...สร้างระบบเนิร์สเซอรี่ เกี่ยวอะไรกับความไม่อบอุ่น และบ้านพักคนชรา...
จขกท.ตั้งคำถามได้ แต่ทำไมตีความไม่ได้ว่าสองอย่างนี้เกี่ยวข้องกันยังไง
ถ้าจะเอาทฤษฏีทางสังคม(ฝรั่ง)แบบที่จขกท.ยกมา ต้องยกมาทั้งระบบไม่ใช่แยกมาเฉพาะส่วนของสังคมวัยเด็ก
สังคมไทยเป็นสังคมที่ให้ความสำคัญกับครอบครัวมาแต่ไหนแต่ไร ทั้งที่เป็นสังคมเกษตรกรรม ไม่ใช่ยุคอุตสาหกรรมอย่างที่ จขกท.ว่า
ในครอบครัวเกษตรกรรมของไทยจะมีหลายรุ่นค่ะ และพ่อแม่ก็จะมีวัยเกษียณไม่ต่างจากสังคมปัจจุบันเพียงแต่ไม่ได้มีการกำหนดอายุเกษียณชัดเจนเท่านั้นเองแต่มักจะนับจากวัยที่ลูกมีครอบครัวกันหมดแล้วและมีการแบ่งทรัพย์สินที่พ่อแม่หามาให้ลูกแต่ละคน ส่วนใหญ่พ่อแม่จะตัดสินใจว่าเมื่อแก่แล้วจะอยู่กับลูกคนไหน(ซึ่งหลายๆ ครอบครัวมักจะเป็นลูกสาวคนเล็ก) เมื่อลูกถึงวัยที่จะต้องเป็นพ่อแม่ ก็จะต้องเลี้ยงลูกไปพร้อมๆ กับต้องเลี้ยงดูบุพการี กลางวันพ่อแม่ต้องไปทำไร่ไถนา ไม่มีใครกระเตงลูกไปตากแดดด้วยหรอกค่ะ จนกว่าเขาจะึถึงวัย ดังนั้นหลานจะได้รับการสั่งสอนและปลูกฝังเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกิริยามารยาท ความประพฤติ ค่านิยมรวมไปถึงเรื่องการปฏิบัติตัวทางศาสนา จากคนรุ่นปู่ย่าตายายซะเป็นส่วนใหญ่--นี่คือความผูกพันของคนในครอบครัวไทยที่หาไม่ได้จากเนอสเซอรี่--
แล้วมันเกี่ยวอะไรกับบ้านพักคนชรา?
หากจะมองว่าการให้ปู่ย่าตายายเลี้ยงหลานเป็นข้อแก้ตัวในการผลักภาระให้ผู้มีพระคุณ(ตามแบบฝรั่ง) ก็ไม่ต่างจากการมองว่าการที่คนแก่ต้องมาให้ลูกหลานเลี้ยงเพราะเป็นลูกหลาน เป็นข้อแก้ตัวของการสร้างภาระให้ลูกหลาน
ปู่ย่าตายาย ไม่ได้มีหน้าที่เลี้ยงหลาน พอๆ กับที่ลูกหลานไม่ได้มีหน้าที่เลี้ยงพ่อแม่ที่แก่แล้ว --> นี่คือแนวคิดตามแบบสังคมฝรั่งที่คุณนำมาใช้
ดังนั้น...เมื่อไรที่มีลูกปุ๊บ(ต้อง)ส่งเข้าเนิร์สเซอรี่ปั๊บ ตามแบบสังคมฝรั่ง
ลูกโตแล้วต้องออกจากบ้านปั๊บ ตามแบบสังคมฝรั่ง
พ่อแม่ แก่ชราแล้วก็ต้องเลี้ยงตัวเอง ตามแบบฝรั่ง
ถ้าพ่อแม่แก่แล้วไม่มีสมบัติพอที่จะเลี้ยงตัวเองได้ ก็ต้องเข้าระบบสวัสดิการสังคม ตามแบบฝรั่ง เช่นเดียวกัน
แบบนี้...ไม่มีใครเป็นภาระใคร (ตามแบบฝรั่ง) ค่ะ