|
ดีแล้วหละครับ ที่รู้จักสอนให้ลูกชายทำความสะอาดของตัวเองให้ดี บ้านเราเรื่องสุขอนามัยเกี่ยวกับอวัยวะส่วนสำคัญไม่ค่อยได้พูดถึง ตอนนี้ผมมาทำงานแถวภาคอีสาน พบคนไข้เป็นมะเร็งที่จู๋เยอะมาก มีให้ตัดกันทุกวัน ซึ่งโรคนี้จริง ๆ เป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ถ้าเราดูแลสุขอนามัยให้ดี คนไข้ผมบางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องรูดหนังลงเวลาทำความสะอาด สุดท้ายป็นมะเร็งต้องมาตัดทิ้งทั้งอัน เสียดายแทนครับ
ดังนั้นถ้าไม่ได้ขลิบก็ต้องดูแลความสะอาดให้ดี สม่ำเสมออย่าละเลย อย่าถือว่าปล่อยไปตามธรรมชาติ พวกคิดอย่างนี้กุดมาเยอะครับ
หลายคนยังไม่ทราบด้วยซ้ำว่าขลิบแล้วเป็นยังไง ผมเลยรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ เอาไว้เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์ในการหาข้อมูลนะครับ คิดว่าน่าจะมีประโยชน์กับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่บ้างแหละ
ลองเข้าไปชมดูนะครับ ที่
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=thaicirc20&group=7
ส่วนใครมีข้อแนะนำไงก็ฝากไว้ได้นะครับ
ปล.ในเวบอาจจะมีภาพไม่เหมาะสมบ้าง แต่เจตนาเพื่อการศึกษานะครับ
เรื่องจำเป็นหรือไม่นี่อยู่ที่มุมมองของแต่ละคนครับ คนที่ไม่เคยมีปัญหา ก็จะมองว่าไม่จำเป็น หรือไม่สำคัญ ส่วนคนที่เคยประสบกับปัญหา หรือมีคนใกล้ตัวมีปัญหา ก็คิดว่าทำน่าจะดีกว่าครับ
การขลิบก็คือหัตถการการแพทย์อย่างนึง ซึ่งประโยชน์ของมัน ก็คือเพื่อการดูแลทำความสะอาดได้ง่ายขึ้น ทำให้ดูแลสุขอนามัยได้ดีขึ้น อย่างที่หลาย ๆ คนรู้กัน คือผู้ชายทุกคนจะมีหนังหุ้มบริเวณปลายของอวัยวะเพศ ซึ่งบางคนที่โชคดีหน่อย หนังไม่ยาวมาก ดังนั้นเวลาโตขึ้นหนังก็จะร่นไปด้านล่างได้ แต่ก็มีผู้ชายอีกจำนวนมากเช่นกัน ที่หนังหุ้มปลายยังยาวอยู่ ทำให้มันคลุมบริเวณหัวของตัวอวัยวะ ตรงนี้แหละครับที่ทำให้เกิดปัญหาได้ เพราะเวลาเราเข้าห้องน้ำแต่ละครั้ง หลังทำธุระเสร็จก็จะมีคราบหรือหยดของฉี่มาค้างไว้ และยิ่งประกอบกับเมืองไทยเป็นเมืองร้อน ทั้งเหงื่อ ทั้งขี้ไคลมาหมัก ๆ คลุกเคล้า ๆรวมกันจนเข้าที่ ตรงนี้แหละครับที่ทำให้เกิดคราบและกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ได้ครั บ ซึ่งคนที่ขลิบจะช่วยเรื่องนี้ได้เยอะครับ
เจ็บหรือไม่นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ครับ เด็กๆหลายคนก็แค่ฉีดยาชาก็ไหวครับ ไกลหัวใจ สังเกตุดูครับว่าบริเวณปลายอวัยวะเพศทำความสะอาดดี หรือไม่ เพราะตรงส่วนนี้ถ้าดูแลได้ไม่ดีก็จะเกิดการหมักหมมของเชื้อโรคต่าง ๆ ทั้งคราบฉี่ คราบเหงื่อครับ ทำให้เกิดการติดเชื้อย้อนขึ้นไปด้านบนได้ครับ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ที่ไม่ได้ให้ลูกขลิบจะเจอปัญหานี้ได้เยอะมาก ๆ ครับ และส่วนใหญ่ถ้าเป็นแล้วก็จะเป็นซ้ำได้บ่อย ๆ ครับ ไม่เหมือนในเด็กที่ขลิบแล้วจะดูแลสุขอนามัยได้ง่ายกว่าเยอะครับ
เมืองไทยเมืองร้อน ใส่เสื้อแขนยาวทำอะไรก็ลำบาก จะล้างมือ จะหยิบของก็ไม่สะดวก จะถกแขนเสื้อไปข้อศอก ซักพักแขนเสื้อก็ตกลงมาอีก และพอแขนเสื้อเปียกน้ำ มันก็ชื้น เหนอะหนะครับ ดังนั้นหาเสื้อแขนสั้นมาใส่ดีกว่า จะทำอะไรก็ง่ายขึ้นครับ
ปล.อาจมีภาพไม่เหมาะสมกับเยาวชนบ้าง แต่เจตนาเพื่อการศึกษานะครับ เรื่องเพศศึกษาหรือสุขอนามัยของอวัยวะส่วนสำคัญเมืองไทยเราไม่ค ่อยมีคนพูดหรือสอน ปล่อยให้ไปหาความรู้กันเองแบบผิด ๆ แอบถามกันแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ คนตอบก็ถูกบ้าง ผิดบ้าง ตอนสอนครูก็สอนไปอายไป พยายามข้าม ๆ ให้จบ ๆ ผมเลยอยากจะทำเวบเกี่ยวกับเรื่องการดูแลอวัยวะส่วนสำคัญของผู้ชายครับ ไปดูแล้วช่วยกันเผยแพร่หน่อยนะครับ เพราะทุกวันนี้ผมอยู่รพ. มีคนไข้มากมายที่มาปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในพันทิพเองก็มีคำถามแบบนี้มาทุกวัน ทั้งที่จริง ๆ เป็นเรื่องที่ควรจะมีการสอนและปลูกฝังให้กับเยาวชนของพวกเราครับ
ปล.2 หนังหุ้มปลายมันก็มีประโยชน์ครับ คือในระหว่างครรภ์มารดา อุณหภูมิในท้องแม่จะสูงมาก หนังหุ้มจึงเปรียบเสมือนเกราะป้องกันให้ส่วนหัวขององคชาติไม่โดนความร้อนมากครับ และเมื่อคลอดออกมาคนเมื่อหมื่นปีก่อนไม่ได้สวมเสื้อผ้า ดังนั้นหนังส่วนนี้จึงทำหน้าที่เหมือนห่อหุ้มบริเวณหัวไว้เหมือนกันน๊อคอะครับ
แต่ในปัจจุบันมนุษย์ก็มีวิทยาการต่าง ๆ มีการใส่เสื้อผ้า ใส่กางเกง ใส่กางเกงในอยู่แล้ว ดังนั้นประโยชน์เรื่องหนังกันน๊อคจึงค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย ๆ แถมคนเรายิ่งใส่เสื้อผ้าหลายชั้น ยิ่งทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น ทำให้เกิดเหงื่อไคลมากขึ้น ฉะนั้นการมีหนังหุ้มอีกเลยทำให้เกิดการหมักหมมได้ง่ายครับ ซึ่งตรงนี้แหละมนุษย์ก็เลยเริ่มมีการหาวิธีที่จะทำยังไงให้เกิดการระบายถ่ายเทความร้อนออกไป ทำยังไงให้ดูแลความสะอาดง่ายขึ้น จึงเกิดการขริบครับ
เอาง่าย ๆ คนสมัยก่อนไม่ใส่เสื้อผ้า มีหนังคลุม 1 ชั้น ลมโกรกไปมา ฉี่เสร็จวิ่งโต้ลมสามก้าวก็จบ
คนสมัยนี้ มีหนังหุ้ม มีกางเกงใน มีกางเกงนอก รวมสามชั้น เข้าห้องน้ำแล้วเก็บ ทำงานงกๆ คิดว่าการระบายถ่ายเท จะดีเหมือนโบราณไหมครับ
ปล.3 หลายงานวิจัยทางการแพทย์พบข้อดีและประโยชน์ของการขลิบมากมายในการป้องกันการเกิดโรคต่าง ๆ ในเด็ก และการขลิบในเด็กพบว่าสะดวกและง่ายในการดูแลแผลมากกว่าการมาทำในตอนโต เนื่องจากกิจกรรมต่าง ๆ ของเด็กเอง เด็กทารกอาจจะไม่สามารถที่จะเลือกว่าจะขลิบหรือไม่ แต่ก็เช่นเดียวกับการการสร้างภูมิคุ้มกันต่าง ๆ เช่นฉีดวัคซีน ,การเลือกนับถือศาสนา,การเลือกโรงเรียน ซึ่งสิ่งเหล่านี้จึงเป็นหน้าที่ของผู้ปกครองที่จะทำการตัดสินใจแทนลูก ๆ ของเรา โดยอยู่บนพื้นฐานที่ว่าเรากำลังเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูก โดยชั่งน้ำหนักทั้งข้อดีและข้อเสียมาประกอบกัน เพื่อที่ลูกของเราเมื่อเติบโตขึ้นมาจะได้รับในสิ่งที่ดีที่สุด
จากคุณ |
:
สาลิกาโบยบิน
|
เขียนเมื่อ |
:
20 ก.พ. 55 20:05:44
|
|
|
|
|