เอาข้อมูลมาฝากครับ :)
เปิดตำรา"เพศ"สอนเด็กตามวัย
การสอนเรื่องเพศศึกษาให้กับเด็กมีหลากหลายมุมมอง บางคนมีมุมมองว่าถ้าจะสอนเรื่องเพศก็ควรสอนอย่างเปิดกว้าง ให้เด็กเรียนรู้วิธีมีเพศสัมพันธ์อย่างถูกต้อง สอนให้เด็กรู้จักและคุ้นเคยกับถุงยางอนามัยตั้งแต่เล็ก เพื่อโตขึ้นจะได้ตระหนักและรู้จักป้องกันตนเองเวลาจะมีเพศสัมพันธ์ บ้างก็ว่าไม่ควรสอนเดี๋ยวจะชี้โพรงให้กระรอก โตขึ้นเด็กก็จะเรียนรู้ไปเอง
นายสรรพสิทธิ์ คุมพ์ประพันธ์ ผู้อำนวยการมูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก แสดงความเห็นว่าเด็กเล็กๆ ซึ่งฮอร์โมนเพศและอารมณ์ทางเพศยังไม่ทำงานจะยังไม่เข้าใจเรื่องเพศ การสอนให้เด็กรู้จักเรื่องเพศสัมพันธ์อาจทำให้เด็กรู้สึกไม่ดี ถ้าจะต้องเรียนรู้ถึงการสอดใส่อวัยวะเพศ แม้จะสอนให้เด็กรู้จักป้องกันตั้งแต่เล็ก เด็กยังไม่เข้าใจ สอนไปก็จำไม่ได้
สิ่งที่สอนเด็กควรสอนให้รู้จักพัฒนาการทางเพศที่ถูกต้องและเหมาะสม การสอนเรื่องเพศให้กับเด็กในแต่ละวัยมีความแตกต่างกัน พ่อแม่หรือผู้ใหญ่ต้องเข้าใจพัฒนาการของแต่ละวัยเป็นข้อมูลเบื้องต้น
เช่นในเด็กวัย 2-6 ขวบหรือเด็กอนุบาล วิธีการสอนเป็นในลักษณะของการใช้ชีวิตประจำวัน เด็กจะเริ่มรับรู้ว่าตนเป็นเพศหญิงหรือเพศชายเมื่ออายุประมาณ 3 ขวบ และเด็กจะต้องเริ่มเรียนรู้ว่าผู้หญิงและผู้ชายจะแต่งกายต่างกันอย่างไร สำหรับเรื่องเพศ เด็กจะจำในสิ่งที่เด็กจะจำได้ คิดได้ในระดับวุฒิภาวะของเขา ซึ่งอาจเป็นสิ่งดีๆ หรือเป็นสิ่งที่ไม่ดีมากๆ สำหรับเด็กขึ้นอยู่กับสภาวะแวดล้อม ถ้าพ่อแม่หรือบุคคลแวดล้อมของเด็กมีพฤติกรรมทางเพศที่ดีและเหมาะสมเด็กก็จะมีความจำแบบนี้อยู่ และถ้าเด็กพบพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเด็กก็จะมีความจำแบบนั้นเช่นกัน กรณีที่จะมีผลกระทบทางลบต่อเด็ก เช่น ถ้ามีการทุบตีทำร้ายร่างกายก่อนการมีเพศสัมพันธ์ เด็กก็จะจำได้เพราะกระทบกระเทือนอารมณ์ ในขณะที่การดำเนินชีวิตเหมือนคนปกติเด็กจะจำไม่ได้ แต่ถ้าเด็กพบเห็นบรรยากาศในทางบวก มีความรัก ความอบอุ่น มีความสุขในบ้านเด็กก็จะจำได้
การเรียนรู้เรื่องเพศของเด็กในวัย 4-6 ขวบที่สอดคล้องกับพัฒนาการตามวัยยังไม่ต้องสอนเรื่องเพศสัมพันธ์ เพราะว่าเด็กยังไม่มีฮอร์โมนเพศ หรือไม่มีโอกาสที่จะไปเชื่อมโยงกับอารมณ์เพศได้ แต่เรื่องบทบาททางเพศจะต้องสอน คือกฎเกณฑ์ทางสังคมในเรื่องเพศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งขอบเขตทางร่างกาย
ปัญหาหนึ่งที่มักปฏิบัติกันในบางครอบครัวที่มีการศึกษาก็คือการแก้ผ้าอาบน้ำร่วมกับลูก โดยอ้างว่าเป็นการสอนเพศศึกษาให้ลูก ซึ่งเป็นจุดอันตรายที่ใหญ่หลวงที่สุด เพราะจะทำให้เด็กไม่สามารถเข้าใจความเป็นส่วนตัวทางด้านร่างกายที่เหมาะสม และจะเป็นจุดอ่อนที่จะทำให้เด็กถูกล่วงเกินทางเพศได้ง่าย เพราะเมื่อไม่อาจกำหนดขอบเขตทางกายระหว่างตนเองกับผู้อื่นอย่างเหมาะสมก็หมายถึงว่าทุกคนสามารถเข้ามาถึงตัวเขาได้ สามารถเห็นหรือสัมผัสบริเวณที่ที่เป็นของส่วนตัวโดยไม่มีอะไรมาสกัดกั้น เขาจะไม่รู้ว่าร่างกายโดยเฉพาะบริเวณอวัยวะเพศไม่ควรจะเปิดเผยให้ผู้อื่นเข้ามาเกี่ยวข้องแตะต้องได้ตามใจชอบ
หากพ่อแม่ยังช่วยเหลือเด็กให้อาบน้ำอยู่ ต้องสอนให้เด็กดูแลตัวเอง ถ้าเป็นบริเวณพื้นที่ส่วนตัวต้องแนะนำวิธีทำความสะอาดให้ลูกกระทำด้วยตนเอง ในวัยอนุบาลต้องสอนให้เด็กเข้าใจว่าร่างกายบริเวณที่เป็นของส่วนตัวเป็นเรื่องสำคัญ บุคคลที่ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องจะมาสัมผัสไม่ได้
ปัญหาอีกเรื่องที่พบในเด็กวัยนี้คือเด็กอาจจะมีลักษณะของการทำอัตกาม (masturbation) ซึ่งเป็นการค้นพบด้วยตัวเองโดยบังเอิญ เพราะเด็กวัยนี้เป็นวัยที่อยากรู้อยากเห็น โดยเฉพาะกับร่างกายตัวเอง บางโอกาสที่เขานอนอยู่บางท่า มีการสัมผัสอวัยวะเพศ แล้วรู้สึกแปลกๆ แต่ไม่ใช่ความพอใจในเรื่องเพศโดยตรง เป็นระบบประสาทสำหรับรองรับการมีอารมณ์ทางเพศ หรือมีกิจกรรมทางเพศเมื่อฮอร์โมนเพศทำงาน
ฉะนั้นเด็กจะมีความรู้สึกคล้ายกับถูกกระตุ้นเร่งเร้าทางเพศ อาจมีความรู้สึกแปลกๆ หรือรู้สึกสนุกผ่อนคลาย มีความพอใจแล้วกระทำเป็นประจำ เช่น เด็กผู้หญิงบางคนนอนหนีบหมอนถูไปถูมา หรือเด็กอาจจะนอนแล้วกดอวัยวะเพศกับพื้นไปกระตุ้นบริเวณส่วนที่เป็นระบบประสาทสำหรับรองรับกิจกรรมทางเพศในอนาคตในเวลาที่มีฮอร์โมนเพศ
การที่เขาติดการนอนถูอวัยวะเพศกับพื้นหรือเอาขาหนีบหมอนไม่ใช่เรื่องผิดปกติทางเพศ เพียงแต่ว่าเขาไปพบประสบการณ์แปลกๆ ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ซึ่งแก้ไขได้โดยใช้วิธีเปลี่ยนความสนใจของเด็กให้เปลี่ยนท่านอน ไม่ใช่ตำหนิ ว่ากล่าวหรือลงโทษเด็ก เพราะเป็นการแก้ไขปัญหาที่ไม่ถูกต้องและอาจทำให้เด็กยังข้องใจ สงสัยมากขึ้นว่ามีอะไรไม่ดีตรงไหน อาจทำให้เด็กมองเรื่องเพศเป็นเรื่องเลวร้าย หรือมีภาพพจน์ในทางลบกับเรื่องเพศ หรือกับอวัยวะเพศ ซึ่งอาจมีผลทำให้เด็กมีปัญหาเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่
ด้านพ.ญ.พรรณพิมล หล่อตระกูล ผู้อำนวยการสถาบันราชานุกูล และกรรมการมูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก กล่าวว่า การสอนเรื่องเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยไม่ใช่การสอนแบบโดดๆ ควรมีมิติการเรียนรู้เรื่องเพศที่เชื่อมโยงเกี่ยวพันกัน ให้เด็กมีทัศนคติเรื่องเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยเมื่อถึงวัย สามารถปลูกฝังจากความเข้าใจเรื่องเพศของตน คุณค่าในตนเอง การสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนเพศเดียวกันและต่างเพศ รวมทั้งเพศสัมพันธ์ที่รับผิดชอบ หากการปลูกฝังทัศนคติเป็นไปอย่างเชื่อมโยงและต่อเนื่องเรื่องเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยจะเกิดขึ้น
ถ้าพ่อแม่ผู้ใหญ่เข้าใจว่าเรื่องทางเพศเป็นเรื่องที่ไม่น่าเข้าไปเกี่ยวข้องจะทำให้เด็กไม่มีโอกาสเรียนรู้เรื่องเพศ และไม่สามารถเข้าใจว่าสาเหตุของการมีอารมณ์เพศมาจากไหนอย่างไร การไม่มีความรู้ในเรื่องนี้อาจทำให้เด็กมีปัญหาในเรื่องเพศ และอาจจะเก็บกดทางเพศเมื่อไปอยู่ในสังคมที่บีบบังคับให้สำรวมตนในเรื่องเพศ
ที่มา นสพ.ข่าวสด
จากคุณ |
:
พ่อปุ๊ยกับปุณ
|
เขียนเมื่อ |
:
29 ก.ย. 54 17:26:48
|
|
|
|