Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เลี้ยงลูกให้เป็นเด็กอารมณ์ดี มีความสุข ไม่ก้าวร้าว เริ่มได้ตั้งแต่ให้นม ติดต่อทีมงาน

เจนคิดว่าสิ่งหนึ่งที่คนเป็นแม่คาดหวังคืออยากให้ลูกเป็นเด็กน่ารัก อารมณ์ดี มีความสุข คงไม่มีแม่คนไหนอยากให้ลูกหน้าหงิก หน้างอ เจ้าอารมณ์ โกรธง่าย ก้าวร้าวรุนแรง หรือทำท่าทางราวกับว่าเป็นนางเอกมิวสิควีดีโอโลกทั้งใบแบกไว้คนเดียวเป็นแน่

จริงแล้วต้องบอกว่าสิ่งเหล่านี้นั้นไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ หรือเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ แต่แท้จริงแล้วนั้นเป็นสิ่งที่พ่อแม่หรือ
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเด็กมีส่วนสำคัญต่อเรื่องนี้เป็นอย่างมาก


เรามาเริ่มตั้งแต่ลูกเกิดกันเลยดีกว่า

== อย่าให้นมลูกขณะที่โกรธ โมโห หรืออารมณ์เสีย ==

เมื่อคนเราโกรธร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนที่เป็นพิษออกมา ทำให้มีพฤติกรรมก้าวร้าว อยากทำร้ายผู้อื่น รายงานบางฉบับยังบอกอีกด้วยว่าสารพิษนี้มีคุณสมบัติทำลายความต้านทานในเม็ดเลือดและเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดมะเร็ง การที่คุณให้นมลูกในเวลาที่โกรธก็เท่ากับการส่งสารพิษให้ลูกด้วย เจนเข้าใจดีว่าในคืนที่คุณพึ่งจะหลับแล้วอีกวันต้องตื่นไปทำงาน แต่ลูกร้องจะกินนมขึ้นมา มันน่าหงุดหงิดขนาดไหน ไม่ใช่เรื่องผิดที่คุณจะไม่พอใจ แต่อย่างน้อยการพยายามทำอารมณ์ให้สงบลงก่อนจะให้นมลูกน่าจะเป็นสิ่งที่พอเป็นไปได้จริงหรือเปล่า


== อย่าแหย่ให้ลูกโกรธหรือโมโห ==

จริงแล้วข้อนี้ในปัจจุบันไม่ค่อยได้พบแล้ว แต่ก็ต้องบอกว่ายังมี โดยส่วนใหญ่พี่เลี้ยง หรือ ผู้ใหญ่บางคนชอบที่จะแหย่ให้เด็กโกรธโมโหหรือร้องไห้ เช่น มาดึงตุ๊กตาสุดที่รักจากมือเด็กไป พอเด็กร้องก็ทำท่าจะคืนให้ แล้วก็ยกขึ้นสูงๆให้เด็กเอื้อมไม่ถึง จนเด็กร้องโวยวายจนพอใจแล้วถึงจะคืนให้ แล้วก็บอกกับคนอื่นว่า "แค่แหย่เล่น ไม่เป็นไรหรอก"

การกระทำเช่นนี้ไม่มีผลดีอะไรเลย และไม่ใช่การเล่นกับเด็กแต่เป็นการรังแกเด็ก ความรู้สึกของเด็กต่อเรื่องนี้คือการสูญเสียความมั่นคงทางจิตใจ เด็กจะรู้สึกว่าแม้แต่คนใกล้ตัวก็ไว้ใจไม่ได้ จิตใต้สำนึกจะสอนให้เด็กเป็นคนระแวงไม่ไว้ใจใครแม้แต่คนในครอบครัวตัวเองและเมื่อโตขึ้นสิ่งเหล่านี้จะทำให้เด็กเป็นคนขี้ระแวง ไว้ใจคนยาก และขาดความมั่นคงทางอารมณ์ซึ่งจะนำมาซึ่งปัญหาอีกสารพัด


== อย่าสอนลูกด้วยวิธีตาต่อต่า ฟันต่อฟัน ==

ลูกตีแม่ พี่ตีน้อง คุณเลยซัดกลับเข้าให้แล้วบอกลูกว่า "รู้แล้วยังว่าเวลาโดนตีมันเจ็บยังไง" ถามว่าเด็กเข้าใจที่คุณพูดไหม บอกเลยว่าเข้าใจ แต่เด็กจะไม่เข้าใจแค่นั้น เด็กจะเข้าใจอีกด้วยว่า "อย่าตีคนที่แข็งแรงกว่า เพราะไม่เช่นนั้นจะโดนตีกลับ"  แล้ว  เอ...งั้นถ้าฉันตีคนที่อ่อนแอกว่าก็ไม่เป็นไรสิ พวกนั้นสู้ฉันไม่ได้หรอก  เมื่อจิตใต้สำนึกถูกสอนให้คิดเช่นนั้น ผลคือเด็กก็จะยังคงรังแกคนอื่นต่อไปตราบใดที่เด็กยังคิดว่าฉันแข็งแรงกว่าหรือไม่มีคนจับได้  และถ้าครูอนุบาลมาฟ้องคุณว่า "น้องเกเรมากเลยคะคุณแม่ ตีเด็กคนอื่นประจำเลย" แล้วคุณก็ตอบกลับว่า "จริงเหรอคะคุณครู เดี๋ยวกลับไปแม่จะฟาดให้"  แล้วถ้าหลังจากนั้นลูกคุณก็มีพฤติกรรมแย่ลงๆไปเรื่อยๆแบบกู่ไม่กลับ ก็ไม่ต้องสงสัยจะถามว่าเป็นเพราะอะไรละ


== การทำโทษด้วยการตีทำให้เด็กก้าวร้าวจริงไหม ==

หนึ่งในหัวข้อถกเถียงอมตะที่เถียงกันจนหิมะตกที่เมืองไทยก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ และเมื่อพิจารณาจากที่ได้เคยศึกษามานั้นก็ต้องบอกว่าเปิดประเด็นเรื่องนี้ทีไรสุดท้ายก็กลายเป็นดราม่า เพราะกว่า  80% ของผู้ให้ความคิดเห็นใช้แต่ประสบการณ์ของตัวเองมาเป็นข้อพิสูจน์  

เรื่องนี้อยากให้แบ่งเป็นสองกรณี

กรณีแรกใช้กับเด็กที่อายุต่ำกว่าสี่ปี

เด็กวัยนี้โดยเฉพาะช่วงอายุ2-4ปีนั้นเป็นช่วงวัยที่สมองด้านเหตุและผลยังพัฒนาไม่เต็มที่(หาอ่านได้ในblog)เด็กวัยนี้ยังมีกระบวนการคิดภายในบางอย่างแบบสัตว์ป่า นั่นคือ ใครทำฉันเจ็บ ฉันไม่พอใจ แย่งอะไรของฉัน ฉันจะงับ จะกัด จะข่วน จะตี เพื่อปกป้องตัวฉันของฉัน   เด็กวัยนี้พูดตามตรงว่าตีไปก็เท่านั้นนอกจากระบายอารมณ์ของคุณเองแล้วก็ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร มีแต่จะเป็นการกระตุ้นสัญชาตญาณดิบภายในของเด็กให้แสดงออกมากยิ่งขึ้น ส่วนไม่ตีแล้วจะให้ทำยังไงแนะนำให้อ่านตามที่ให้ไว้ บางคนอาจจะบอกว่าก็เด็กวัยนี้เป็นวัยที่พูดไม่รู้เรื่องที่สุด ไม่ได้อะไรก็ลงไปดิ้นกับพื้น ใครจะทนไหว ก็ต้องบอกว่าเจนเข้าใจเพราะเจนเคยทำแบบสอบถาม ถามว่า "ฉันรู้ว่ามันผิด..................." แล้วให้เติมต่อท้าย มีหลายคนเติมมาว่า "แต่ฉันก็ยังทำ"

กรณีที่สองสำหรับเด็กอายุที่เกินสี่ปีหรือวัยที่พูดรู้เรื่องแล้ว

เมื่อเด็กโตพอที่สมองด้านเหตุและผลจะตามด้านที่ควบคุมอารมณ์ทันแล้วนั้น กระบวนการคิดของเด็กจะเปลี่ยนไป คนส่วนใหญ่จะคิดว่า ความเจ็บปวดนำมาซึ่งความก้าวร้าว แต่จริงแล้วไม่ใช่ เพราะถ้าความเจ็บปวดนำมาซึ่งความก้าวร้าวการที่โดนหมอฉีดยาก็ทำให้เด็กก้าวร้าวเหมือนกัน

สิ่งที่นำมาซึ่งความก้าวร้าวของมนุษย์รวมทั้งเด็กนั้นคือความรู้สึกไม่ได้รับความยุติธรรม รู้สึกว่าถูกกดขี่ ถูกเพิกเฉยไม่ได้รับการเหลียวแล หรือรู้สึกไม่มั่นคงปลอดภัย เด็กและแม้กระทั่งผู้ใหญ่ที่ผูกใจเจ็บจากการถูกลงโทษสาเหตุหลักที่สุดคือรู้สึกว่าได้รับโทษทัณฑ์จากอาชญากรรมที่เขาไม่ได้ก่อ  

การตีจะทำให้เด็กก้าวร้าวหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าเด็กรู้สึกยังไง ถ้าเด็กรู้สึกว่าเขาไม่ผิด รู้สึกว่าแม่ไม่เข้าใจ รู้สึกว่าเรื่องแค่นี้ทำไมต้องตีด้วย หรือรู้สึกว่าแม่ตีเพราะอารมณ์ ถ้าเป็นแบบนี้บอกเลยว่า การตีส่งผลให้เด็กก้าวร้าวอย่างแน่นอน แต่ถ้าเด็กรู้สึกว่าตัวเองผิด รู้สึกว่าฉันทำเรื่องเลวร้ายขนาดนี้ลงไปได้ยังไง  แล้วถูกทำโทษด้วยการตี กรณีนี้การตีจะไม่ส่งผลให้เด็กก้าวร้าว

ส่วนถ้าถามว่าควรทำโทษด้วยการตีหรือไม่ เจนไม่ได้ต่อต้านการตี (เฉพาะกรณีที่เด็กทำผิดร้ายแรงจริงๆ ตีแบบไม่รุนแรง แต่ประเภทลูกทำแก้วตกก็ตี หรือตีถึงขนาดเป็นรอยหรือเป็นแผลหรือถึงระดับที่เรียกว่า เฆี่ยน อย่างนั้นเจนเองก็ยอมรับไม่ได้)

ส่วนตัวก็เคยฟาดก้นเจ้าตัวแสบที่บ้านไปสามสี่ครั้งแต่ก็คิดว่าการปรับพฤติกรรมเด็กนั้นมีอีกมากมายหลายวิธี และคิดเสมอว่าความรักความห่วงใยไม่ควรแสดงออกด้วยการทำร้าย และถ้าจะเลือกใช้วิธีนี้ก็อยากให้แน่ใจว่าได้ลองสารพัดวิธีมาก่อนหน้านี้แล้ว แล้วก่อนจะตีลูกก็อยากให้ถามตัวเองว่า "เราไม่มีวิธีอื่นใดที่ดีกว่านี้แล้วจริงๆหรือ"


== บ่นซ้ำๆแบบเรื่องเก่าเล่าใหม่ ไม่ว่าใครก็ไม่ไหวทั้งนั้น ==

"ลูกดิฉันไม่รู้ทำไมเวลาอยู่ด้วยกันหน้าหงิกทั้งวัน แต่พอเวลาอยู่กับคนอื่นนะไม่เป็นเลย ดุหรือตีนี่ก็ไม่เคยเลยดิฉันละไม่เข้าใจ" คุณแม่ท่านนึงเคยพูดให้เจนฟัง

เมื่อถามเด็กว่าแม่พูดจริงไหม เด็กบอกว่า "จริงค่ะ แต่แม่ชอบบ่นแบบขุดเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ อย่างหนูลืมจ่ายค่าโทรศัพท์ให้แม่เลยโดนตัด แม่บ่นครั้งเดียวไม่ว่าเลยนะ แต่นี่อะไรนอนตื่นสาย เล่นเน็ตนาน ไม่ช่วยล้างจาน ก็ขุดเอาเรื่องค่าโทรศัพท์มาบ่นพร้อมๆไปอีก บางวันหนูนอนดูทีวีอยู่ดีๆแม่เข้ามาบ่นเรื่องทะเลาะกับลูกค้าไปๆมาๆก็วนกลับมาเรื่องค่าโทรศัพท์อีก หนูจะบ้าตาย"

พื้นฐานมนุษย์ทุกคนเกลียดสิ่งที่ควบคุม คาดเดาไม่ได้ เมื่อเด็กรู้สึกว่าเมื่อแม่เข้ามาแล้ว "ฉันจะโดนบ่นเรื่องอะไรอีกเนี่ย แต่ เอ วันนี้ฉันก็ทำตัวดีทั้งวันแล้วนะ  แต่ๆๆถึงงั้นก็เถอะเดี๋ยวแม่ก็ขุดเรื่องเก่าๆมาอีกจนได้" เมื่อเด็กรู้สึกแบบนี้ กลไกป้องกันตัวเองจะทำงานโดยอัตโนมัติ เด็กจะทำหน้ายักษ์หรือแสดงออกว่าหงุดหงิดเพื่อที่แม่หรือใครจะได้ไม่มาบ่นใส่ (เหมือนผู้ใหญ่เวลาที่งานยุ่งก็จะแสดงให้เพื่อนร่วมงานรู้ว่ายุ่งมาก เพื่อที่จะได้ไม่มีใครมาขอให้ช่วยทำอะไรแบบเดียวกันนั่นละ)

การบ่นแบบขุดเรื่องเก่ามาเล่าใหม่เป็นหนึ่งในวิธีทำลายความมั่นคงทางอารมณ์ของเด็กรวมทั้งผู้ใหญ่ที่ได้ผลเป็นอย่างดี ถ้าลูกทำผิดคุณจะดุ จะว่า จะทำโทษก็ขอให้จบแค่ตอนนั้น การบ่นซ้ำๆไม่สร้างประโยชน์อะไร และไม่สมควรมีมนุษย์คนไหนต้องรับโทษทัณฑ์มากกว่าหนึ่งครั้งจากอาชญากรรมที่เขาก่อ



บทความทั้งหมดเขียนขึ้นจากสิ่งที่ได้ศึกษา ประสบการณ์ หลายอย่างก็ยังไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มายืนยันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ บางอย่างก็เป็นประเด็นที่แม้กระทั่งผู้ที่ศึกษามาเฉพาะทางยังสรุปไปได้คนละทางและยังคงตั้งหน้าตั้งตาถกเถียงกันจนถึงทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นขอให้คุณพ่อคุณแม่ได้โปรดใช้วิจารณญานอย่างสูงในการตัดสินใจเรื่องทั้งหมดด้วยตัวเอง



เจน

ปล วันนี้น้องอิ๊กครบสิบสามขวบแล้ว เจนเขียนไว้ใน http://www.pantip.com/cafe/family/topic/N11450184/N11450184.html  เผื่อจะมีใครไป Happy Birthday ให้ลูกบ้าง

จากคุณ : JanE & IK
เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 54 18:03:30




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com