สังเกตุอาการออทิสติกในวัยทารก
|
|
สัปดาห์ที่แล้วตั้งแต่อ่านกระทู้เด็กออทิสติกไปเยอะแยะมากมาย เล่นเอาจิตตกนอนไม่หลับ เลยนั่งจ้องสังเกตุลูกชายวัย 4 เดือนครึ่ง ตลอดทั้งวัน มาหลายวันแล้ว และก็พยายามหาอาการที่จะพอสังเกตุได้ในวัยทารก
นี่ไปค้นเจอมาค่ะ เลยเอามาฝาก...
ออทิสติก ( Autistic Children )
คำจำกัดความ เด็กออทิสติก หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่องอย่างรุนแรงในการสื่อความหมายพฤติกรรม สังคม และการเรียน ความบกพร่องนี้มักเกิดขึ้นในวัยเด็ก เด็กเหล่านี้จะมีปัญหาในการใช้ความคิด สติปัญญา การรับรู้ ซึ่งเป็นผลให้เด็กไม่สามารถเรียนรู้ได้ดีขาดความเข้าใจในวิชาที่เรียน มีปัญหาในการสื่อสาร และการคบเพื่อน
1.ความหมาย ส่วนองค์การอนามัยโลก (WTO) เขียนไว้ว่า เป็นกลุ่มอาการที่มีความผิดปกติทางพฤติกรรมแบบจำเพาะ ซึ่งปรากฏ ให้เห็นได้ในระยะแรกของชีวิตก่อนอายุ 30 เดือน พฤติกรรมที่ผิดปกตินั้น เป็นความบกพร่องเกี่ยวกับการสร้างสัมพันธภาพทางสังคม ภาษาการสื่อความหมาย และการใช้จินตนาการในการเล่น
จากความหมายของ ออทิสติก ดังกล่าว สามารถสรุปได้ว่า ออทิสติก เป็นโรคที่ทำให้เด็กมีความผิดปกติทางพฤติกรรมแบบจำเพาะปรากฏก่อนอายุ 30 เดือน มีความผิดปกติเกี่ยวกับสังคม อารมณ์และการสื่อภาษา ส่งผลกระทบต่อการสื่อสาร ทั้งวาจาและท่าทาง รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ทางสังคม มีผลกระทบในทางลบต่อการศึกษาของเด็กพฤติกรรมอื่นที่ปรากฏมีการกระทำ หรือมีการเคลื่อนไหวซ้ำ ๆ ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม เช่น กิจวัตรประจำวันและตอบสนองที่ไม่ปกติต่อประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสต่าง ๆ
2.ลักษณะของเด็กออทิสติก 2.1 เด็กที่มีความผิดปกติทางด้านพัฒนาการเกี่ยวกับ สังคม อารมณ์ และการสื่อภาษาอย่างรุนแรง 2.2 อาจจะมีหรือไม่มีปัญญาอ่อนร่วมด้วยก็ได้ - จะสังเกตลักษณะเด็กได้ตั้งแต่เกิด คือ เด็กจะมีลักษณะเงียบเฉยจนดูเหมือนตุ๊กตาที่มีชีวิต แต่ไม่มีจิตใจและอารมณ์ - ไม่เรียกร้องอะไรทั้งสิ้น ไม่ว่าจะหิว หรือถ่ายอุจาระ ปัสสาวะออกมาเปียกและเลอะเทอะ ก็ไม่ร้อง - ดูเหมือนว่าเป็นเด็กเลี้ยงง่าย ให้ดูดก็ดูด ไม่ให้ดูดก็ไม่ร้องหิวเลย แต่อาจจะร้องดังเหมือนเจ็บปวดตกใจกลัว กรีดร้องเสียงดังอยู่ได้นานหลายชั่วโมง โดยไม่มีสาเหตุ - นอนหลับได้เพียงระยะสั้น ๆ หรืออดนอนได้ถึง 2-3 วัน โดยไม่มีลักษณะอ่อนเพลีย - จะแสดงอาการไม่พอใจ โกรธ โดยการกรีดร้องเสียงดัง ถ้าเด็กถูกอุ้ม ป้อนอาหาร อาบน้ำ เปลี่ยนผ้าอ้อม หรือแต่งตัวให้ - แต่เด็กเหล่านี้จะมีพัฒนาการทางด้านกล้ามเนื้อมัดใหญ่ได้ดี สามารถ นั่ง คลาน ยืน ได้ตามวัยเหมือนเด็กปกติ นอกจากรายการที่ตรวจพบว่ามีปัญญาอ่อนร่วมด้วยก็จะล่าช้าได้
- อายุ 2-3 เดือน จะเริ่มสังเกตได้ว่าเด็กจะขาดความสนใจบุคคล แม้ว่าจะมีคนมาพูดคุย หรือ เล่นด้วย เด็กก็จะเฉยเมย ไม่ยิ้ม ไม่ส่งเสียงโต้ตอบ แต่เด็กอาจจะทำเสียงขึ้นเองตามลำพัง และส่งเสียงอยู่คนเดียวได้นาน ๆ - เมื่ออยู่ในอายุ 1 ปีแรก อาการจะยิ่งชัดขึ้น เช่น เมื่ออุ้มเด็กนั่งตัก เด็กพวกนี้จะนั่งเฉย ๆ ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบใด ๆ ทั้งสิ้น แม้จะจี้เอวหรือแขน /ไม่หันตามเมื่อเรียกชื่อ/ พูดออกเสียงเป็นคำ ๆ ไม่ได้ แต่บางครั้งเด็กจะแสดงท่าทางรับรู้ต่อการเร้าประสาทรับความรู้สึกเช่น การเคาะพื้นเด็กชอบจ้องมองแสงสว่างจ้า เช่น มองพระอาทิตย์ได้นาน ๆ /แต่บางคนกลัวสิ่งที่ไม่น่ากลัว เช่น วิ่งไปนอกถนนเพื่อดูป้ายทะเบียนรถแล้วมาบันทึก เป็นต้น
อาการที่ปรากฏ 1. ขาดความสนใจบุคคลรอบข้าง 2. ใช้ภาษาและวิธีสื่อสารที่คนอื่นไม่เข้าใจ 3. จับมือผู้ใหญ่ทำแทนในสิ่งที่ต้องการ 4. พูดเรื่องเดียว ซ้ำ ๆ 5. พูดเลียนแบบเหมือนนกแก้วนกขุนทอง 6. หัวเราะโดยไม่มีสาเหตุหรือไม่สมเหตุผล 7. ไม่สบตาผู้อื่น 8. ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงในชีวิต 9. รวมกลุ่มเฉพาะเมื่อมีผู้กระตุ้นหรือช่วยเหลือ 10. ไม่เล่นกับเด็กคนอื่น ๆ 11. ขาดจินตนาการ 12. ทำท่าแปลก ๆ
เด็กจะมีความผิดปกติมาตั้งแต่เด็ก คือก่อนอายุ 3 ปี และความรุนแรงในเด็กแต่ละคนไม่เท่ากัน อาการ ดังกล่าวสรุปได้ว่าประกอบด้วย 1. ความบกพร่องด้านมนุษย์สัมพันธ์ ถือเป็นอาการสำคัญที่บกพร่องชัดเจนแตกต่างไปจากโรคอื่น ๆ เด็กไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์กับ คนใกล้ชิดแบบปกติ กล่าวคือ - วัยทารก จะไม่ชอบให้อุ้ม ไม่กอดตอบเวลาอุ้ม ไม่สบตา ไม่มองหน้า ไม่สนใจตามหา - วัยอนุบาล ไม่สนใจเล่นกับเพื่อน ไม่รับรู้อารมณ์คนอื่น ไม่สนใจใคร ไม่มองหน้า อาจเข้าหาคนบ้าง ก็เพื่อให้หยิบสิ่งของให้ ไม่สามารถสร้างความผูกพันได้ เมื่อกลัวหรือดีใจก็ไม่เข้าหา
2. ความบกพร่องทางการสื่อสาร ประมาณ 50 % ของเด็กออทิสติกมีปัญหาเรื่องการพูด
ความผิดปกติของการพูดของเด็กออทิสติก - ไม่เข้าใจภาษาพูด - ตอบสนองต่อเสียงแปลกไปจากเด็กทั่วไป ดูคล้ายเด็กหูหนวก แต่ถ้าเป็นเสียงที่ชอบจะตอบสนองได้ดีทุกครั้ง เช่น เสียงโฆษณาใน ที.วี. ที่ถูกใจหรือเสียงแกะกระดาษห่อลูกอม - ในเด็กเล็ก ๆ จะไม่ค่อยพบว่ามีการเลียนเสียงในคอหยอกล้อกับพ่อแม่ - ไม่มีการแสดงท่าทางเพื่อบอกอารมณ์ เช่น ประหลาดใจ ดีใจ สงสาร - เมื่อเริ่มพูดได้บ้าง ในเด็กปกติจะมีการสื่อสาร 2 ทาง คือ โต้ตอบกับผู้อื่นได้ ซึ่งไม่พบในเด็กออทิสติกที่มักจะพูดตามเรื่องที่เขาหมกมุ่นอยู่ จะไม่พูดคุยถึงคนอื่น แต่เด็กออทิสติกบางคนพูดมาก ซึ่งลักษณะการพูดมาก จะเป็นการพูดซ้ำ ๆ เรื่อย ๆ มากกว่าที่จะพูดโต้ตอบกัน เมื่อเริ่มพูดได้ เด็กออทิสติกก็มักพูดได้น้อยหรือชอบตอบคำถามเท่านั้น - วิธีการพูดมักสลับสรรพนาม ซึ่งคิดว่าเป็นเพราะเด็กใช้วิธีพูดโดยการเลียนแบบทั้งประโยค โดยไม่เข้าใจว่าต้องเปลี่ยนสรรพนามตามผู้พูด - สำเนียงในการพูดหรือร้องเพลงมักไม่มีเสียงสูง – ต่ำ - ชอบสร้างคำที่มีความหมายเฉพาะสำหรับตัวเอง ซึ่งคนอื่นไม่เข้าใจ - มักเลียนแบบพูดตาม ทั้งพูดตามทันทีที่คนอื่นพูดจบ หรือจำไปพูดโดยไม่สัมพันธ์กับเหตุการณ์ขณะนั้น 3. ความผิดปกติของการเล่นและจินตนาการ - สนใจสิ่งของซ้ำ ๆ และกระทำพฤติกรรมซ้ำซาก - เล่นโดยขาดจินตนาการ ไม่สามารถสมมุติ จะเห็นได้ชัดเจนในวัยอนุบาลเด็กจะสนใจเฉพาะบางชิ้นส่วนของของเล่น เช่น เล่นรถ จะหมุนดูเพียงล้อรถ หรือเล่นตุ๊กตา มักจะเพียงแต่เปิด – ปิดประตูซ้ำ ๆ - แต่เด็กออทิสติกบางรายที่มีสติปัญญาดี ก็สามารถเลียนแบบสมมุติได้ เช่น ป้อนข้าวตุ๊กตา ยกหูโทรศัพท์มาแนบหูฟัง - กลัวไม่มีเหตุผล เช่น กลัวเสียง กลัวรูปร่าง กลัวสี - บางคนมักดม ชิม สิ่งของที่ไม่น่าดม ชิม - จ้องมองสิ่งของต่าง ๆ ด้วยหางตา - สะบัดมือ เคลื่อนไหวซ้ำ ๆ - ทำร้ายตัวเอง กัดข้อมือ โขกหัว ตบตีตัวเอง พบได้ทั้งในออทิสติกทั่วไปออทิสติกที่มีปัญญาอ่อนร่วมด้วย - ติดของที่ไม่น่าสนใจ เช่น ฝาขวด ไม้กวาด เมื่อโตขึ้นบางคนจะหมกมุ่นกับเรื่องแผนที่ เบอร์โทรศัพท์ - มีกิจวัตรประจำวันแบบซ้ำ ๆ เช่น ข้าวไข่เจียวต้องอยู่ในถาดหลุม ขนมปังต้องหั่นขวาง น้ำต้องเทเพียงครึ่งแก้ว ตำแหน่งของเครื่องเรือนต้องอยู่ที่เดิม - เมื่อโตขึ้นก็ยังต้องการแบบแผนซ้ำ ๆ และถ้ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจะหงุดหงิด ทนไม่ได้ สาเหตุออทิสติก มีความพยายามศึกษาถึงสาเหตุออทิสติกแต่ปัจจุบันก็ยังไม่ทราบสาเหตุแน่นอน มีเพียงหลักฐานสนับสนุนว่า น่าจะเป็นสาเหตุของระบบประสาทในเด็กเอง สรุปสาเหตุที่เป็นไปได้ ดังนี้ 1.พันธุกรรม 2. ปัญหาที่เกิดระหว่างการตั้งครรภ์และการคลอด 3.ความผิดปกติของสมอง กล่าวคือ - รูปร่างภายนอกของเนื้อสมองปกติ แต่เซลล์สมองบางส่วนมีลักษณะผิดปกติ - 30 – 20% ของเด็กออทิสติก มีคลื่นสมองผิดปกติ - สารเคมีในสมองชื่อ ซีโรโทนิน มีระดับสูงขึ้น - โอกาสในการเกิดโรคในคนทั่วไป 4-5 คน/ 10,000 คน หรือบางรายงาน 10-20 คน/10,000 คน - พบว่าญาติที่ใกล้ชิดสายเลือดเดียวกัน มีโอกาสเกิดออทิสติกมากกว่าคนทั่วไป - พี่น้องคนต่อไปจากพ่อแม่คู่เดิม มีโอกาสเกิดโรคนี้มากกว่าคนปกติ 50 เท่า และมีความเสี่ยงต่อความผิดปกติอื่นได้อีก เช่น เรื่องบกพร่องทางภาษาหรือสังคม การบำบัดช่วยเหลือ ด้วยความเชื่อว่าพฤติกรรมเกิดมาจากการเรียนรู้ การสร้างพฤติกรรมที่ต้องการและลบพฤติกรรมปัญหา จึงสามารถทำได้โดยใช้พฤติกรรมบำบัดทั้งสิ้น เช่น o ลดพฤติกรรมปัญหา o เสริมสร้างทักษะช่วยตนเอง o การเรียนการสอนด้วยวิธีพิเศษ รูปแบบการรักษา เป็นการร่วมมือของวิชาชีพต่าง ๆ เช่น จิตแพทย์ พยาบาล จิตเวช นักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยา นักการศึกษาพิเศษ นักอาชีวบำบัด นักฝึกพูด ร่วมมือกันพัฒนาเด็กตามศักยภาพของเด็กเอง เป้าหมายของการรักษา 1. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมาะสม 2. เสริมสร้างทักษะใหม่ ๆ 3. การฝึกพูด 4. การศึกษาพิเศษตามความถนัดของเด็ก 5. ช่วยเหลือครอบครัวในการปรับตัวและวิธีดูแลจัดการเด็ก
เครดิต disabled-child-mhs.org/LD8.html
จากคุณ |
:
พิซซ่าหน้าบูด
|
เขียนเมื่อ |
:
21 ก.พ. 55 18:27:25
|
|
|
|