Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
+++กว่าจะเป็นเดอะเมีย+++ ติดต่อทีมงาน

ย้อนอดีตกันสักนิด …อยากกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งค่ะ วันนี้ขอหน่อยเหอะนะ ขอพื้นที่ตั้งกระทู้รำลึกถึงอดีตสักครั้ง…


เรากับสามีเจอกันในผับค่ะ ตอนนั้นเราเรียนบรรณารักษ์ปี 1 ยังมีการเลือกคบเพื่อนไม่ชัดเจน เพื่อนกลุ่มแรกที่เรารู้จักกลุ่มนี้พากันเที่ยวได้ตลอด เราก็ติดไปด้วยเพราะไม่รู้จะไปไหน อยากมีเพื่อน เราเป็นเด็กต่างจังหวัดด้วย ยังไม่รู้จักอะไร เวลามีใครมาคุยดี มาเป็นเพื่อนกับเรา เราก็ดีหมดทุกคน ไปไหนก็ไปกันตลอดอ่ะ….หลังจากนั้นพอเราเริ่มรู้จักเพื่อนคนอื่นมากขึ้น  จึงรู้ว่า เราไม่ชอบเที่ยวเอาซะเลย จึงห่างเพื่อนกลุ่มนี้ไปโดยปริยาย….


วันแรกที่เราเที่ยวผับ เราไม่รู้หรอกนะว่าใครจะกินจะดื่ม จะเต้น จะอะไร เราไม่สนใจใครทั้งนั้น ตอนนั้นเราเหนื่อยอ่ะ เรียนเสร็จอยากจะนอนซะมากกว่า แต่ก็ไม่ปฏิเสธการไปเที่ยว ประมาณว่าไปก็ไปวะ แล้วก็ไปนอนหลับบนโซฟาในผับ เราไม่รู้หรอกนะว่ามีสายตาคู่หนึ่งจ้องมองเราอยู่ (สามีเราเอง เขาเล่าให้เราฟังเอง) สายตาคู่นั้นจ้องมองเราตลอด เขานึกในใจว่า -คนอาร๊ายย…เสียงเพลงก็ดังกึกก้อง ทำไมยังหลับลงได้ ถ้าไม่เมาจริงคงหลับไม่ได้ ยัยนี่ถ้าไม่บ๊อง ก็คงไม่ธรรมดาแน่


…แล้วผู้หญิงดีๆ ที่ไหนจะมาเที่ยวกลางคืนเนี่ย…นั่นเป็นความคิดของผู้ชายคนนั้น ที่เป็นสามีเราในตอนนี้….


ช่างไม่รู้อะไรเสียเลย …ใช่เราไม่รู้อะไรทั้งนั้น ….ไม่คิดว่าจะมีคนจ้องมองเราอยู่  ผู้คนมีตั้งเยอะตั้งแยะ แต่เราไม่สนใจใครเลยตอนนั้นอยากจะนอนอย่างเดียว หลังจากวันนั้น…เขาก็ไม่เจอเราอีก ….จะมีก็แต่เบอร์โทรที่ขอจากเพื่อนเรา แต่เขาก็ไม่เคยโทรมา….


เวลาผ่านไปเร็วเหมือนติดปีก….เราขึ้นปี2   เราดีใจที่ได้เข้ามาเรียนในมหาลัย  ไม่ต้องเรียนที่ศูนย์ย่อยเหมือนเช่นเคย…เข้าสู่ปีที่ 2 เราก็เริ่มรู้นิสัยใจคอว่า เพื่อนคนไหนควรคบแค่เพียงรู้จัก เพื่อนคนไหนควรคบเป็นเพื่อนสนิท เรามีเพื่อนที่สนิทสุดๆ อยู่ 3 คน ซึ่งในกลุ่มที่สนิทแต่ก็ไม่ถึงกับสนิทเท่า 3 คนนี้ เมื่อรวมกลุ่มกันจริงๆ จะมี 16 คน ซึ่งนับว่าเยอะมากรวมตัวกันทีก็เป็นเรื่องทุกครั้ง ต่างคนต่างก็แย่งกันพูด ในที่สุด ก็ไปไหนจริงๆ กับ 3 คนนี้เท่านั้นแหละ ไม่เรื่องมากดี….



….ชีวิตในมหาลัย ส่วนใหญ่เราจะอยู่ในห้องสมุด (สำนักวิทยบริการ) ซะมากกว่า ….user ที่เข้าใช้ห้องสมุดเป็นประจำ จะรู้จักเราดี มีทั้งนศ. ต่างคณะ ผู้ปกครองเด็กอนุบาลสาธิตในมหาลัย ผู้บริหารที่กำลังศึกษาต่อก็มี

…  แต่จะเยอะหน่อยก็ผู้บริหารที่เข้ามาศึกษาต่อภาคค่ำนี่แหละ ซึ่งเราก็อยู่จนต้องสมุดปิดทุกครั้งเลย….



การใช้ชีวิตที่อยู่ในห้องสมุด ตารางเวลาของเราก็ซ้ำๆ เดิมๆ จำเจทุกวัน แต่เราก็ไม่เคยรู้สึกเบื่อเลยนะ จนอยู่มาวันหนึ่ง เรามีเพื่อนต่างวัยด้วยล่ะ รุ่นราวคราวเดียวกับพ่อเราเลย (แก่กว่าด้วยซ้ำนะ) เขาจะเป็นฝ่ายเข้ามาถามว่าหนังสือชื่อนี้อยู่ตรงไหน? ก็คือให้ช่วยสืบค้นนั่นแหละ …ก็เริ่มจากคนแปลกหน้า เริ่มพูดคุย จนกระทั่งเป็นเพื่อนกัน ทำให้เรารู้สึกว่าเขาสร้างความอบอุ่นให้เราอย่างประหลาดใจ


แรกเริ่มที่เขาเข้ามาทักทาย เขาให้เราช่วยสืบค้นหนังสือให้  มีเป็นสิบรายการเลยนะ เรารู้สึกได้เลยว่า เขาจ้องมองเราตลอดเวลา แต่เราก็คิดว่าไม่แปลกที่เขาจะจ้องมองเรา อาจเพียงเพราะรู้สึกอัศจรรย์ใจ หรือทึ่งเล็กน้อย ที่เราหาหนังสือให้เขาเจอ เล่มแล้วเล่มเล่า ราวกับว่าเราเป็นเจ้าของห้องสมุด ซึ่งเป็นธรรมดาของคนที่เรียนบรรณารักษ์ หากไม่เช่นนั้น เขาก็คงชอบมองคนหน้าตาจืดๆ ผิวขาวซีดราวกับเต้าหู้ ยังดีที่มีปากสีชมพูระเรื่อตัดกับสีผิวบ้าง ซึ่งอาจจะดูแปลกดีสำหรับเขา  เราคิดเช่นนั้น….


ในโลกแห่งความเหงา อยู่กรุงเทพฯ มันเหงาจริงๆ ด้วยล่ะ คิดถึงบ้านด้วย เพื่อนก็มีเยอะนะ แต่เรากลับไม่รู้สึกใส่ใจอะไรนัก นอกจากการทำงานกลุ่ม เสร็จแล้วก็แยกย้ายกันกลับ หอใครหอมัน…ทุกคนก็มีหน้าที่ของตัวเอง บ้างก็ทำงานพิเศษ ส่งตัวเองเรียนก็มี แต่เขาคนนี้  อ่ะ เราขอเรียกเขาว่า คุณลุงสายชล (นามสมมติ) แล้วกันนะ คุณลุงสายชล จะโทรมาประจำเลย บอกเราว่าเป็นห่วงนะ อย่าลืมกินข้าวด้วยล่ะ ถึงหอพักยัง ฯลฯ ซึ่งเราเองก็รู้สึกดี เหมือนเขาเป็นพ่อคนหนึ่งเลย (พ่อเราเสียไปแล้วล่ะ)



ต่อมา….เรากับคุณลุงสายชลก็สนิทกันมากขึ้น ตอนนี้เริ่มไปไหนมาไหนด้วยกัน ส่วนใหญ่จะไปเป็นกลุ่มเพื่อน แกอาสาพาไป เราก็รู้สึกว่า ดีแฮะ มีคนพาไปด้วย เราก็ชอบใจอีก เพราะรถแกนั่งสบายกว่ารถแท็กซี่ตั้งหลายเท่า เคยอัดแท็กซี่กับเพื่อนหลายคนมันอึดอัดซะเหลือเกิน ซึ่งรถแกกว้างกว่า ยาวกว่าตั้งเยอะ จึงไม่รู้สึกว่าเบียดกับเพื่อนมากนัก แต่ความจริง ไม่ว่ารถเมล์ แท็กซี่ หรือจะมอเตอร์ไซค์ มันก็เดินทางถึงเหมือนกันแหละ เราไม่เรื่องมากหรอก แต่เมื่อแกมีน้ำใจ เราก็รู้สึกดี และทั้งหมดนี้แกก็อาสาพาไปเอง

…เพื่อนๆ มักบอกเราว่า ลุงแกดูแปลกๆ เหมือนชอบเราเลยอ่ะ เรากลับคิดว่า เพื่อนเราคิดมากไปเอง เป็นความคิดที่บ้าสิ้นดี เพราะเขามีลูกเมียแล้ว อาจจะรู้สึกเอ็นดูเหมือนลูกหลานก็ได้  เราคิดแบบนั้นนะ….



จนกระทั่งวันหนึ่ง เป็นวันหยุดซึ่งเราอยู่หอพักคนเดียวไม่มีรูมเมท ลุงสายชลโทรมาชวนเราออกไปดูหนัง แต่วันนั้นเราโคตรขี้เกียจเลย อยากจะนอนพักซะมากกว่า จึงบอกลุงไปว่า ขี้เกียจไป บอกตามตรงนั่นแหละ ลุงบอกว่าหลานสาวแกอยากดูแต่แกติดประชุม ให้มาดูเป็นเพื่อนหลานหน่อย เราก็ตกลงแบบไม่เต็มใจนัก  แล้วแกก็มารับหน้าปากซอยหอเรา

เราเห็นว่าไม่เห็นมีหลาน จึงถามแกว่าแล้วหลานล่ะ แกบอกเดี๋ยวกำลังจะไปรับ เราก็เชื่อก็ขึ้นรถไปกับแก ปรากฏว่าเดินทางไปสักระยะ แกก็ชวนคุย นู่น นี่นั่น แล้วถามเราว่า “อยากได้อะไร” เราก็แปลกใจจึงถามไปว่า “หมายความว่ายังไง” แกก็หัวเราหึๆ ในลำคอ แล้วตอบเราว่า “อะไรก็ได้ อยากได้อะไรขอให้บอก” เราไม่รู้จะบอกยังไง มันตอบไม่ถูกแฮะว่าอยากได้อะไร ก็เลยตอบไปว่า “ไม่อยากได้” ซื่อๆ สั้นๆ แค่นั้นแหละ

แกนิ่งไปพักแล้วก็ถามเราใหม่ว่า “ไม่อยากสบายเหรอ” เอ่อ…แบบว่าอึ้งอ่ะ เจอคำนี้เข้าไป เข้าใจความหมายเลย เป็นใครก็คงจะเดาได้นะ เรารู้สึกเหมือนถูกสบประมาทอย่างรุนแรงเลยอ่า ก็ไม่รู้จะทำยังไง

เพราะตอนนี้เราอยู่ในรถเขา ก็เลยตอบไปว่า “ขอคิดดูก่อนนะคะ แล้วจะให้คำตอบ” ในใจก็นึก ตายอ่าแหละ อายุลุงขนาดนี้แล้ว เลยวัยเจริญพันธ์มาตั้งนานนม นี่ก็เริ่มเข้าสู่วัยใกล้สูญพันธุ์ น่าจะสาบสูญไปแล้วซะด้วยซ้ำ ยังกล้ามาพูดแบบนี้กับเราอีกเหรอ เออ แปลกนะ ทำไมเขากล้าล่ะ? หรืออาจเป็นเพราะแกทำแบบนี้กับ นศ. หลายคนแล้วสำเร็จมาแล้ว เฮ้อ…แล้วถ้าเรายอม เราจะเป็นตุ๊กตายางตัวที่กี่ร้อยของแกก็ไม่รู้นะ คิดแล้วใจหาย…


(มีต่อค่ะ)

จากคุณ : สายลมที่คิดถึง
เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 54 02:53:43




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com