อ่านแล้วโกรธตัวเองจังเลยค่ะ ที่มีอิสระในการเลือกแต่ดันไม่เลือกเพราะครั้งนึงเคยชอบวาดภาพ เป็นคนชอบงานศิลปะ พ่อแม่ก็ให้อิสระในการตัดสินใจเต็มที่ด้วย ไม่เคยบังคับ(แต่ก็ไม่เคยได้แนะนำอะไร)
ด้วยความที่เป็นลูกพ่อค้าแม่ค้า พ่อแม่จบแค่ป.๔ค่ะ ไม่ได้มีความรู้ที่จะสนับสนุนหรือชี้แนะอะไรลูกได้แบบพ่อแม่คนอื่นเค้า แต่ไม่โกรธแกนะคะ
พ่อกะแม่แกก็รักในแบบของแกค่ะ ยอมเหนื่อยหาเงินส่งเสียลูก ด้วยความที่ไม่อยากให้ลูกลำบาก
มันจึงเหมือนเป็นโอกาสให้เราตัดสินใจทุกอย่างด้วยตัวเองทุกๆเรื่อง
แต่เด็กย่อมมีความคิดแคบๆแบบเด็ก รู้เฉพาะสิ่งที่ตัวเองมองเห็นและรับรู้ ไม่ได้มองทุกมุม คิดวิเคราะห์ก็ไม่เป็น
การตัดสินใจครั้งแรก เกิดตอนจบ ป.๖ ค่ะ ตอนนั้นต้องไปสอบเข้าม.๑
ตอนแรกจับฉลากได้โรงเรียนนึง ซึ่งเป็นโรงเรียนในเขตพื้นที่แถวบ้าน
กับอีกโรงเรียนไปสอบเข้าไว้ แล้วบังเอิญสอบติดค่ะ ซึ่งต้องเลือกว่าจะเรียนที่ไหน
โดยพ่อแม่ ก็ให้ตัดสินใจเลือกเอง เราเลือกโรงเรียนที่สองค่ะ เหตุผลเพราะโรงเรียนในพื้นที่ประวัติไม่ค่อยดีนัก เพราะนักเรียนหญิงโรงเรียนนั้นส่วนใหญ่ใส่กระโปรงสั้นน่าเกลียดมาก เราไม่อยากให้คนอื่นมองเราเป็นพวกเดียวกับเด็กแบบนั้น (นั่นเป็นอคติตามประสาเด็กน่ะค่ะ)
การตัดสินใจครั้งที่สอง เกิดขึ้นตอนจบ ม.๓
ตอนนั้นเราเข้าชมรมวาดภาพค่ะ ทั้งภาพเหมือน ภาพล้อเลียน วาดการ์ตูน เราเข้าหมด ซึ่งอาจารย์ก็ชมว่าฝีมือดี น่าสนับสนุน
พอเราใกล้จะจบ ม.๓ อาจารย์ท่านก็มาถามว่า..จะเข้าช่างศิลป์มั้ย? อาจารย์จะให้โควต้าจะฝากเข้าให้เลย
ซึ่งตอนนั้น เราไม่สนใจเลย เพราะบ้านเราไม่ได้รวยค่ะ และเราก็คิดว่างานศิลปะพวกนี้ มันทำให้ครอบครัวเราอิ่มไม่ได้
มุมมองของเด็กในตอนนั้นนะคะ มันมองแค่ว่า เรียนช่างศิลป์แล้วเป็นศิลปินไส้แห้ง จะไปทำอะไรกิน
เราเป็นลูกคนโตเราต้องรับผิดชอบครอบครัว จะให้พ่อแม่ลำบากตลอดชีวิตไม่ได้หรอก เพราะเราเห็นท่านเหนื่อยมาเยอะแล้ว
(ไม่เคยคิดเลยค่ะว่ามันสามารถไปเรียนออกแบบ ไปเป็นสถาปัตย์และอื่นๆ ได้อีกเยอะ มานึกแล้วก็เสียดายจริงๆ)
และตอนนั้น แม่ก็มาแอบถามๆเราเหมือนกันว่า ไม่สนใจเรียนสายอาชีพ เรียนพานิชย์บ้างหรอ? เราปฏิเสธแม่ไปเลยค่ะว่าไม่อยากเรียน เหตุผลเดิมเลยค่ะ แถวๆบ้านเรา คนที่เรียนพวกนี้มักใส่กระโปรงสั้น วันๆเอาแต่แต่งหน้าทาปากแดง เราไม่ชอบแต่งตัว เราเลยไม่อยากไปอยู่ในสังคมแบบนั้น (เราไม่อยากแรดไปกว่าเดิมอ่ะ เพราะตอนนั้นเราคิดว่าเราแร๊ดแรด อย่าแรดไปกว่านี้เลย555+)
และที่สำคัญ ถ้าเรียนสายอาชีพ ก็แปลว่าเรารู้แล้วใช่มั้ยคะ ว่าเราจะไปทางสายอาชีพไหน ณ ตอนนั้นนะคะ เราบอกเลยว่า..เราไม่รู้..ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน..
และ "คุณครูข้าวต้มมัดในตำนาน" ก็เป็นผู้ชี้ทางสว่าง(ผิดๆ)ให้ค่ะ
ครูข้าวต้มมัดแกเป็นครูแนะแนว แต่หลังจากที่เราเรียนจบมา เราอยากแนะให้แกไปสอนอย่างอื่นที่ไม่ใช่แนะแนวมากๆ เพราะแกทำเด็กก้าวพลาดมาเยอะจริงๆ
แกปลูกฝังจิตสำนึกที่ไม่ดีให้แก่เด็กค่ะ เด็กคือผ้าขาวนะคะ แต่แกแนะแต่สิ่งที่เป็นความคิดด้านลบของแกเองให้แก่เด็ก ไม่เคยชี้ทางให้เด็กเลย ชี้ไปแต่ทางที่ผิดตลอด ในหลายๆเรื่องค่ะ
ยกตัวอย่าง เช่น
นักเรียนรู้มั้ยอาชีพที่ไม่น่าทำที่สุดคืออาชีพอะไร?
คำตอบคือ..อาชีพครูค่ะ มันเป็นอาชีพที่เหนื่อยและหนัก เงินเดือนก็น้อย ทุกวันนี้พวกเป็นครูเป็นหนี้แทบทุกคน แถมวันๆเจอแต่เด็กแย่ๆ ถ้าพวกเธอเลือกได้ อย่าเป็นครูเลยดีกว่า
นักเรียนที่ผลการเรียนดี แกแนะให้ไปเรียนสายวิทย์หมดค่ะ แกบอกว่า..เธอเก่ง..แล้วไม่เรียนสายวิทย์ เธอจะให้พวกโง่ๆห้องบ๊วยมาเรียนแทนหรอ? ต่อไปพวกหมอก็มีแต่คนโง่ๆเป็นกันพอดีสิ
แล้วการเรียนสายวิทย์มันเลือกเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยได้ทุกคณะนะ แกว่าอย่างงี้ โดยแกไม่สนเลยว่าเด็กที่ว่าเก่งเนี่ย มันสนใจเรียนทางด้านไหนกันแน่
เก่งของแก คือเกรดเฉลี่ยรวมมากกว่า 3 ค่ะ แกให้เรียนสายวิทย์หมด โดยไม่เคยมาดูเลยว่า เกรด 3 กว่าก็จริง แต่เกรดคณิตกะวิทย์ของเด็กบางคนไม่เคยได้เกินเกรด 2 เลยสักครั้ง
ผลสรุป คือ เด็กหลายคนต้องจำใจทนเรียน 3 ปีในสิ่งที่ไม่ชอบ!
แถมพอเวลาเอ็นจริงๆ มันไม่ได้เลือกได้ทุกคณะอย่างที่แกว่าแล้วสิ เพราะคณะที่อยากเข้า มันก็เข้าไม่ได้ เพราะเกรดไม่ถึง! เกรดฟิสิกส์ เคมี ชีวะ มันฉุดเกรดลงไปหมด สู้เกรดพวกเรียนสายศิลป์ไม่ได้เลย
เราเป็นหนึ่งคนที่เลือกเรียนต่อ ม.ปลายพลาดค่ะ
มันเป็นเพราะการตัดสินใจของเราเองด้วย ทัศนคติที่ครูแนะแนวคนนั้นปลูกฝังไว้ก็ด้วย
ตอนนั้นเราเลือกสายวิทย์ไว้อันดับสองค่ะ อันดับ1คือศิลป์คำนวณ อันดับ3ศิลป์ภาษาจีน แต่สุดท้ายติดวิทย์คณิตซะงั้น
เราก็จำใจเรียนจนจบค่ะ แบบเกรดกระท่อนกระแท่น จบมาที่ 2.83 มั้ง
ตอนนั้นเสียใจที่เลือกผิดสายก็จริง แต่เราพยายามมองแต่ข้อดีของมันค่ะ คืออย่างน้อยเราก็ได้รู้ตัวเองว่า เราเกลียดฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ที่สุด ขอหยุดไว้แค่นี้ อย่าได้เจอกันอีกเลย! 3 ปีที่เรียนมันก็มากเกินพอ ขอลา.. 555+
การตัดสินใจครั้งที่ 3 คือการเลือกเรียนต่อมหาวิทยาลัยค่ะ
เราตัดสินใจเลือกเรียนด้านบริหาร ที่เลือกไว้ก็มีการจัดการบ้าง การตลาดบ้าง สุดท้ายก็ติดบริหารธุรกิจระหว่างประเทศค่ะ (อันนี้ไปดูดวงมาด้วย หมอดูบอกว่าจะได้อะไรที่เกี่ยวกะต่างชาติ)
ตอนนี้ก็เรียนใกล้จะจบแล้ว ที่ผ่านมาก็รู้สึกว่าได้เรียนในสิ่งที่ชอบนะคะ แม้ว่าจะมีบางวิชาที่เกลียดมาก ไม่ชอบเลยก็ตาม แต่วิชาที่ชอบเรียนก็มีเยอะกว่า และที่ชอบยิ่งกว่าคือมุมมอง ความคิด และทัศนคติที่ได้ในการเรียนสายนี้ค่ะ
ส่วนเรื่องวาดรูป และทำงานศิลปะในสิ่งที่เราชอบนั้น เราจะตั้งใจทำมันอีกครั้งค่ะ
ทำเป็นงานอดิเรกแทนก็ได้
บางที่มันคงดีแล้ว ที่เราไม่ได้เรียนต่อในด้านวาดภาพ เพราะเราจะได้ไม่ต้องเกลียดในสิ่งที่เรารัก
เพราะโดยนิสัยเป็นคนที่จะทำ ในสิ่งที่อยากทำ และสิ่งไหนไม่อยากทำก็จะไม่สนใจมันเลย (เหมือนฟิสิกส์ที่เรียนแค่ผ่านหูไม่เคยจำ ไม่เคยทำได้)
ดังนั้น ถ้าเกิดไปเรียนต่อเฉพาะทางด้านการวาดภาพจริงๆ แล้วโดนบังคับให้วาดรูปในสิ่งที่ไม่อยากวาด ให้ทำงานส่งในสิ่งที่ไม่อยากทำ เราคงไม่มีความสุขแน่ๆ
คนบางคนอาจมีอิสระในการเลือก แต่ไม่ได้แปลว่าเค้าจะต้องเลือกเพื่อตัวเองเสมอไป
บางครั้งสภาพแวดล้อม ภาระ หน้าที่ และหลายๆอย่างก็อาจทำให้ต้องเลือกในสิ่งที่ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองชอบที่สุดก็ได้
ไม่มีใครไม่เคยก้าวพลาดหรอก แต่มันสำคัญหลังจากพลาดแล้วต่างหากเราจะทำยังไง ให้เรากลับมาเดินในทางที่ถูกสำหรับเราได้อีกครั้ง
บางคนเมื่อเลือกเดินผิดทาง ก็อาจเดินต่อไปในทางที่ผิดนั้นจนถึงที่สุด และสุดท้ายทางที่ผิดในตอนแรกมันอาจกลายเป็นทางที่ถูกก็ได้
บางคนก็เดินต่อไปข้างหน้าอีกนิด เพื่อหาทางแยกใหม่ให้กับตัวเอง
บางคนอาจเลือกหยุดเดินต่อ แล้วหันหลังกลับไปเริ่มเลือกทางเดินใหม่ตั้งแต่แรก