฤติกรรมทุกอย่างของคุณอยู่นะคะ 2. หยุดใช้จอเลี้ยงลูก หน้าที่สำคัญของพ่อแม่ คือการเลี้ยงลูกค่ะ การใช้จอเลี้ยงลูกหรือสยบความซนไม่มีประโยชน์อะไรเลย เพราะเด็กๆ เรียนรู้ผ่านการเล่นและการได้ลงมือทำกิจกรรมต่างๆ ด้วยตนเอง ดังนั้น ให้เขาได้เล่นซนดีกว่าค่ะ 3. ร่วมสร้างกติกาในบ้าน ด้วยการพูดคุยกันอย่างใจเย็น ว่าเราควรจัดสรรเวลาในการดูทีวีหรือเล่นเกมคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม เช่น หลังทำการบ้านเสร็จหรือเฉพาะวันหยุด โดยควรกำหนดและตกลงกติกาพร้อมกับลูก การให้ลูกได้มีส่วนในการตั้งกติกา เพื่อเขาจะได้ทำตามโดยไม่รู้สึกว่ากำลังถูกบังคับ โดยเวลาที่เหมาะสมของการเล่นเกมในเด็กวัยอนุบาลคือ 30 นาที ส่วนเด็กอายุไม่เกิน 18 ปี ไม่ควรเล่นเกมเกินวันละ 3 ชั่วโมงค่ะ รวมทั้งควรจัดวางคอมพิวเตอร์และทีวีไว้ส่วนกลางของบ้าน เพื่อคุณจะได้รับรู้และสามารถควบคุมสื่อที่ลูกกำลังรับได้ค่ะ 4. เลือกสื่อสร้างสรรค์ให้ลูก ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาจากทีวีหรือเกมที่ให้ลูกเล่น ควรเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับวัย และมีประโยชน์ต่อการใช้ความคิดของเด็ก เช่น เกมบวกลบเลข เกมฝึกทักษะการวางแผน หรือแม้แต่เกมที่ต้องขยับเคลื่อนไหวร่างกายในการเล่น และควรใช้เวลากับลูก เช่น ขณะดูการ์ตูนด้วยกันก็ควรสอนหรือสอดแทรกตัวอย่างที่ดีที่ลูกควรทำตาม เป็นต้น 5. ทำกิจกรรมนอกจอ คือการใช้เวลาพูดคุยหรือเล่นกับลูกให้มากขึ้น อาจหาเวลาไปเที่ยวนอกบ้านบ้าง เป็นการช่วยลดการใช้จอเป็นกิจกรรมหลักในครอบครัว 6. ออกกำลังกายพร้อมดูทีวี ในขณะที่ดูทีวี ควรหากิจกรรมที่ร่างกายได้เคลื่อนไหวไปด้วย เช่น ขยับแขนขา ซิตอัพหรือเล่นฮูลาฮูป ก็ช่วยให้เราได้ดูทีวีรายการโปรด พร้อมร่างกายแข็งแรงค่ะ 7. เปลี่ยนพฤติกรรมดูบ้าง ลองปิดจอหรือลดชั่วโมงในการดูลง แล้วหันไปเสพสื่อด้วยวิธีอื่นบ้าง เช่น อ่านหนังสือ ฟังวิทยุ หรือออกไปทำกิจกรรมผ่อนคลายนอกบ้าน แล้วคุณจะรู้สึกว่า คุณมีเวลาดูแลตัวเองเพิ่มขึ้นเยอะเลยค่ะ ไม่ได้จะมากล่าวหาว่าทีวี คอมพิวเตอร์หรือเทคโนโลยีเป็นสิ่งเลวร้ายนะคะ แต่พ่อแม่ต้องรู้จักเลือกและส่งเสริมลูกอย่างพอดี เลือกเนื้อหาที่สร้างสรรค์เหมาะสมกับวัยลูก มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นค่ะที่จะช่วยป้องกันไม้ให้จอทั้ง จากคุณ : แม่น้องปีใหม่ เขียนเมื่อ : 1 ก.ค. 54 20:06:59

ความคิดเห็นที่ 6 อย่าให้จอกำหนดชีวิต คนสำคัญที่จะหยุดวงจรติดจอให้กับลูกได้ คือพ่อแม่นั่นเองค่ะ เพราะเป็นบุคคลที่อยู่ใกล้ชิดและสามารถเลือกสิ่งที่มีประโยชน์จากเทคโนโลยีผ่านจอต่างๆ ให้กับลูกได้ ที่สำคัญอย่าลืมรักษาชีวิตของคุณ ด้วยการใช้เทคโนโลยีและจอเหล่านั้นอย่างมีประโยชน์และเหมาะสม โดยยึดหลัก 7 ข้อ ดังต่อไปนี้ 1. พ่อแม่คือตัวอย่างที่ดี คุณต้องเป็นตัวอย่างการใช้จออย่างสร้างสรรค์ให้ลูกเห็น เช่น ไม่กินข้าวพร้อมดูทีวี อย่ามัวแต่ทำงานที่หน้าจอคอมพิวเตอร์จนลืมสนใจลูก หรือติดเกมในโทรศัพท์จนไม่ขยับไปไหน อย่าลืมว่าลูกกำลังเลียนแบบพฤติกรรมทุกอย่างของคุณอยู่นะคะ 2. หยุดใช้จอเลี้ยงลูก หน้าที่สำคัญของพ่อแม่ คือการเลี้ยงลูกค่ะ การใช้จอเลี้ยงลูกหรือสยบความซนไม่มีประโยชน์อะไรเลย เพราะเด็กๆ เรียนรู้ผ่านการเล่นและการได้ลงมือทำกิจกรรมต่างๆ ด้วยตนเอง ดังนั้น ให้เขาได้เล่นซนดีกว่าค่ะ 3. ร่วมสร้างกติกาในบ้าน ด้วยการพูดคุยกันอย่างใจเย็น ว่าเราควรจัดสรรเวลาในการดูทีวีหรือเล่นเกมคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม เช่น หลังทำการบ้านเสร็จหรือเฉพาะวันหยุด โดยควรกำหนดและตกลงกติกาพร้อมกับลูก การให้ลูกได้มีส่วนในการตั้งกติกา เพื่อเขาจะได้ทำตามโดยไม่รู้สึกว่ากำลังถูกบังคับ โดยเวลาที่เหมาะสมของการเล่นเกมในเด็กวัยอนุบาลคือ 30 นาที ส่วนเด็กอายุไม่เกิน 18 ปี ไม่ควรเล่นเกมเกินวันละ 3 ชั่วโมงค่ะ รวมทั้งควรจัดวางคอมพิวเตอร์และทีวีไว้ส่วนกลางของบ้าน เพื่อคุณจะได้รับรู้และสามารถควบคุมสื่อที่ลูกกำลังรับได้ค่ะ 4. เลือกสื่อสร้างสรรค์ให้ลูก ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาจากทีวีหรือเกมที่ให้ลูกเล่น ควรเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับวัย และมีประโยชน์ต่อการใช้ความคิดของเด็ก เช่น เกมบวกลบเลข เกมฝึกทักษะการวางแผน หรือแม้แต่เกมที่ต้องขยับเคลื่อนไหวร่างกายในการเล่น และควรใช้เวลากับลูก เช่น ขณะดูการ์ตูนด้วยกันก็ควรสอนหรือสอดแทรกตัวอย่างที่ดีที่ลูกควรทำตาม เป็นต้น 5. ทำกิจกรรมนอกจอ คือการใช้เวลาพูดคุยหรือเล่นกับลูกให้มากขึ้น อาจหาเวลาไปเที่ยวนอกบ้านบ้าง เป็นการช่วยลดการใช้จอเป็นกิจกรรมหลักในครอบครัว 6. ออกกำลังกายพร้อมดูทีวี ในขณะที่ดูทีวี ควรหากิจกรรมที่ร่างกายได้เคลื่อนไหวไปด้วย เช่น ขยับแขนขา ซิตอัพหรือเล่นฮูลาฮูป ก็ช่วยให้เราได้ดูทีวีรายการโปรด พร้อมร่างกายแข็งแรงค่ะ 7. เปลี่ยนพฤติกรรมดูบ้าง ลองปิดจอหรือลดชั่วโมงในการดูลง แล้วหันไปเสพสื่อด้วยวิธีอื่นบ้าง เช่น อ่านหนังสือ ฟังวิทยุ หรือออกไปทำกิจกรรมผ่อนคลายนอกบ้าน แล้วคุณจะรู้สึกว่า คุณมีเวลาดูแลตัวเองเพิ่มขึ้นเยอะเลยค่ะ ไม่ได้จะมากล่าวหาว่าทีวี คอมพิวเตอร์หรือเทคโนโลยีเป็นสิ่งเลวร้ายนะคะ แต่พ่อแม่ต้องรู้จักเลือกและส่งเสริมลูกอย่างพอดี เลือกเนื้อหาที่สร้างสรรค์เหมาะสมกับวัยลูก มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นค่ะที่จะช่วยป้องกันไม้ให้จอทั้ง จากคุณ : แม่น้องปีใหม่ เขียนเมื่อ : 1 ก.ค. 54 20:08:19

ความคิดเห็นที่ 7 แล้วเราจะเลี่ยงจอกันยังไงดีน๊อ น่ากลัวซะเหลือเกิน แม่เองก็ยังติดจอทั้งวันเลยลูก..เฮ้อ แก้ไขเมื่อ 01 ก.ค. 54 20:13:18 จากคุณ : แม่น้องปีใหม่ เขียนเมื่อ : 1 ก.ค. 54 20:10:59

ความคิดเห็นที่ 8 ^0^ ก็ที่นั่งอ่านนี่ก็ติดจอ เหมือนกันและคะ ขอบคุณน่ะคะ สำหรับ บทความดีๆคะ จัดไป 1กิ๊ฟ ต้องใช้สอยอย่างประหยัด ไม่ไหวคะ ไม่เคยเหลือใช้เกินวันที่10 เลย แก้ไขเมื่อ 01 ก.ค. 54 20:24:25 จากคุณ : mama N'opor เขียนเมื่อ : 1 ก.ค. 54 20:23:16

ความคิดเห็นที่ 9 ขณะที่กำลังอ่านกระทู้นี้ มืออีกข้างนึงยังไกวเปลอยู่เลยค่ะ ทีวีน่ะทำได้ เพราะไม่ค่อยดู แต่จอคอมนี่สิจะทำยังไง แถมยังเปิดร้านเน็ตกะเกมส์ด้วย จากคุณ : มิสพรหล้า เขียนเมื่อ : 1 ก.ค. 54 22:16:15