PANTIP.COM : N11420166 เมื่อลูกเป็นโรคอีดำอีแดง []

ความคิดเห็นที่ 10

เข้ามาเป็นกำลังใจให้นะคะ เวลาลูกไม่สบายคนเป็นแม่ใจแทบขาด ถ้าให้เจ็บป่วยแทนได้จะรีบทำเลย

ไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ค่ะ ก็เลยช่วย จขกท หาข้อมูลอีกแรง เราคิดว่าข้อมูลนี้ จขกท คงได้อ่านแล้ว แต่คิดว่าเป็นประโยชน์กับแม่ๆ ท่านอื่น เผื่อว่าจะได้ทราบอาการของโรคขั้นต้น

-------------------------------------------------------------
ไข้อีดำอีแดง รู้จักเพื่อป้องกันลูกรัก โดยเภสัชกร อุทัย สุขวิวัฒน์ศิริกุล

รูปประกอบ ผื่นแดง (erythema circumorol pallor) เป็นลักษณะเด่นของโรคนี้ มักขึ้นที่คอ หน้าอก และรักแร้ และกระจายไปตามลำตัวและแขนขา

โลกเราเล็กลงๆทุกวันและมีโรคภัยไข้เจ็บต่างๆอุบัติให้กังวลใจได้บ่อยๆ ครานี้เป็นการมาเยือนของไข้ดำแดง หรือไข้อีดำอีแดง หรือ scarlet fever ระบาดมาอย่างรวดเร็วทีเดียว เชื่อว่าเป็นเชื้อสายพันธ์ใหม่ คร่าชีวิตเด็กฮ่องกงไป 2 ราย และยังทำให้มีผู้ติดเชื้อกว่า 10ราย บ้านเขาบ้านเราก้ออยู่ใกล้กันแค่นี้เอง มารู้จักโรคนี้ เพื่อหาทางป้องกันไม่ให้ลูกน้อยหรือคนที่คุณรักปลอดภัยจากโรคนี้กันเหอะ

ไข้อีดำอีแดงมาจากไหน

โรคนี้มีมาตั้งนานแล้วครับ เป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดมีผื่นแดงขึ้นตามตัวร่วมกับทอนซิลอักเสบ พบได้บ่อยในเด็กอายุ 5-15 ปี ในอดีตพบโรคนี้น้อยลงๆ เนื่องจากมีการเฝ้าระวังและรักษาโรคนี้เป็นอย่างดี ทำให้เราสามารถตรวจพบผู้ป่วยได้เร็วและให้การรักษาได้ถูกต้องโดยได้รับยาปฏิชีวนะตั้งแต่ระยะแรกเริ่มอย่างรวดเร็วจึงค่อยๆหายไป ไม่ระบาดมากนัก

สาเหตุของโรคนี้เกิดจากการที่เราไปติดเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า บีตาฮีโมไลติกสเตรปค็อกคัสกลุ่มเอ (group A beta-hemolytic Streptococcus) สายพันธุ์ที่สร้างสารพิษ (erythrogenicexotoxin) ออกมาทำให้เกิดผื่นแดงตามผิวหนัง เชื้อมีอยู่ในน้ำลายและเสมหะของผู้ป่วยนั่นเอง หากน้องๆไปไอจามฮัดเช้ยใส่กัน ก้อทำให้ติดต่อได้ง่ายโดย เด็กๆ ไปหายใจสูดเอาฝอยละอองเสมหะที่ผู้ป่วยเริ่มต้นไอหรือจามรด หรือโดยการไปเล่นกัน เกิดการสัมผัสผู้ป่วย สิ่งของ หรือสิ่งแวดล้อมที่เปื้อนเชื้อ จากการตรวจสอบที่ฮ่องกงครั้งนี้ ในเบื้องต้นนักระบาดวิทยาพบว่าน่าจะเป็นเชื้อกลายพันธ์ของเชื้อ scarlet fever ที่เกิดจาก Streptococcus pyogenes ที่มีการดื้อยามากกว่าเชื้อปกติ

ที่ร้ายแรงกว่าเดิมทำให้เกิดการเสียชีวิตของเด็ก 7 ขวบ และ 15 ปี ในช่วง 3 อาทิตย์ที่ผ่านมา และยังเกิดการระบาดไปยังไม่หยุด โดยเชื่อกันว่า น่าจะมากกว่า 100 คนแล้ว

รูปประกอบ อาจพบลิ้นที่ฝ้าขาวปกคลุมและมีตุ่มแดงยื่นขึ้นเป็นตุ่มๆ สลับคล้ายผลสตรอเบอร์รี่ เรียกว่า ลิ้นสตรอเบอร์รี่ขาว (white strawverry tongue)

อาการของโรคนี้เป็นอย่างไร

หากลูกเราไปสัมผัสเชื้อนี้มา น้องน้อยจะมีระยะฟักตัว 2-7 วัน แรกเริ่มจะมีไข้สูง หนาวสั่น เจ็บคอมาก ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัว อาจมีอาการปวดท้องหรืออาเจียนร่วมด้วย 1-2 วันหลังมีไข้จะมีผื่นแดง (erythema circumorol pallor) ขึ้นที่คอ หน้าอก และรักแร้ และกระจายไปตามลำตัวและแขนขาภายใน 24 ชั่วโมง ผื่นมีลักษณะคล้ายกระดาษทราย อาจมีอาการคัน ต่อมาผื่นจะปรากฏเด่นชัดอย่างมากในบริเวณร่องหรือรอยพับของผิวหนัง (erythematous puntifrom eruption) แล้วต่อมาในบริเวณเหล่านี้จะปรากฏเป็นจุดเลือดออกใต้ผิวหนัง ซึ่งเรียงเป็นเส้น ที่เกิดจากการแตกของหลอดเลือดฝอย ภาษาแพทย์เรียกกันว่า เส้นพาสเตีย (Pastia’s lines)

หากน้องๆได้รับการรักษาทันทีและถูกต้อง อาการผื่นจะเริ่มจางหายหลังขึ้นได้ 3-4 วัน หลังจากผื่นจางได้ประมาณ 1 สัปดาห์จะมีอาการลอกของผิวหนัง (Desquamation )

ที่เด่นๆชัดๆ ก้อมักเกิดตรงที่บริเวณรักแร้ ขาหนีบ ปลายนิ้วมือนิ้วเท้า ซึ่งอาจเห็นลอกเป็นแผ่น ส่วนตามลำตัวมักลอกเป็นขุย อาการผิวหนังลอกเป็นลักษณะจำเพาะของโรคนี้ บางรายอาจลอกติดต่อกันนานถึง 6 สัปดาห์

แล้วจะรุ้ได้อย่างไรว่าเราไปติดโรคนี้เข้าให้แล้ว

หากลูกน้อยมีอาการเป็นดังนี้ ไข้สูงทันทีมากกว่า 38.3 องศาเซลเซียส ทอนซิลบวมแดง อาจพบลิ้นที่ฝ้าขาวปกคลุมและมีตุ่มแดงยื่นขึ้นเป็นตุ่มๆ สลับคล้ายผลสตรอเบอร์รี่ เรียกว่า ลิ้นสตรอเบอร์รี่ขาว (white strawverry tongue) หากคลำต่อมน้ำเหลืองที่ข้างคอด้านหน้าหรือใต้ขากรรไกรจะบวมโต ลูกน้อยมักจะแสดงอาการเจ็บคอ หรืออาจมีอาเจียน ในวันที่ 2 หลังไข้จะมีผื่นแดงเรื่อๆ ขึ้นที่หน้า ในวันต่อมาจะมีผื่นขึ้นตามตัวคล้ายเม็ดทราย มักเป็นบริเวณข้อพับ รักแร้ ขาหนีบ อย่าวางใจรีบไปพบแพทย์โดยด่วนครับ

แล้วมีวิธีการรักษาไหมนะ ?

หลังจากไปพบแพทย์และได้รับการวินิจฉัยดรคนี้แล้ว ผู้ป่วยควรได้รับการพักผ่อนให้เพียงพอ ให้ดื่มน้ำมาก ๆ และใช้ผ้าเช็ดตัวเวลาไข้สูง

ในกรณีที่มีอาการเจ็บคอ ให้กลั้วคอด้วยน้ำเกลือ ควรให้อาหารอ่อน และน้ำหวานบ่อย ๆ ให้ยาลดไข้ Paracetamol กรณีมีไข้ ทุก 4-6 ชั่วโมง

มักเลือกใช้ยาปฏิชีวนะควบคู่ไปร่วมกับให้การรักษาตามอาการอื่นๆ

จะป้องกันได้อย่างไรหล่ะ?

เมื่อมีเด็กป่วยเป็นโรคอีดำอีแดง ให้หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย อย่าใช้ของใช้ร่วมกัน หมั่นล้างมือให้สะอาดด้วย คนไข้ควรพักและไม่ควรไอหรือจามรดใส่ผู้อื่นครับ

แหล่งข้อมูล

•เภสัชกร อุทัย สุขวิวัฒน์ศิริกุล สงวนลิขสิทธิ์ 22 มิย. 2554

ห้ามนำบทความ รูปภาพและเนื้อหาอื่นๆ โดยผู้เขียนไปเผยแพร่เชิงพาณิชย์ ให้นำไปเผยแพร่เป็นวิทยาทานหรือเพื่อการศึกษาเท่านั้น ผู้ประกอบการเว็บไซต์ต้องยึดหลักความเคารพและคำนึงถึงลิขสิทธิ์ในการสร้างสรรค์งานเขียนและจริยธรรมทางธุรกิจ

การนำเอาบทความ รูปภาพและเนื้อหาอื่นๆ ซึ่งผลิตขึ้นโดยผู้เขียนไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตและผลิตซ้ำเพื่อเผยแพร่ กรุณาอ้างอิงแหล่งที่มาและ

Copy url address http://www.oknation.net/blog/DIVING

ไปด้วยเพื่อให้ผู้อ่านสามารถลิ้งค์กลับมาอ่านบทความจากเว็บไซต์ของผู้เขียนได้โดยตรง

บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อเป็นการส่งเสริมสุขภาพ ไม่แนะนำให้คุณนำไปใช่วินิจฉัยหรือรักษาโรคด้วยตนเอง ขอความกรุณารับคำปรึกษาได้โดยตรงจากบุคลากรสหวิชาชีพทางสาธารณสุข รวมทั้งเภสัชกรใจดีที่พร้อมดูแลสุขภาพพ่อแม่พี่น้องนะครับ
----------------------------------------------------------------
ลูกเราเคยเป็นโรคมือเท้าปาก ตอนแรกที่ได้ยินชื่อนี้ก็กังวลมาก โดยเฉพาะเวลาที่ฟังหมอบอกอาการที่อาจจะพบในผู้ป่วยบางราย (ฟังน่ากลัว)

แต่ความจริงคุณหมอแค่จะบอกว่า มีโอกาสที่จะเป็น (ไม่ได้หมายความว่าต้่องเป็น) ซึ่งจริงๆ ก็ดี เพราะจะทำให้เรารู้ว่าเราไม่ควรปล่อยปละละเลย หรือชะล่าใจ แต่ก็ไม่อยากให้เครียดเกินไปนะคะ

เรามีลูก 3 คน เราแยกของใช้ทุกอย่างของลูกคนที่เป็น แยกห้องนอน ดูแลอย่างใกล้ชิด ลูกเราเป็นอยู่ไม่นานก็หาย แต่ถ้าหมอไม่ได้พูดถึงความน่ากลัวของโรค เราอาจไม่ได้ระวังมาก ทำให้ติดลูกคนอื่นๆ ซึ่งเด็กแต่ละคนก็มีภูมิต้านทานไม่เหมือนกัน

อย่ากังวลจนเกินไป เป็นกำลังใจให้นะคะ^^

จากคุณ : สาวผมสั้น

เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 54 03:33:56