ดื้อ-ซน-ขี้แย-งอแง-เอาแต่ใจ-ไม่รู้จักโต ลองมองนิสัยของเด็กๆเหล่านี้ในแง่ดีกันบ้างไหม
|
|
ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่าถ้าลูกๆหรือเด็กๆในความดูแลของคุณพ่อคุณแม่ไม่ได้มีนิสัยหรือพฤติกรรมดังที่กล่าวมา (ดื้อ-ซน-ขี้แย-งอแง-เอาแต่ใจ-ไม่รู้จักโต)เจนก็ยินดีด้วยและต้องบอกว่าไม่มีความจำเป็นอันใดเลยที่จะต้องบ่มเพาะหรือปลูกฝังให้เด็กมีนิสัยหรือพฤติกรรมเหล่านี้
และถ้าหากเด็กมีนิสัยหรือพฤติกรรมเหล่านี้ สิ่งที่ผู้ปกครองควรทำคือหาทางปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเด็กให้อยู่ในระดับที่พอเหมาะพอควร
อย่างไรก็ตามการที่จะปรับเปลี่ยนนิสัยหรือพฤติกรรมไม่ว่าจะของเด็กหรือผู้ใหญ่นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายหรือจะเห็นผลได้ในพริบตา
วันนี้เจนเลยจะชวนคุณพ่อคุณแม่มามองๆลงไปแบบลึกๆมองจากอีกด้านที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยคุ้นเคย เพื่อที่จะได้เห็นว่านิสัยต่างๆเหล่านี้มัน "ไม่มีอะไรดีเลย" จริงๆหรือ
== เด็กดื้อ ==
เด็กดื้อนั้นถ้ามองจากอีกมุมก็ต้องบอกว่าสิ่งที่ผู้ใหญ่เรียกว่า "ดื้อ" นั้นอาจเป็นเพราะผู้ใหญ่เอาตัวเองเป็นที่ตั้งและปฏิเสธที่จะทำความเข้าใจกับเหตุผลของเด็ก เด็กกลุ่มนี้ถ้ามองให้ดีๆมักจะเป็นเด็กที่มีจุดยืน เชื่อมั่นในตัวเองสูง และยากที่สภาพแวดล้อมหรือสังคมจะเปลี่ยนเขาได้ เท่าที่สังเกตเด็กหลายคนที่ไม่ยอมทำตามที่ผู้ใหญ่ต้องการเพราะพวกเขาคิดว่าเหตุผลของผู้ใหญ่นั้นไม่ถูกหรือไม่ดีพอ ซึ่งก็มีทั้งที่ผู้ใหญ่ไม่ถูกจริงๆและไม่ถูกแค่ในความคิดของพวกเขา
อย่างไรก็ตามเด็กกลุ่มนี้ถ้าคุณให้เหตุผลและอธิบายจนพวกเขายอมรับ พวกเขากลับจะเป็นกลุ่มที่จะทำตามหลังจากนั้นได้อย่างมั่นคงและแน่วแน่ที่สุด และต่อให้สิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่ทำ หรือ ถูกบีบคั้นจากแรงกดดันทางสังคมมากเพียงใด เด็กกลุ่มนี้กลับเป็นกลุ่มสุดท้ายที่ยืนหยัดได้ ส่วนเด็กว่านอน สอนง่าย มักจะเปลี่ยนไปตามแรงกดดันทางสังคมง่ายกว่า พวกเขาเชื่อฟัง แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ค่อยกล้าปฏิเสธคน เด็กว่านอน สอนง่ายหลายคนโดดเรียนตามเพื่อนหรือให้เพื่อนลอกข้อสอบไม่ใช่เพราะพวกเขาอยากทำแบบนั้นแต่เป็นเพราะพวกเขา ไม่กล้าปฏิเสธ หรือ เกรงใจเพื่อนซึ่งสิ่งเหล่านี้น้อยครั้งที่จะเกิดกับเด็กดื้อเพราะพวกเขาไม่ค่อยลังเลที่จะพูดคำว่า ไม่
== เด็กซน ==
เด็กซนคือเด็กอยากรู้อยากเห็นกล้าคิดกล้าทำมีความคิดสร้างสรรค์ชอบเรียนรู้สิ่งแปลกใหม่ๆ เด็กซนเป็นเด็กที่มีโอกาสค้นพบสิ่งใหม่ๆมากกว่าเด็กกลุ่มอื่นเพราะเด็กซนมักจะกล้าลองกล้าทำในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่กล้า ทำให้เจอสิ่งใหม่ๆหรือวิธีการใหม่ๆมากกว่าเด็กทั่วไปดังที่ไอส์ไตน์กล่าวไว้ว่า คนโง่เท่านั้นที่คิดว่าจะได้ผลลัพธ์ใหม่ๆจากการกระทำแบบเดิมๆ หรืออย่างโทมัส เอดิสัน ผู้ซึ่งประดิษฐ์สิ่งต่างๆมากมายหลายอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อคนทั้งโลกนั้น ในวัยเด็กก็เป็นเด็กที่ซนมากๆจนคนทั้งหมู่บ้านระอา
ในอนาคตเด็กจะประสบความสำเร็จมากแค่ไหนไม่ได้ขึ้นอยู่กับความขยันอดทนเหมือนในสมัยก่อนอีกแล้วแต่ขึ้นอยู่กับ ความคิดสร้างสรรค์ ล่าสุดเจนอ่านในคอลัมน์เปิดฟ้าส่องโลกในไทยรัฐ ซึ่งได้เขียนไว้ว่า กรีซ ซึ่งเป็นชาติที่ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจหนักสุดในยุโรปนั้น มีอัตราการจดสิทธิบัติ (ซึ่งแสดงถึงความคิดสร้างสรรค์) ต่ำสุดด้วยเช่นกันคือ 8 ต่อประชากรหนึ่งล้าน ในขณะที่เยอรมันซึ่งแข็งแกร่งสุดก็มีอัตราสูงสุดด้วยเช่นกันคือ 335 และตัวเลขนี้มักผูกพันไปกับความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจอีกด้วย
อย่างไรก็ตามสำหรับเด็กกลุ่มนี้ผู้ปกครองควรดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันไม่ให้เด็กไปทำอันตรายให้กับคนรอบข้างรวมทั้งตัวเด็กเอง
== เด็กขี้แย ==
หนูน้อยเจ้าน้ำตา อะไรๆก็ร้องไห้ เซนซิทีฟ อ่อนไหวง่าย คือคำจำกัดความของเด็กกลุ่มนี้
ถ้าคุณมองลึกๆจะเห็นชัดว่าเด็กกลุ่มนี้จะเป็นคนที่แคร์ความรู้สึกคนอื่นมาก พร้อมที่จะเสียสละและมีจิตใจดี พวกเขามักเลือกที่จะเสียสละความสุขหรือปิดบังความรู้สึกที่แท้จริงของตนเองเพื่อให้คนรอบข้างมีความสุข เด็กกลุ่มนี้มักจะเป็นที่รักของคนรอบข้างและทำให้คนที่ใกล้ชิดมีความสุขด้วยเช่นกัน เนื่องด้วยพวกเขาจะระมัดระวังการกระทำหรือคำพูดในการทำให้คนอื่นไม่พอใจหรือไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
คุณพ่อท่านนึงเคยบ่นกับเจนว่า ลูกสาวเซนซิทีฟมากดุนิดเดียวก็ร้องไห้แล้ว แย่จัง เจนเลยบอกว่า ไม่เห็นจะแย่เลยคุณพ่อนั่นดีออก แปลว่าลูกแคร์คุณรักคุณมาก เพราะถ้าลูกเกลียดคุณไม่แคร์ความรู้สึกคุณ คุณด่ายังไงลูกก็ไม่ร้องไห้หรอกจริงไหม และถ้าคุณดุลูกในเรื่องที่คุณไม่อยากให้ลูกทำแล้วลูกร้องไห้คุณควรจะดีใจ เพราะแปลว่าคุณใช้มาตรการเพียงแค่นี้ก็เอาอยู่ หรือคุณอยากได้ประเภท เฆี่ยนก็แล้ว ขังไว้ในบ้านก็แล้ว ขู่จะส่งไปโรงเรียนประจำก็แล้ว ไม่ได้ผลเลย อย่างงั้นหรอกหรือ
== เด็กงอแง ==
เด็กกลุ่มนี้ดูเหมือนจะหาข้อดีได้ยากกว่าเด็กกลุ่มอื่น อย่างไรก็ตามถ้าคุณมองแบบเจาะลึกจะเห็นได้ว่า เด็กงอแงคือเด็กที่อารมณ์ไม่ค่อยคงที่ ซื่อสัตย์ต่อความต้องการตัวเองมากกว่าเด็กทั่วไป และความจริงข้อนึงที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะยอมรับคือสิ่งที่มีอิทธิพลต่อทัศนคติของคนเรามากที่สุดแท้จริงไม่ใช่การศึกษาแต่คือประสบการณ์ เพราะฉะนั้นข้อดีของเด็กกลุ่มนี้คือเมื่อโตขึ้นไปโอกาสที่เด็กจะเป็นพวกสุดโต่งมีน้อย และเด็กงอแงมักจะมีความยืดหยุ่น เข้าใจอารมณ์ และให้อภัยต่อความอารมณ์เสียของคนอื่นได้มากกว่า เพราะพวกเขาก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน
ยกตัวอย่างเด็กที่โมโหแล้วชอบวีนเพื่อน พออีกวันเพื่อนโมโหแล้ววีนใส่บ้าง พวกเขามักจะเข้าใจแล้วคบกันได้ เพราะเมื่อโดนวีนพวกเขาจะบอกตัวเองว่า ไม่เป็นไรหรอก เพื่อนคงอารมณ์เสียหรือช่วงวันนั้นของเดือนเพราะฉันก็เป็นบ่อย ในขณะที่เด็กที่มีเหตุมีผลสูง อารมณ์มั่นคงจะรับไม่ค่อยได้ถ้าถูกวีนเพราะพวกเขามักจะคิดว่า เธอจะอารมณ์ดีไม่ดียังไง เธอก็ไม่มีสิทธิมาลงกับคนอื่น เพราะฉันอารมณ์เสียแค่ไหนฉันก็ไม่เคยมาลงกับเธอเลย
== เด็กเอาแต่ใจ==
ข้อดีชัดๆ ของเด็กกลุ่มนี้คือพวกเขามีความมั่นคงและเชื่อใจในความรักของพ่อกับแม่สูง (เพราะคนเรามักเอาแต่ใจกับคนที่เรารักและรักเราเป็นหลักโดยเฉพาะเพศหญิง) เด็กกลุ่มนี้ตั้งแต่ทำงานมาเจอบ่อยมาก บางคนผู้ปกครองมาฝากบอกช่วยปรับพฤติกรรมลูกให้หน่อย แต่ทุกอย่างต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไข ไม่เจ็บตัวและไม่เจ็บใจ
วิธีที่เจนใช้หลักๆมีอยู่สองอย่าง หนึ่งคือสอนให้เด็กรู้จักความสุขของการเป็นผู้ให้ เพราะเด็กกลุ่มนี้มักจะเคยชินกับความสุขของการเป็นผู้รับจนลืมไปว่าความสุขนั้นสามารถได้มาจากการเป็นผู้ให้ด้วยเช่นกัน การพาเด็กไปดูคนที่ลำบากหรือด้อยโอกาสกว่าหรือแม้กระทั่งการเสียสละให้คนอื่นๆในครอบครัวเลือกร้านอาหารหรือห้างสรรพสินค้าที่ต้องการไปในวันหยุด สิ่งเหล่านี้สามารถนำมาแสดงให้เด็กเห็นว่าความสุขเพียงเล็กน้อยที่เขาสละนั้นสร้างความสุขให้กับคนอื่นๆได้มากแค่ไหนและสุดท้ายเขาก็จะได้รับความสุขนั้นกลับคืนไปด้วยเช่นกัน
วิธีการที่สองคือ จับเด็กกลุ่มนี้มารวมกันเพื่อให้เป็นกระจกส่องให้กันและกัน เริ่มจากการใช้ให้พวกเขาทำอะไรสักอย่างที่ต้องการความสามัคคี อย่างตอนที่ยังสอนอยู่เจนก็จับคุณหนูเอาแต่ใจทั้งหลายให้ไปทำงานกลุ่มๆเดียวกัน กำหนดหัวข้อกว้างๆแล้วให้ไปเลือกรายละเอียดเอาเอง เช่น ให้ทำเรื่องแผนส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดอะไรก็ได้
แน่นอนพวกเธอก็เลือกคนละจังหวัดไม่มีใครยอมใครสุดท้ายก็วิ่งมาให้เจนตัดสิน เจนเลยบอกว่าครูตัดสินให้ไมได้ และถ้าเธอตกลงกันไม่ได้ครูเสนอให้ทุกคนไปทำมาคนละจังหวัด แต่หนูก็ต้องยอมรับว่างานจะหนักเป็นสี่เท่าเพราะครูออกแบบรายงานนี้สำหรับคนสี่คนทำในหนึ่งอาทิตย์ไม่ใช่คนๆเดียว และถ้าพวกหนูเปลี่ยนใจจะรวมกันทำแบบกลุ่มอื่นๆทีหลังก็ได้ ส่วนเรื่องคะแนนจะใส่ชื่อมากี่คนก็ไม่มีผลอะไร
ตอนแรกทุกคนก็ไปทำแบบงานเดี่ยวแต่พอผ่านไปสักพักพวกเธอก็เริ่มรู้สึกว่ามันเยอะ มันมาก มันมาเบียดเบียนเวลาพักผ่อนของพวกเธอ หลังจากนั้นก็เริ่มมีการสะกิดอีกคนว่าเป็นไงบ้างจากหนึ่งก็มารวมเป็นสอง สองคนก็ช่วยกันทำไปสัก80% คนที่สามพอใกล้ส่งเริ่มรู้แล้วว่าไม่ไหวเลยยอมมาขออยู่กับสองคนแรกโดยรับปากจะทำส่วนที่เหลือ 20% ให้ ส่วนคนสุดท้ายมาร้องไห้ตอนเช้าที่ รร เพราะทำไม่เสร็จไม่มีงานส่ง เพื่อนสามคนสงสารเลยเติมชื่อให้ สุดท้ายก็ส่งมาเหมือนกลุ่มอื่นๆ
พองานต่อมาพวกเธอก็เริ่มทำงานเป็นกลุ่มได้เพราะคนแรกได้รับการยอมรับจากเพื่อนๆ คนที่สองก็เริ่มเรียนรู้ว่าทำคนเดียวต่อให้ไหวแต่เหนื่อยและหนักแน่ๆ คนที่สามรู้สึกว่าตัวเองเป็นหนี้บุญคุณเพื่อนสองคนแรกก็เริ่มจะหยืดยุ่นและรับฟังความคิดเห็นคนอื่น ส่วนคนที่สี่ไม่ต้องพูดจาก ถ้าไม่เอาแบบนี้ ฉันก็ไม่ทำ กลายเป็น เราอะไรก็ได้ พวกเธอเลือกตามสบายเลย และที่สำคัญหนูๆทั้งสี่ตัวก็ได้เรียนรู้ด้วยตัวเองว่า ความเอาแต่ใจนั้นไม่ใช่แค่ทำให้คนรอบข้างเดือดร้อน แต่ตัวเองก็เดือดร้อนด้วยเช่นเดียวกัน
== เด็กไม่รู้จักโต ==
จริงๆข้อนี้อาจไม่ค่อยเป็นปัญหาสักเท่าไหร่สำหรับพ่อแม่ในยุคปัจจุบัน เพราะพ่อแม่หลายคนอยากให้ลูกเป็นเด็กไปนานๆ กลัวลูกจะเป็นสาวก่อนวัยมากกว่าจะโตช้า สาเหตุนั้นเป็นเพราะเด็กเชื่อฟังมากกว่า ควบคุมง่ายกว่า ทำตามที่พ่อแม่ต้องการมากกว่า และทำให้พ่อแม่รู้สึกว่าตัวเองยังคงเป็นคนสำคัญเสมอ
เด็กที่เจนดูแลส่วนใหญ่มากจากครอบครัวที่พ่อแม่ดูแลอย่างใกล้ชิด ซึ่งลักษณะของเด็กกลุ่มนี้คือจะมีความเป็นเด็กสูงกว่าเด็กในช่วงวัยเดียวกัน อย่างเด็กช่วงชั้นต่ำๆ พักกลางวันพวกเธอก็ยังวิ่งเล่นที่ระเบียง ชอบกรี้ดๆกร้าดๆ เล่น ร้องเพลง อะไรไปเรื่อย จนบางทีเจนยังคิดในใจว่า รร เปิดแผนกอนุบาลตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่มีใครบอกฉันสักคน
ข้อดีที่เห็นชัดที่สุดของเด็กกลุ่มนี้คือพวกเขาจะมองโลกสดใส คิดบวก มองทุกอย่างในแง่ดี มีความสุขกับอะไรง่ายๆและมักจะทำให้คนรอบข้างมีความสุขด้วยเช่นกัน เช่น ถ้าคุณซื้อตุ๊กตาหมีให้พวกเขาตัวนึง พวกเขาอาจจะยิ้มกว้างๆกระโดดหอมแก้มคุณ ซึ่งถ้าคุณหวังจะได้รับการกระทำจากผู้ใหญ่แบบนั้น คุณอาจต้องแลกมาด้วยการซื้อกระเป๋าหรือของที่เธออยากได้ราคาหลายหมื่นหรือเป็นแสนเสียด้วยซ้ำ และต่อให้คุณดุพวกเขาหรือทำโทษพวกเขา พวกเขาจะไม่ค่อยโกรธหรือผูกใจเจ็บ(แต่ก็ไม่ค่อยเข็ดด้วยเช่นเดียวกัน) อีกอย่างคือพวกเขาไม่ค่อยจะเป็นพิษเป็นภัยกับใครและจะไม่เป็นคนที่ร้ายแบบลึกๆหรือร้ายกาจมาก และแม้ว่าพวกเขาจะโตช้าแต่เท่าที่สังเกตเด็กกลุ่มนี้มักจะโตมาอย่างมีคุณภาพ และคงรักษาจิตใจที่ดีงามไว้ได้แม้เวลาจะผ่านไปแม้ความโหดร้ายของโลกจะกัดกร่อนมากกว่าเด็กกลุ่มอื่นๆ
และสุดท้ายเจนต้องขอย้ำอีกครั้งว่าบทความนี้เขียนขึ้นเพื่อให้ เข้าใจ ไม่ใช่ให้ไปปลูกฝังให้เด็กมีพฤติกรรมหรือนิสัยเหล่านี้
(บทความนี้เขียนขึ้นจากประสบการณ์และการศึกษาเฉพาะทาง ไม่ใช่งานวิจัยหรือเอกสารทางวิชาการและคำอธิบายหลายอย่างนั้นยังไม่ได้รับการยอมรับทางวิทยาศาสตร์ เพราะฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่จะคิดเห็นเช่นไรนั้น ขอได้โปรดใช้วิจารณญาณตัดสินด้วยตัวเอง)
เจน
จากคุณ |
:
JanE & IK
|
เขียนเมื่อ |
:
27 ก.พ. 55 00:03:12
|
|
|
|