Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ว่าด้วยเรื่องการเลี้ยงลูกของพ่อแม่สมัยนี้บ้างดีกว่า ติดต่อทีมงาน

"พ่อแม่สมัยนี้เลี้ยงลูกไม่เป็น เอาแต่คอยตามใจให้ท้ายลูก เลี้ยงจนเรียนจบแล้วยังเอาตัวไม่รอดยังต้องมาแบมือขอตังค์อีก"

เจนคิดว่าคงไม่มีใครไม่เคยได้ยินประโยคเหล่านี้ วันนี้เจนจะขอเขียนจากประสบการณ์ถึงเรื่องต่างๆเหล่านี้ เจนไม่ได้ต้องการบอกว่าผิดหรือถูก ดีหรือไม่ และไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อให้คุณทำตาม  เพียงแต่อยากให้เข้าใจว่าพ่อแม่สมัยนี้(บางกลุ่ม)มีทัศนคติในการเลี้ยงดูลูกแบบไหน เพื่อที่ว่าคุณจะได้ "เข้าใจ" พวกเขาหรือเผื่อสักวันถ้าเด็กกลุ่มนี้ก้าวเข้ามาในชีวิตคุณ อาจจะในฐานะลูกสะใภ้,ลูกน้อง,ลูกค้า หรือแม้กระทั่งก้าวกระโดดมาเป็นหัวหน้าของคุณจากการสืบทอดทางมรดก คุณจะได้   "เข้าใจ" และสามารถอยู่ร่วมกับพวกเขาอย่างไม่มีใครต้องเป็นทุกข์

เนื่องด้วยความไม่เข้าใจนั้นเป็นต้นเหตุแห่งความกลัว ความกลัวเป็นต้นเหตุของความเกลียด และสุดท้ายความเกลียดก็จะแสดงอานุภาพของมันโดยการทำลายล้างทุกสิ่งอย่างรวมทั้งเจ้าของความรู้สึกนั้นเองด้วย

อย่างไรก็ตามต้องบอกก่อนว่าสิ่งที่นำมาเขียนมาจากกลุ่มตัวอย่างของครอบครัวฐานะปานกลางค่อนสูงขึ้นไปในการเลี้ยงดูลูกสาว ซึ่งแน่นอนที่สุดว่าถ้าตัวแปรตัวใดตัวหนึ่งเปลี่ยนไปผลลัพธ์ย่อมมีแนวโน้มสูงที่จะเปลี่ยนตามด้วย


สิ่งที่เจนรู้สึกถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนของการเลี้ยงดูลูกสมัยนี้คือ


== เลี้ยง ดูแลและควบคุมตลอดชีวิต ==

ย่อหน้าแรกนั้นขอบอกก่อนว่าเจนพูดตามหลักวิชาการ ถ้าคุณอ่านแล้วรู้สึกไม่ดี เจนก็ขอโทษด้วยแล้วกัน

สังคมไทยสมัยก่อนเป็นสังคมเกษตรกรรม การมีลูกนั้นมาจากสาเหตุหลายอย่าง การต้องการแรงงานและการไม่มีความรู้เพียงพอในการคุมกำเนิดก็เป็นหนึ่งในสาเหตุนั้น  แต่สมัยนี้ไม่ใช่แล้ว พ่อแม่ส่วนใหญ่มีลูกเพราะตั้งใจมี มีลูกไม่มาก มักจะมีเมื่อพร้อม และมีตอนที่อายุมากกว่าคนสมัยก่อน เพราะฉะนั้นพวกเขามักจะมีศักยภาพที่จะให้สิ่งต่างๆกับลูกอย่างเต็มที่และเต็มไปด้วยความตั้งใจที่จะให้

พ่อแม่สมัยก่อนจะส่งเสียเลี้ยงดูลูกในช่วงที่ยังเป็นเด็กหรือศึกษาเล่าเรียน เมื่อลูกโตแล้วทำงานแล้วพวกเขาจะถือว่าลูกเป็นผู้ใหญ่ต้องดูแลบริหารจัดการชีวิตเอาเอง แต่สมัยนี้ไม่ใช่ เด็กหลายคนเรียนจบทำงานแล้วก็ยังขอเงินพ่อแม่อยู่ และต้องบอกว่าพ่อแม่หลายคนเต็มใจที่จะให้

เท่าที่รู้สึกเจนคิดว่าพ่อแม่สมัยนี้ไม่ได้คาดหวังว่าลูกทำงานแล้วต้องแบ่งเงินมาให้ แต่จะเปลี่ยนความคาดหวังเป็นให้คอยดูแลเสียมากกว่า เช่น พาพ่อแม่ไปธุระ ไปเที่ยว ไปกินข้าว คอยเฝ้าไข้  พวกเขาไม่แคร์ถ้าลูกจะทำงานแล้วเงินไม่พอใช้แล้วจะต้องมาขอ  พ่อแม่เหล่านี้ให้ลูกได้ทุกอย่าง มัธยมก็ไอโฟน เข้ามหาลัยก็ให้รถ แต่งงานก็ซื้อคอนโดให้ มองในมุมนึงก็ต้องบอกว่าเด็กเหล่านี้โชคดีมาก แต่ถ้ามองจากอีกมุมก็ต้องยอมรับว่าพ่อแม่กลุ่มนี้ควบคุมลูกในแทบทุกด้านและหลายต่อหลายครั้งหลายสิ่งอย่างที่บอกทำเพื่อลูกนั้นมักจะควบรวมการทำเพื่อที่ตัวเองจะสามารถนำสิ่งเหล่านั้นไปอวดในสังคมของพวกเขาด้วย  

เมื่อลูกยังเล็กก็ต้องเรียนพิเศษอันนั้น อันนี้ เข้ามหาวิทยาลัยเรียนคณะอะไรพ่อกับแม่ก็ช่วยกันเลือกไป เจนเคยถามเด็กหลายคนว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไรจบแล้วจะไปเรียนต่อที่ไหน บอกเลยว่าหลายคนตอบว่า ต้องถามที่บ้านดูก่อน  
แม้กระทั่งตอนทำงานก็ต้องบอกว่าพ่อแม่ก็ยังทำหน้าที่เดิมต่อไป จะเลือกบริษัทไหน ก็ต้องผ่านการอนุมัติ  เพื่อนเจนอยู่ฝ่ายบุคคลบอกว่าเวลารับเด็กจบใหม่เมื่อถามว่าถ้าจะให้ไปทำงานที่นั่นที่นี่เริ่มงานได้วันไหน หลายคนตอบว่า "ต้องถามที่บ้านก่อนคะ" นอกจากนั้นถ้าคุณเห็นสาเหตุในใบลาออกของเด็กคือ "คุณพ่อไม่อนุญาตให้กลับบ้านเกินสองทุ่ม" ก็ไม่ต้องแปลกใจอะไร

เจนไม่ค่อยแปลกใจเมื่อได้ยินปัญหาเรื่องลูกสะใภ้กับแม่สามี จริงๆต้องบอกว่าไม่ใช่ว่าจะมีแต่ปัญหานี้หรอก ลูกเขยกับพ่อตาแม่ยายก็ไม่น้อย เพียงแต่นิสัยผู้ชายจะไม่พูดเรื่องครอบครัวออกสื่อก็เลยดูเหมือนว่าไม่มี
ญาติเจนเป็นผู้ชายเคยมาบ่นว่าไม่สามาถเลี้ยงดูลูกตามแนวทางของตัวเองได้เลยเพราะพ่อตาแม่ยายเข้ามาจัดการตลอด

พ่อแม่กลุ่มนี้มักจะมองว่าลูกเป็นเด็กเป็นลูกเล็กๆของพวกเขาตลอดไป มือนึงของพวกเขาก็พร้อมจะให้ทุกอย่างที่ลูกต้องการแต่อีกมือก็จะเข้ามาจัดการทุกอย่างตามที่ตัวเองคิดว่าดีโดยไม่ค่อยสนใจว่าลูกโตเป็นผู้ใหญ่หรือมีครอบครัวเป็นของตัวเองแล้ว


== ให้อิสระเสมอต้นเสมอปลาย ==

ถ้าพูดถึงเรื่องให้อิสระกับลูกเท่าที่เจนรู้สึกถ้าเป็นสมัยก่อนเมื่อลูกยังเด็กพ่อแม่จะให้อิสระน้อยมาก  ถ้า 10 คือเข้มงวดสุดแล้ว 0 คืออยากทำอะไรก็เชิญ พ่อแม่อาจจะเริ่มที่ 9 หลังจากนั้นพอขึ้นมัธยมก็สัก 8 พอเข้ามหาลัยก็ 5 พอทำงานก็ 3 พอแต่งงานนี่ไม่ยุ่งอะไรแล้ว

แต่เดี๋ยวนี้พ่อแม่จะเริ่มที่ 7 ตั้งแต่ลูกยังเล็ก ซึ่งถ้าดูจากช่วงนี้ก็ต้องบอกว่าค่อนข้างให้อิสระกับลูกมากจนออกจะมากจนเกินไป แต่ไม่ว่าลูกจะโตขึ้นอายุเท่าไหร่พวกเขาก็จะให้อิสระเท่าเดิมหรืออย่างดีก็ลดมาแค่ 6

มองภายนอกอาจจะดูว่าเด็กไม่ค่อยถูกบังคับหรือเลี้ยงดูด้วยกฎเหล็กอะไร ซึ่งจากเท่าที่สัมผัสมาก็ต้องบอกเลยว่าถ้าดูผิวเผินก็ใช่ อย่างเรื่องทำโทษ พ่อแม่สมัยนี้แทบจะไม่ตีลูกแล้ว ถ้าตีก็แค่ตอนลูกยังเล็กมากๆและส่วนใหญ่ก็เพราะฟิวส์ขาดแบบหยิบไม้แขวนเสื้อมาฟาดสักทีสองที แต่ประเภทตั้งเป็นกฏว่ากลับบ้านสายโดนตีสามที หรือมีไม้เรียวประจำบ้าน บอกตามตรงว่าถ้าจะหาเด็กที่ถูกเลี้ยงดูแบบนี้คุณหาคนที่ไม่รู้จักร้าน 7-11 ยังจะง่ายเสียกว่า  

แต่ในขณะเดียวพวกเขาจะเปลี่ยนการบังคับหรืองลงโทษทางกาย มาเป็นกดดันในรูปของความคาดหวังและแสดงออกในรูปคำพูดแทน  แต่ลืมคำพูดประเภท "ถ้าแกไม่ทำตามที่ฉันบอก ก็อย่ามาเรียกฉันว่าพ่อ" หรือ "ฉันน่าจะเอาขี้เถ้ายัดปากแกตั้งแต่เด็ก" ไปได้เลย พ่อแม่สมัยนี้จิตวิทยาสูงขึ้น การบังคับจะออกมาในรูปแบบ "แค่นี้หนูทำเพื่อแม่ไม่ได้หรือลูก" ,"พ่อผิดหวังในการตัดสินใจของหนูมาก" ซึ่งผลลัพธ์ก็ออกมาในรูปแบบเดิมคือสุดท้ายเด็กก็ทำตามความฝันของพ่อกับแม่ต่อไป


== มีความสามารถพิเศษหลายอย่างแต่สัญชาตญาณในการเอาตัวรอดลดลง ==

สมัยนี้อย่าถามเด็กว่าเรียนพิเศษหรือเปล่าแต่ต้องถามใหม่ว่าเรียนอะไรบ้าง เด็กแทบทุกคนเรียนพิเศษและไม่ใช่แค่อย่างสองอย่าง บางคนเรียนห้าหกอย่าง เรียนทุกวันก็ยังมี เคยถามเด็กว่าหนูต้องเรียนวันไหนบ้าง เด็กตอบว่า "ทุกวันที่น้ำไม่ท่วมคะ หนูได้หยุดไม่ต้องเรียนอะไรเลยก็ตอนที่น้ำท่วมนี่ละ"

และเมื่อถามเด็กว่าที่เรียนนี่ความต้องการของใคร เด็กบอกว่า "ทั้งคู่" เจนเลยถามว่าหมายถึงแม่อยากให้เรียนแล้วหนูก็อยากด้วยใช่ไหม เด็กบอกว่าทั้งคู่นี่หมายถึงพ่อกับแม่ ไม่ใช่พ่อหรือแม่กับหนู แต่ก่อนเจนเชื่อมาตลอดว่าการเล่นและเรียนดนตรีเป็นการผ่อนคลาย แต่ทุกวันนี้บอกตามตรงเจนรู้สึกว่ามันเป็นงานหลักเป็นหน้าที่มากกว่างานอดิเรก

เจนเคยถามเด็กที่กำลังจะจบปริญญาหลายคนว่าจบแล้วอยากทำอะไร ไม่น้อยเลยตอบว่า "อยากพักไม่ต้องทำอะไรสักปี เพราะหนูเหนื่อยมามากแล้ว"

แต่ในขณะเดียวกันเด็กกลับมีความสามารถในการเอาตัวรอดต่ำลง พูดง่ายๆคือนอกจากเรียนหนังสือกับเล่นดนตรี เด็กทำงานบ้านหรืออะไรอย่างอื่นแทบไม่เป็นเลย ที่รู้สึกแบบนี้เพราะตอนพาเด็กไปเข้าค่าย เจนเห็นที่พักยังไม่ค่อยสะอาดเลยหาไม้กวาดมาให้แล้วบอกให้เด็กกวาด เด็กก็กวาดขึ้นลงแบบทาสี เห็นได้ชัดเลยว่ากวาดไม่เป็น เจนเลยทำให้ดูแล้วถามว่าหนูไม่เคยใช้หรือ เจ้าตัวแสบตัวที่หนึ่งรีบตอบทันที "สมัยนี้เขาใช้เครื่องดูดฝ่นกันหมดแล้วครู" แสบสองรีบเสริมให้ "หนูรู้จักแต่ใช้ไม่เป็นหรอก ที่รู้จักเพราะเคยเห็นในเรื่องแฮรี่ พอตเตอร์"

ที่เด็ดกว่านั้นคือมื้อนึงให้เด็กลองประกอบอาหารกินเอง เมนูก็ง่ายสุดแล้วคือไข่เจียวหมูสับ ก็แจกวัตถุดิบให้ ไข่ หมูสับ น้ำมันพืช น้ำปลา  สักพักเด็กวิ่งมาถามว่า ต้องใส่ไข่หรือน้ำมันก่อนหรือต้องใส่พร้อมกัน เจนก็บอกว่า "ใส่น้ำมันก่อนลูก รอให้น้ำมันเดือดแล้วค่อยใส่ไข่" ห้านาทีผ่านไปมองเห็นเจ้ากลุ่มที่มาถามควันขึ้นโขมง เจนเลยเดินไปดูก็เห็นหนูๆทั้งหลายนั่งกันเฉย พอถามว่าน้ำมันเดือดขนาดนี้แล้วทำไมไม่เอาไข่ใส่ พวกหนูๆก็บอก อ้าว เดือดแล้วเหรอหนูนึกว่ามันต้องเดือดปุดๆแบบน้ำเดือด พอบอกว่าเดือดแล้วเทไข่ใส่ได้แล้วก็เกี่ยงกันกลัวน้ำมันกระเด็น เจนเลยเทให้พอเสียงดังฉ่า หนูๆก็เอาแต่กรี๊ดแล้วกระโดดถอยหลังกันคนละก้าวสองก้าว สุดท้ายเจนก็ต้องทอดให้ พอเสร็จพวกเธอก็ขอบคุณกันใหญ่ เจนก็นึกในใจที่ทอดให้นี่ไม่ได้ห่วงแค่ว่าพวกเธอจะอดกินแต่ห่วงว่าถ้าปล่อยให้ทำเองคงได้ไฟไหม้ค่ายแน่ๆ

และนอกจากเรื่องในตำราเรียนและแอพพลิเคชั่นในมือถือแล้ว เด็กๆก็ไม่ค่อยรู้เรื่องราวอะไร ตอนไปเที่ยวเจนลองซื้อมะไฟมากินแล้วส่งให้หลานบอกให้ลอง หลานกินทั้งเปลือกเพราะไม่เคยรู้จักมะไฟ  พาลูกๆที่โรงเรียน ไปเข้าค่ายตอนเดินทางไกลก็แจกเข็มทิศกับแผนที่ให้ พวกเธอก็แย่งแผนที่กันแต่ไม่ใช่เพราะอยากดูเป็นแต่เป็นเพราะอยากได้ไปบังแดด เข็มทิศก็ไม่รู้จะใช้ยังไง(แต่สุดท้ายพวกหนูๆก็มาถึงจุดหมายได้ด้วย google map ในมือถือ )


จริงๆเรื่องพวกนี้ถ้าให้เขียนก็เขียนได้อีกเยอะ ทั้งเด็กกลุ่มนี้โตไปแล้วเป็นยังไง ประสบความสำเร็จในชีวิตแค่ไหน และเมื่อถึงเวลานั้นพ่อแม่รู้สึกอย่างไรกับผลลัพธ์ของการเลี้ยงดูลูกแบบนี้ หรือ ถ้าคุณเป็นนายจ้างแล้วเจอเด็กแบบนี้คุณควรจะทำเช่นไร

แต่เนื่องด้วยเจนไม่อยากให้บทความแต่ละอันยาวจนเกินไป แล้วที่สำคัญคือไม่แน่ใจว่าจะมีใครสนใจหรือเปล่า บทความนี้จึงจะขอหยุดไว้ ณ แค่นี้ก่อนดีกว่า  

(บทความนี้เขียนจากประสบการณ์และความรู้สึกส่วนตัว ไม่ใช่เอกสารทางวิชาการหรืองานวิจัย คุณพ่อคุณแม่จะคิดเห็นเช่นไรนั้นขอได้โปรดใช้วิจารณญาณตัดสินด้วยตัวเอง)


เจน

จากคุณ : JanE & IK
เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 55 00:09:24




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com